บทที่ 468 หวันหว่าน ฉันรอเธออยู่ตลอดเลยนะ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ช่วงสองเดือนที่หวันหว่านอยู่ในประเทศจีนสือมูเฉินได้จ้างคนมาสอนเธอวาดภาพอย่างเป็นระบบ

เฉียวซือที่อยู่ข้างๆ หวันหว่านรู้สึกว่าตัวเองควรเรียนภาษาจีน ดังนั้นเขาจึงพยายามคุยกับคนรับใช้ในบ้าน ไม่ว่าจะเห็นสิ่งของอะไรก็จะถามไปหมด ส่งผลให้เขาได้ค่อยๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์มากมาย

หยานโม่หานมาเธอทุกวัน ตัวแทบจะติดกับหวันหว่านทุกวัน

หลายครั้งที่เล่นจนเหนื่อยก็จะนอนพักที่บ้านสือมูเฉิน แทบไม่ได้กลับบ้านด้วยซ้ำ

โรงเรียนประถมศึกษาในเครือเพอร์เซลล์ได้เริ่มเปิดเรียนแล้ว หวันหว่านและเฉียวซือได้สือมูเฉินและโอหยางจวิ้นมาส่งเข้าโรงเรียนวันแรก

ดูเหมือนชีวิตบทใหม่จะได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งแปลกใหม่และไม่คุ้นเคย

หวันหว่านพูดไม่ได้ คุณครูรู้ถึงจุดนี้มาก่อนสักพักแล้ว

เฉียวซือไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นทั้งสองจึงได้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน

โรงเรียนประถมจะต้องไปรับไปส่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่บางครั้งเมื่อไปรับมู่ยวี๋ฮั่นก็จะไปด้วย

ดูเหมือนว่าชีวิตของผู้ใหญ่จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เว้นแต่ว่าวันเวลาที่ผ่านไป วันแต่งงานของโอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในวันนี้ตระกูลเพอร์เซลล์ได้ลงนามในคำสั่งซื้อจำนวนมาก เนื่องจากผลกำไรสูง ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

โอหยางจวิ้นเห็นว่าหวันหว่านเบื่อหน่ายกับการเรียนทุกวัน ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะไปตรวจงานและถือโอกาสพาเธอไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย

จริงๆ แล้วเฉียวซือก็ต้องไปด้วย แต่เขาดันมีอาการท้องเสีย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพักผ่อนอยู่บ้าน

ในคืนวันศุกร์โอหยางจวิ้นและหวันหว่านขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

เนื่องจากมีการพบการขุดเพชรจำนวนมากในเมืองเล็กๆ ดังนั้นทั้งสองจึงต้องนั่งรถออฟโรดอีกคันในเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึงเมืองเล็กๆ นั้นด้วยกัน

เขาทั้งสองพักในโรงแรมเล็กๆ ของท้องถิ่น โอหยางจวิ้นติดต่อผู้รับผิดชอบของที่เมืองนี้ไว้แล้ว เขาวางแผนไว้ว่าจะไปดูเหมือง หลังจากนั้นจะพาหวันหว่านไปยังจุดชมวิวธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในบริเวณใกล้เคียง

ใช้เวลาไม่นานผู้รับผิดชอบก็มารับทั้งสองคนไปที่เหมือง หลังจากการตรวจสอบโอหยางจวิ้นได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้รับผิดชอบของที่นี่ จากนั้นก็พาหวันหว่านไปยังจุดชมวิวแห่งนั้น

บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว โอหยางจวิ้นจับมือหวันหว่านเดินไปเรื่อยๆ ขณะที่เดินไปนั้นเขาได้พบมุมที่เหมาะกับการถ่ายรูป

หวันหว่านชอบสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์แบบนี้มาก ทั้งสองมานั่งพักผ่อนริมแม่น้ำ โอหยางจวิ้นก้มหน้าไปมองในแม่น้ำเพื่อดูว่ามีปลาหรือเปล่า แต่หวันหว่านนั้นนอนหงายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วเริ่มคำนวณว่าต้องทำการผ่าตัดอีกกี่ครั้งถึงจะพูดได้

เนื่องจากที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักในแม่น้ำจึงมีปลาจริงๆ

โอหยางจวิ้นหยิบขวดน้ำมาแล้วใส่แฮมลงไป รอคอยอย่างเงียบๆ และแล้วก็จับปลาตัวเล็กได้สองตัวจริงๆ

เขาหยิบปลาขึ้นมาแล้วมองไปที่หวันหว่าน“หวันหว่าน อามีอะไรจะให้!”

ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นประกาย เธอรีบลุกขึ้นมารับไว้ เธอมองดูปลาตัวน้อยที่มีความยาวเพียงสามเซนติเมตร ทำเอาเธอถึงกับยิ้มจนตาหยี

เมื่อเดินไปตามแม่น้ำ ถนนข้างหน้าก็เริ่มชันขึ้น โอหยางจวิ้นกอดหวันหว่านแล้วพูดกับเธอว่า“เมื่อเราไปถึงยอดเขา อาจะพาหนูไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง เราจะพักที่บ้านของพวกเขา เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เช้า”

หวันหว่านรู้สึกตื่นเต้นในทันที เธอเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเล แต่ที่ภูเขาเธอไม่เคยเห็นมาก่อน

ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมากนัก หลังจากสามชั่วโมงผ่านไปทั้งสองก็มาถึงบ้านบนยอดเขา

เพื่อนของโอหยางจวิ้นเป็นทหารผ่านศึก เมื่อเขาเห็นว่าโอหยางจวิ้นพาเด็กมาด้วยเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแซว “ไม่ได้เจอนายแค่ไม่กี่ปี มีลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?!”

โอหยางจวิ้นยิ้ม“เธอถือว่าเป็นหลานสาวของฉันน่ะ! ฉันเพิ่งหมั้น ฉันจะมีลูกได้ยังไงล่ะ!”

ทหารผ่านศึกแจ็คปีนี้อายุเพิ่งครบห้าสิบปีกว่าๆ เขาเดินทางไปหลายสถานที่พร้อมกับภรรยา แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่อย่างสันโดษ

ทั้งสองไม่มีลูกเมื่อเจอหวันหว่านก็รู้สึกชอบในทันที พวกเขาได้เตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้รอต้อนรับเรียบร้อยแล้ว

ในตอนเย็นทุกคนร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน โอหยางจวิ้นและแจ็คไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ส่วนหวันหว่านเดินไปหาภรรยาของแจ็คแล้วชี้ไปที่จานอาหารและหม้อ

ภรรยาของแจ็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หวันหว่านอยากเรียนทำอาหารจานนี้ใช่ไหมจ๊ะ?”

หวันหว่านพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

ภรรยาของแจ็คมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อายุไม่เกินเจ็ดขวบ เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ทำไมหนูถึงอยากทำอาหารล่ะ? หนูยังเด็กมากเลยนะ!”

หวันหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนว่า “เพราะเซฟที่บ้านทำไม่ได้ค่ะ แต่หนูคิดว่าอาจวิ้นชอบกินเมนูนี้มากเลยค่ะ!”

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้ม”ช่างเป็นเด็กดีและฉลาดอะไรเยี่ยงนี้ มาสิจ๊ะ ป้าจะสอนหนูเอง!”

หวันหว่านมองดูภรรยาของแจ็คเตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุงรส หวันหว่านจึงตั้งใจจดชื่อเครื่องปรุงและขั้นตอนการทำ สุดท้ายเธอยืนบนเก้าอี้นั่งเล็กๆ เฝ้ามองดูภรรยาของแจ็คนำเครื่องปรุงและวัตถุดิบลงในหม้อ

“พอจะเข้าใจบ้างไหมจ๊ะ?” ภรรยาของแจ็คยิ้มหวาน “ป้าเคยเป็นแม่ครัวในค่ายทหาร มีหลายคนมาขอเรียนทำอาหารกับป้า แต่หนูเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด!”

หวันหว่านยิ้ม คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขียนข้อความลงกระดาษ“อย่าบอกคุณอานะคะ”

“อยากเซอร์ไพรส์เขาใช่ไหมจ๊ะ?” ภรรยาของแจ็คตบไหล่เธอเบาๆ “ได้สิจ๊ะ นี่เป็นความลับระหว่างเรา เราจะไม่บอกใครอย่างแน่นอน!”

เนื่องจากบ้านของแจ็คเป็นบ้านที่สร้างเองจึงมีเพียงสองห้องนอนเท่านั้น หวันหว่านยังเด็กอยู่ ภรรยาของแจ็คจึงนำผ้าห่มมาให้อีกผืนแล้วพูดว่า “แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่กลางคืนก็หนาวมากและจำเป็นต้องห่มไว้สักหน่อย ดีกว่าปล่อยให้เด็กเป็นหวัด!”

โอหยางจวิ้นพยักหน้าแล้วนอนลงบนเตียงที่กว้างเพียง1.5 เมตรพร้อมกับหวันหว่าน

เนื่องจากบ้านตระกูลเพอร์เซลล์นั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก หวันหว่านจึงมีห้องนอนเป็นของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กมากๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นอนห้องเดียวกับโอหยางจวิ้น

เธอรู้สึกแปลกๆ เธอจึงใช้ภาษามือคุยกับโอหยางจวิ้น “คุณอา ช่วยเล่านิทานให้หนูฟังหน่อยได้ไหม?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้าและนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้เล่านิทานก่อนนอนให้เธอฟังมาเป็นเวลานานแล้ว

เขากำลังจะเริ่มเล่า แต่เธอก็ขัดจังหวะเขา “คุณอาคะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมปลุกหนูนะคะ หนูกลัวตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันค่ะ”

“ไม่ต้องกังวลนะ อาต้องปลุกหนูอยู่แล้ว!” โอหยางจวิ้นจูบหน้าผากของเธอ“นอนได้แล้วนะ”

“อืม” เธอพยักหน้าและใช้ภาษามือกับเขา “คุณอาชอบอาหารเย็นของวันนี้ไหมคะ?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “อาเคยกินในค่ายทหารมาหลายครั้งแล้ว รสชาติไม่เลวเลย อาอยากกินรสชาตินี้อยู่ตลอด!”

หวันหว่านคิดว่ารอให้เธอโตก่อนแล้วแอบทำให้เขาทานสักครั้งเขาจะดีใจไหมนะ?

โอหยางจวิ้นเริ่มเล่านิทาน แต่สักพักหวันหว่านก็ผล็อยหลับไป เพราะเธอง่วงนอนเกินไปในช่วงเวลากลางวัน

เมื่อได้ยินการหายใจที่หลับลึกของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ข้างเขา เสียงเล่านิทานของโอหยางจวิ้นก็ค่อยๆ เบาลง “ในที่สุดพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข…… ”

เพราะการเล่านิทานครั้งแรกของเขาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเขาจึงซื้อหนังสือนิทานและเรียนรู้เรื่องราวของเจ้าชายและเจ้าหญิงในนั้น ตอนนี้จึงสามารถเล่าได้ดีขึ้นมาก

เขาช่วยหวันหว่านห่มผ้าห่ม เธอหลับตานอนไปอย่างเงียบๆ ขนตายาวอย่างละเอียดอ่อนของเธอสวยงามราวกับตุ๊กตาตั้งโชว์

“ราตรีสวัสดิ์นะคะ เจ้าหญิงตัวน้อยของอา” เขาพูดจบก็ปิดไฟนอน

ในตอนกลางคืนบนภูเขาอุณหภูมิต่ำกว่าในตอนกลางวันมาก หวันหว่านรู้สึกหนาวขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงหาที่ที่อบอุ่นโดยสัญชาตญาณ

ในความฝันเธอเห็นหมีตัวใหญ่น่ารัก หมีตัวใหญ่เต็มใจที่จะเป็นหมอนข้างให้เธอ ดังนั้นเธอจึงกอดเข้าไปที่หมีตัวนั้น

โอหยางจวิ้นรู้สึกสัมผัสถึงความนุ่มนวล จิตสำนึกที่เลือนรางของเขามีปฏิกิริยาต่อหวันหว่าน ดังนั้นเขาจึงกางแขนออกแล้วดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา

เธอรู้สึกอบอุ่นและผล็อยหลับไปในทันที พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยที่มุมริมฝีปากของเธอ

วันรุ่งขึ้นเมื่อหวันหว่านได้ยินเสียงปลุก เธอลืมตาขึ้นก็พบกับดวงตาของโอหยางจวิ้น

เขายิ้มให้เธอ “หวันหว่าน พร้อมจะลุกขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือยังคะ!”

