“เชิญจั่งสื่อเข้ามาเถอะ” น้ำเสียงอันเฉยเมยของอวี้จิ่นดังออกมาจากห้องตำรา
จั่งสื่อรู้สึกตัวขึ้นได้ คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อครู่ท่านอ๋องจะเป็นคนพูด
เหตุใดท่านอ๋องถึงได้แกล้งเขา นี่มันเกินไปแล้วนะ!
เด็กรับใช้เปิดประตูออก จั่งสื่อเดินเข้าไปด้วยหน้าตาเคร่งขรึม
เมื่ออวี้จิ่นเห็นจั่งสื่อเดินเข้ามาก็วางตำราลงข้างๆ พร้อมกับอมยิ้มพูดขึ้น “จั่งสื่อมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
จั่งสื่อเหลือบมองตำราที่วางอยู่ข้างมืออวี้จิ่น กระแอมเสียงแล้วเอ่ยถามขึ้น “ท่านอ๋องกำลังอ่านตำราอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ในฐานะจั่งสื่อ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดมีอยู่สามอย่าง หนึ่งคือชี้แนะตักเตือนข้อผิดพลาด ช่วยเหลือท่านอ๋อง สองคือจัดการเรื่องวินัยความประพฤติ สามคือรับผิดสอบเรื่องการเรียนของท่านอ๋อง
ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่ใช่เด็กแล้ว แต่เนื่องจากถูกเลี้ยงดูอยู่นอกวังมาตั้งแต่เด็ก จั่งสื่อจึงมักจะรู้สึกว่าความรู้ความสามารถเรื่องขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของเขายังมีไม่มากนัก จำเป็นต้องอ่านตำราเยอะๆ จึงจะเป็นผลดี
เมื่อเห็นท่านอ๋องคลุกตัวอยู่ในห้องทรงพระอักษรไม่ใช่คลุกตัวอยู่กับพระชายาที่งดงามในห้องของพระชายาอ๋อง ชายชรก็ารู้สึกปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมาก
“อื้ม ข้าชอบอ่านตำรา” อวี้จิ่นผลักห่อตำราออกไปข้างๆ
จั่งสื่อยิ้มพลางพูดขึ้น “ท่านอ๋องคิดได้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ ตำราก็ไหลตกลงบนพื้น เผยให้เห็นปกตำราด้านไหนเขียนไว้ว่า ‘สามสิบหกกลยุทธ์ง้อภรรยา’
จั่งสื่อถลึงตามอง
“นี่มันอะไรกัน” ชายแก่สะบัดเคราเอียง เอ่ยถามพลางชี้ตำราที่พื้น
อวี้จิ่นเก็บหนังสือขึ้นมาด้วยท่าทีเรียบเฉย ปิดหน้าตำราลง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ‘ตำราพิชัยสงคราม’
จั่งสื่อพูดเสียงสูง “‘ตำราพิชัยสงคราม’ งั้นรึ!”
“อืม”
“ท่านอ๋อง กระหม่อมยังไม่แก่จนตาลายนะพ่ะย่ะค่ะ นั่นมันเห็นอย่างชัดเจน เห็นอย่างชัดเจนว่า…”
เห็นอย่างชัดเจนว่ามันคือตำราโลกีย์!
ด้วยความละอายใจจั่งสื่อจึงไม่ได้พูดต่อ
อวี้จิ่นปัดฝุ่นบนปกหนังสือ ทำหน้าเป็นกังวล “ข้าเติบโตอยู่นอกวังมาตั้งแต่เด็ก มีเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจนัก หรือว่าอ่านตำราพิชัยสงครามมันไม่เหมาะสม”
“หากเป็นตำราพิชัยสงครามแน่นอนว่ามันเหมาะสม…”
อวี้จิ่นขัดจังหวะจั่งสื่อขึ้นมา ยิ้มร่าพลางพูดออกไป “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จั่งสื่อก็อย่าได้กังวลไป บอกข้ามาเถอะว่ามาหาข้ามีเรื่องอะไร”
“กระหม่อมมาหาท่านอ๋องก็เพราะ…” จั่งสื่อชะงักไปครู่หนึ่ง กว่าจะรู้สึกตัวก็เกือบหลงกลไปแล้ว
“ท่านอ๋อง ตอนนี้กระหม่อมคิดว่าปัญหาเรื่องที่ท่านอ่านตำรานั้นสำคัญยิ่งกว่า!”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อ่านตำรามีปัญหาอะไรหรือ”
“ท่านอ๋องโปรดอธิบายด้วยว่าสามสิบหกกลยุทธ์ง้อภรรยานั่นมันคืออะไรกัน”
ชื่อตำราเช่นนี้เขาแทบพูดไม่ออก!
เวลานี้จั่งสื่อที่สุภาพเรียบร้อยมาครึ่งค่อนชีวิตในใจเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
อวี้จิ่นรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรน่าอาย จึงอธิบายชี้แจงน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าหากว่าข้ากับพระชายาเกิดทะเลาะกัน การอ่านตำราเล่มนี้ก็จะช่วยคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพระชายาได้ หรือว่าจั่งสื่อไม่อยากเห็นข้ากับพระชายารักใคร่ปรองดองกัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
อวี้จิ่นเอ่ยพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จั่งสื่อก็อย่างได้เป็นกังวลและโมโหไปเลย บอกข้ามาดีกว่าว่าที่มาหามีเรื่องอันใด”
จั่งสื่อสะบัดเคราไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร
ที่ท่านอ๋องพูดก็มีเหตุผล…
อวี้จิ่นยิ้มด้วยความพอใจ
ถือว่าจั่งสื่อของเราไม่เลวเลยจริงๆ
“ที่กระหม่อมมา ก็เพราะว่าอยากจะขอคำชี้แนะจากท่านอ๋องเรื่องงานไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหว…”
“ไม่ไป”
จั่งสื่ออึ้งไปครู่หนึ่ง
น่าแปลกเสียจริง ปกติเห็นท่านอ๋องกับพระชายารักกันมาก นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่ไปไว้ทุกข์ให้ท่านป้าของพระชายาอ๋องที่เสียไป
ทว่าฐานะของท่านอ๋องนั้นไม่ธรรมดา หากบอกว่าไม่ไปก็พอมีเหตุผลอยู่
“เช่นนั้นกระหม่อมจะเตรียมการเดินทางของพระชายาอ๋องเพียงองค์เดียว” จั่งสื่อโค้งตัวลง เตรียมทูลลา
“พระชายาก็ไม่ไป”
อวี้จิ่นพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จั่งสื่อตกใจจนแทบจะกระโดดโหยง “พระชายาไม่ไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
“ท่านอ๋อง ถ้าหากพระชายาอ๋องไม่ไปมันจะเป็นการเสียมารยาท คนอื่นจะว่าเอาได้ว่าจวนอ๋องไม่มีกฎเกณฑ์!”
ท่านอ๋องยังมีพี่น้องอีกตั้งหกคนตั้งจวนอยู่ข้างนอก ซึ่งหมายความว่านอกจากเขาแล้วมีจั่งสื่ออีกหกคน พวกเขาก็มีความกดดันในการแข่งขันกันนะ!
เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้านายที่ไม่แยแส จั่งสื่อก็ได้แต่รู้สึกผิดหวัง ดิ้นรนเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ยอมแพ้ “เหตุใดพระชายาอ๋องถึงไม่ไปพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมอวี้จิ่นอยากจะบอกว่าก็เพราะพระชายาไม่อยากไป แต่พอพิจารณาคิดดูว่าจั่งสื่ออายุมากแล้ว ถ้าหากรับไม่ได้แล้วเป็นอะไรไป เกิดเปลี่ยนจั่งสื่อคนใหม่มาไม่แน่อาจจะแย่กว่านี้ ครั้นจึงพูดออกไป “พระชายาไม่ค่อยสบาย”
จั่งสื่อพยายามควบคุมไม่แสดงท่าที่โกรธและลงมือด้วยอารมณ์ชั่ววูบอย่างสุดชีวิต “ทำไมกระหม่อมถึงไม่ทราบ…”
อวี้จิ่นเหลือบมองจั่งสื่อแววตาเยือกเย็น “พระชายาไม่สบาย ต้องรายงานจั่งสื่อด้วยรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ คือ…”
“จั่งสื่อไม่จำเป็นต้องพูดอีก หากพูดต่อข้าจะโมโหแล้ว” อวี้จิ่นสะบัดแขนเสื้อท่าทางฟึดฟัด
จั่งสื่อกัดฟันกรอดพูดออกไป “กระหม่อมขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นพยักหน้าเล็กน้อย
จั่งสื่อเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร ท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ในฤดูใบไม้ร่วง ในใจรู้สึกเศร้าเสียยิ่งกว่าใบไม้ที่แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองตรงหน้าเสียอีก
เขาสามารถคาดเดาได้เลยการที่ท่านอ๋องเอาแต่ใจเช่นนี้จะต้องถูกผู้ตรวจการยื่นมติไม่ไว้วางใจแน่
ช่างเถอะ ท่านอ๋องที่เป็นดั่งไม้ผุท่อนหนึ่ง อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ!