ดวงตาของเธอเป็นประกาย ความง่วงนอนของเธอหายไปในทันที เธอจึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ระวัง ข้างนอกมันหนาว ใส่เสื้อผ้าหนาค่อยออกไป!” โอหยางจวิ้นสวมใส่เสื้อคลุมให้หวันหว่าน แต่เขารู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงรูดซิปเสื้อคลุมออกแล้วดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา

ความอบอุ่นและความเอาใจใส่ทำให้หวันหว่านรู้สึกสบายใจ เธออยู่ในอ้อมแขนของโอหยางจวิ้นมองเห็นเพียงใบหน้าของเธอเท่านั้น

เขาพาเธอไปยังที่ที่ดีที่สุดสำหรับการดูพระอาทิตย์ขึ้น ในขณะนี้ท้องฟ้ายังมืดอยู่เล็กน้อยและดูเหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น

“ใกล้จะขึ้นแล้ว ถ้าหนูรู้สึกแสบตาก็หันไปทางอื่นก่อนนะ” ไม่นานหลังจากที่โอหยางจวิ้นพูดจบ ท้องฟ้าโดยรอบก็เริ่มสว่างขึ้น

ผ่านไปสักพักแสงสีส้มอันอบอุ่นได้ส่องผ่านก้อนเมฆ

“ใกล้จะออกมาแล้ว!” โอหยางจวิ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป

ทันทีที่เขาพูดจบดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ ออกมา

ราวกับว่าดวงอาทิตย์ค่อยๆ ระเบิดออกมาจากเปลือก มันออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

หวันหว่านปรบมืออย่างตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกไปตรงกล้องพอดี ซึ่งโอหยางจวิ้นจับภาพไว้ทัน

ใครก็ตามที่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นย่อมรู้ดีว่าในเวลาไม่ถึงห้านาทีดวงอาทิตย์ได้ขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า

โอหยางจวิ้นเพูดขึ้นว่า “มานี่สิ เดี๋ยวอาจะถ่ายรูปให้!”

เขาใช้แสงและเงาในการถ่ายรูปให้สวยสองสามรูปแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เธอดู”หนูชอบไหม”

เธอพยักหน้า รับโทรศัพท์มาแล้วยกขึ้นถ่ายรูปให้โอหยางจวิ้นอย่างตั้งใจ

แจ็คเดินเข้ามาพูดคุยกับทั้งสองคนว่า “มา เดี๋ยวฉันถ่ายรูปคู่ให้!”

แต่แล้วหน้าจอโทรศัพท์ก็ค้าง

เพราะตอนเย็นหวันหว่านต้องกลับไปโรงเรียน หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็บอกลาแจ็คและภรรยาของเขา แล้วเดินจูงมือกันอย่างช้าๆ ลงจากยอดเขา

เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนก็ดึกมากแล้ว

หวันหว่านเห็นเหมือนมีใครบางคนอยู่ที่หน้าประตูอาคารหอพัก เธอกำลังจะถามโอหยางจวิ้น แต่เห็นเฉียวซือเดินเข้ามาหาพวกเขาพอดี

เขามองหวันหว่านไปมาแล้วพูดว่า “หวันหว่าน ฉันรอเธออยู่ตลอดเลยนะ”

เธอยิ้มให้เขา แล้วหันไปบอกลาโอหยางจวิ้น”คุณอา เจอกันสัปดาห์หน้านะคะ!”

เมื่อเด็กสองคนเดินเข้าไปในอาคารหอพักเรียบร้อยแล้ว โอหยางจวิ้นก็เดินหันหลังกลับบ้าน

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับแจ็คในตอนเย็นของเมื่อวาน

แจ็คบอกเขาว่าปีนี้เขาอายุ 30 ปีแล้ว เขาควรจะแต่งงานและมีลูกแล้วไม่ใช่หรือ?

เขาบอกว่าเขาหมั้นแล้ว และจะแต่งงานในอีกสองเดือนข้างหน้า ส่วนเรื่องมีลูกก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน!

เหมือนแจ็คจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากคำพูดของเขา แจ็คลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า นายรักคู่หมั้นของนายหรือไม่?

เขากลับเงียบ ตอบอะไรไม่ได้

แจ็คบอกว่าต้องเป็นแบบเขากับภรรยาแบบนี้ถึงเรียกว่าความรัก ถ้าไม่ใช่นายจะรู้สึกเสียใจกับมันไหม?

สำหรับคำถามนี้สือมูเฉินก็เคยถามเขามาก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขาพบว่าเขามีความประทับใจที่ดีต่อมู่ยวี๋ฮั่น แต่มันก็เหมือนเป็นมิตรภาพระหว่างสหายที่ร่วมรบด้วยกันเท่านั้น

สิ่งที่เขาต้องการคือความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ส่วนความรักนั้นมีหรือไม่มีก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

โอหยางจวิ้นยืนอยู่ที่ชั้นล่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จัดการกับความคิดที่ซับซ้อนแล้วเดินออกไป