จั่งสื่อครุ่นคิดด้วยความโกรธ เมื่อกลับถึงห้องจึงดื่มชาสองแก้วภายในอึดใจเดียว จากนั้นถึงได้รู้สึกดีขึ้น
ชายชราเรียกสติคืนมาได้ก็เริ่มไตร่ตรองถ้อยคำที่เหมาะสมเพื่อตอบจดหมายจากจวนอี๋หนิงโหว
อวี้จิ่นรู้สึกนึกเสียใจ
ถึงแม้จั่งสื่อจะอายุมากแล้ว เสียงพูดก็ยังคงดังชัดเจน แสดงว่าร่างกายเขายังแข็งแรงมาก ไม่น่ากลัวว่ามันจะสะเทือนใจเขา
และไม่ควรพูดว่าอาซื่อไม่สบายเลย
อวี้จิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งระแวง จึงรีบกลับไปที่อวี้เหอย่วน
อาเฉี่ยวเฝ้าอยู่นอกประตูพอดี
“พระชายาล่ะ” อวี้จิ่นเดินไปพลางถามไป
อาเฉี่ยวลังเลอยู่สักพัก
อวี้จิ่นชะงักฝีเท้าลง ทำหน้าขรึม “พระชายาเป็นอะไร”
อาเฉี่ยวก้มหน้าลง พูดเสียงเบา “พระชายาไม่ค่อยสบายเพคะ กำลังพัก…”
อวี้จิ่นสีหน้าเปลี่ยนทันที ไม่รีรอถามอาเฉี่ยวอีกต่อไป มุ่งหน้าตรงเข้าไปในห้อง
เจียงซื่อนอนตะแคงหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง เส้นผมสีดำขลับปล่อยสยายลงบนหมอน ใบหน้าที่นอนทับอยู่บนแขนซีดเผือดเมื่อเทียงกับผมสีดำขลับที่สยายลงมา
อวี้จิ่นใจเสียขึ้นมาทันที เดินปรี่เข้าไปคว้าข้อมืออันขาวนวลของนาง พลางตะเบ็งเสียงเรียก “อาซื่อ…”
เจียงซื่อลืมตาขึ้นมาช้าๆ แววตาที่ตื่นตระหนกของอีกฝ่ายทำให้นางได้สติตื่นขึ้นมาทันที “เป็นอะไรหรือ”
เนื่องจากนอนหลับไปสักพัก เสียงพูดจึงแหบเล็กน้อย
อวี้จิ่นได้ยินก็ยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ ยื่นมือออกไปวางไว้ที่หน้าผากของเจียงซื่อ
เจียงซื่อตกใจเพราะการกระทำของเขา “อาจิ่น เจ้าทำอะไรน่ะ”
ตัวของนางเย็นเล็กน้อย อวี้จิ่นจึงรู้สึกสบายใจ พูดขึ้นด้วยความโล่งอก “ดีแล้วที่ไม่ได้ตัวร้อน ได้ยินอาเฉี่ยวบอกว่าเจ้าไม่ค่อยสบาย ข้าตกใจแทบแย่”
เจียงซื่อรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าดูตื่นตกใจมาก ข้านึกว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นซะอีก”
ตั้งแต่ชีวิตต้องเกี่ยวข้องกับทางวัง เรื่องมากมายล้วนไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
“ก็อาเฉี่ยวบอกว่าเจ้าไม่สบาย” สีหน้าอวี้จิ่นยังคงย่ำแย่
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากลง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ด้วยความหงุดหงิดอวี้จิ่นจึงตบหน้าตัวเอง “ผิดที่ข้าพูดมั่วซั่วออกไปเช่นนั้น”
“เจ้าว่าพูดว่าอะไร” เจียงซื่อถาม
“จั่งสื่อถามเรื่องงานศพที่จวนอี๋หนิงโหว ข้าจึงบอกว่าเจ้าไม่สบาย ไม่อาจไปร่วม…” อวี้จิ่นยิ่งพูดก็ยิ่งนึกเสียใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่สบายจริงๆ ผิดที่ข้าเอง…”
เจียงซื่อยกนิ้วชี้ขึ้นมาประทับลงที่ริมฝีปากของชายตรงหน้า
อวี้จิ่นเงียบลง
เจียงซื่อลังเลเล็กน้อยว่าควรพูดหรือไม่พูดดี
อวี้จิ่นลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พลางจับมือเจียงซื่อไว้ “อาซื่อ หากเจ้าป่วย ก็อย่าได้ปิดบังข้า!”
เมื่อเห็นชายตรงหน้าท่าทางร้อนรน เจียงซื่อจึงเอ่ยขึ้น “ประจำเดือนข้ามาช้าไปสองสามวัน…”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง