ตอนที่ 428 โดนปีกน้อยๆ ของนางพัดปลิวเสียได้

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 428 โดนปีกน้อยๆ ของนางพัดปลิวเสียได้ ?

ในที่สุดก็มาถึงวันหยุดที่พวกนักเรียนตัวน้อยตั้งตารอ ตอนรับประทานอาหารค่ำเมื่อวานนี้ เจ้าหนูน้อยถามมารดาและพี่รองว่า “ท่านแม่ พี่รอง พรุ่งนี้ข้าพาสหายร่วมห้องเรียนสองคนมาเล่นที่บ้านเราได้หรือไม่ขอรับ ? ”

นางหวงคาดไม่ถึงว่าบุตรชายคนเล็กที่เพิ่งไปสำนักศึกษาได้ไม่กี่วันก็จะพาสหายมาที่บ้านแล้ว ต้องทราบก่อนว่าช่วงที่บุตรชายคนโตเรียนหนังสือมาเนิ่นนานขนาดนั้นก็ไม่เคยเห็นเขาพาสหายมาที่บ้านเลยสักคน

นางครุ่นคิด เมื่อก่อนที่บ้านยากจนมากเกินไป ต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสน ถ้าบุตรชายคนโตพาสหายมาที่บ้านก็ไม่มีของดี ๆ ไว้ต้อนรับ อาจเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ต้าฮว๋าต้องห่างเหินกับสหายร่วมห้องเรียน ?

นางหวงใช้สายตาเศร้าหมองมองไปที่บุตรชายคนโต ก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าหนูน้อยว่า “ได้อยู่แล้ว แต่เจ้าต้องต้อนรับสหายให้ดี ! ”

หลินเว่ยเว่ยคีบน่องไก่ให้เจ้าหนูน้อยพลางถามด้วยรอยยิ้ม “สหายร่วมห้องทั้งสองคนที่พูดถึงคงไม่ใช่หลู่ซวนกับฉิงจิ้งหยูหรอกกระมัง ? ทำไมหรือ ? ไม่ต่อยตีไม่รู้จักหรือไร ? ตีกันจนกลายเป็นสหายเสียแล้ว ? ”

นางหวงมองบุตรชายคนเล็กด้วยความตกใจ…ตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าหนูน้อยไปต่อยตีกับเด็กที่สำนักศึกษา ? เสียเปรียบอีกฝ่ายหรือเปล่า ? เจ้าเด็กคนนี้สนิทกับพี่รอง ไม่ว่าอะไรก็เล่าให้พี่รองฟังหมด แต่คนเป็นแม่อย่างนางกลับไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง…ช่างเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ !

เจ้าหนูน้อยส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันเสียหน่อย ! หลังจากวันนั้นที่เขาแย่งมันทอดกรอบของพวกเราไปแล้ว ฉิงจิ้งหยูก็กลับไปเล่าให้พี่ชายของหลู่ซวนฟัง ได้ยินว่าพี่ชายทั้งสองคนของเขาลงไม้ลงมือใส่น้องชายและพี่ใหญ่ก็ลงโทษให้เขาอยู่ในห้องหนังสือนานครึ่งคืน…เช้ามา ตอนถึงสำนักศึกษา เขายังเดินขากะเผลกอยู่เลย ! พี่รองกับพี่สามตีเขาจริง ๆ ก้นของหลู่ซวนบวมเป่งเลยด้วย…”

หลังจากพูดจบ เจ้าหนูน้อยก็หันไปมองหลินจื่อเหยียน โชคดีที่พี่ชายไม่ชอบใช้ความรุนแรงแบบนั้น

หลินจื่อเหยียนยักคิ้วพลางคลี่ยิ้ม “มองข้าทำไม ? หรืออิจฉาความรักที่พี่ชายหลู่ซวนมีให้น้องชาย อยากจะลองดูบ้างหรือไม่ ? ข้าเป็นพี่ชายที่ดีและชอบปกป้องน้อง ในเมื่อเจ้าร้องขอเช่นนั้น ข้าก็จะฝืนใจตีก้นเจ้าสักสองสามทีแล้วกัน…”

เจ้าหนูน้อยรีบเอามือปิดก้นน้อย ๆ ของตนไว้แล้ววิ่งหนีไปหาพี่รองเพื่อหาพื้นที่ปลอดภัย ก่อนจะพูดขึ้นมารัว ๆ ว่า “ไม่เอา ไม่เอา ! ความรักของพี่น้องแบบนั้นข้ารับไม่ไหว…”

หลินเว่ยเว่ยยิ้ม “พอโดนตีครั้งนั้นแล้ว เจ้าอ้วนหลู่ซวนก็ไม่กล้าแย่งขนมจากเจ้าอีกเลยสิท่า ? ”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “ทว่าหลู่ซวนเป็นพวกตะกละ ทุกครั้งที่ข้า วังตงเฉียงและเสี่ยวร่างกินมันทอดกรอบด้วยกัน เขาก็จะคอยดูอยู่ข้าง ๆ แล้วหยิบขนมที่ซื้อมาจากร้านหนิงจี้เพื่อขอแลกกับพวกเรา ! ข้ากินขนมร้านหนิงจี้จนเบื่อแล้ว ใครจะอยากไปแลกกับเขา ! ใครใช้ให้เขาไม่เชื่อว่าพี่รองทำอาหารได้มากมายกันเล่า ? ปล่อยให้เจ้านั่นอยากกินจนตายไปเลย ! ”

นางหวงส่ายหน้าแล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้านี่นะ ! แค่เอาไปมากหน่อยแล้วแบ่งให้สหายชิมบ้างก็จบแล้วไม่ใช่หรือ ? ”

เจ้าหนูน้อยเบะปาก “ท่านแม่ขอรับ ท่านไม่รู้อะไร ในสำนักศึกษามีนักเรียนมากมายที่ทำตัวหยิ่งผยอง คิดว่าบ้านตนอยู่ในตัวเมืองแล้วจะเป็นผู้ดีชนชั้นสูง เวลาคุยกับคนอื่นจมูกจะยื่นไปถึงท้องฟ้าได้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้คนอื่นเห็นขี้มูก !

ข้าชวนพวกเขามากินขนม แต่พวกเขากลับคิดว่าข้าอยากประจบ หรือแม้แต่บอกว่าคนบ้านนอกอย่างข้าจะมีของดีอะไร…แล้วคนประเภทนี้ เหตุใดข้าต้องแบ่งขนมที่พี่รองทำด้วยความยากลำบากให้พวกเขาด้วยขอรับ ? ”

ประสบการณ์แบบนี้เจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนก็เคยเจอมาก่อน ตอนอยู่ที่สำนักศึกษา นักเรียนที่มีฐานะดีหน่อยจะรวมกลุ่มกัน แล้วไล่เด็กบ้านนอกอย่างพวกตนออกไป บอกว่าพวกตนไม่ได้อาบน้ำมาหลายเดือน ในเส้นผมก็มีเหา โดนตัวแล้วจะคันขึ้นมาทันที…

ในเวลานั้นชีวิตความเป็นอยู่ของหลินจื่อเหยียนไม่ดีเท่าในเวลานี้จึงเป็นธรรมดาที่จะโดนกลั่นแกล้งในสำนักศึกษา ตัวเขาในเวลานั้นไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนเจ้าหนูน้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าสหายร่วมห้อง เขาก็ได้แต่อดทน

ตอนนั้นนางหวงต้องรับผิดชอบทั้งงานบ้านและยังต้องคิดวิธีหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว นางจึงไม่ได้สังเกตว่าบุตรชายคนโตเริ่มเงียบขรึมขึ้นเรื่อย ๆ นิสัยก็เริ่มมีโลกส่วนตัวสูง…

หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยขณะมองหลินจื่อเหยียน นางก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกที่วัดคนด้วยฐานะครอบครัวถือเป็นพวกสายตาตื้นเขิน ทำอะไรไม่ขึ้นหรอก ส่วนพวกเราไม่ต้องไปเปรียบเทียบฐานะและสภาพชีวิตกับคนอื่น ยึดถือเพียงความรู้ความสามารถในการเรียนก็พอ !

ตอนที่ต้าฮว๋าเรียนหนังสือก็เป็นตอนที่บ้านเรากำลังลำบากที่สุด เขาอายุยังน้อยทว่ารู้จักคัดลอกตำราเพื่อแลกเงินมาซื้อแท่งหมึกกับพู่กันแล้ว ช่วยแบ่งเบาภาระให้ครอบครัว…คนในประวัติศาสตร์กล่าวว่า สวรรค์มอบภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษย์ ต้องดิ้นรนต่อความยากลำบากก่อน สร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง รู้จักความหิวโหย รู้จักความสูญเสีย สร้างอุปสรรคเพื่อบ่มเพาะกายใจและเพิ่มความสามารถในสิ่งที่มนุษย์เคยทำไม่ได้…

ตอนนี้ต้าฮว๋ากลายเป็นบัณฑิตซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดในรุ่น ช่วยปลดภาษีที่นาของบ้านเราและกลายเป็นความภาคภูมิใจของหมู่บ้าน…ลองหันไปดูคนที่เคยหัวเราะเยาะเจ้าสิ คนที่ดูถูกเจ้าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน ? ”

หลินจื่อเหยียนรู้ว่าพี่รองตั้งใจพูดเรื่องเหล่านี้ให้เขาฟังจึงรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที พี่รองรู้ถึงความทุกข์และความยากลำบากที่ผ่านมาของเขา ตัวเขา…

หลินจื่อเหยียนยกยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อยพลางมองพี่รองด้วยดวงตาเปียกชื้นแล้วถามว่า “พี่รอง คำพูดเหล่านี้เป็นคนในประวัติศาสตร์ท่านไหนอีก ? ช่างเป็นคำพูดที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ ชัดเจนและตรงประเด็น สมเหตุสมผลจริง ๆ ! ”

หลินเว่ยเว่ยทำตาเป็นเสี้ยวพระจันทร์พลางหันไปมองเจียงโม่หานด้วยความสงสัย คำพูดนี้ไม่ได้เป็นของเมิ่งจื๊อนักปราชญ์ผู้เป็นรองเพียงขงจื๊อน่ะหรือ ? เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ ?

เจียงโม่หานมองนางด้วยสายตาไร้หนทางช่วยเหลือ…เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริง ๆ !

ไม่ใช่กระมัง ? เมิ่งจื๊อในห้วงเวลานี้คงไม่ได้ถูกใครลักพาตัวไปใช่หรือไม่ ? คำพูดที่สำคัญขนาดนี้กลับโดนปีกน้อย ๆ ของนางพัดปลิวเสียได้ ?

“แค่กแค่ก ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่ได้กระวนกระวาย แค่พูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าอ่านตำราผ่าน ๆ ไม่ได้ใส่ใจมาก ข้าจำได้แค่สิ่งที่คิดว่าสำคัญเท่านั้น…แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดนี้เป็นของผู้ใด ? ”

หลินจื่อเหยียนเค้นถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น…เห็นมาจากตำราเล่มไหน ท่านพอจะจำได้หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยแกล้งส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “จำไม่ได้แล้ว…เจ้าเองก็รู้ว่าบัณฑิตน้อยชอบเข้าร้านหนังสือ ตอนที่ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าสอบเซี่ยนซื่อกับฝู่ซื่อ พวกเราก็ไปเดินเล่นในร้านหนังสือของตัวอำเภอและตัวเมืองแทบทุกร้าน…แล้วข้าจะจำได้อย่างไรว่าไปเปิดเจอมาจากตำราเล่มไหน ! ”

หลินจื่อเหยียนถอนหายใจอย่างท้อแท้ “เหตุใดพี่รองเปิดเจอสิ่งดี ๆ ทุกครั้ง แต่ข้ากลับไร้วาสนา ? ”

‘สวรรค์มอบภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษย์’ ยังมีถ้อยคำที่ว่า ‘มียศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยแล้วไม่ควรทำตัวเหลวไหล’ ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก หลักการแสนยิ่งใหญ่…ไม่ได้การ เขาต้องรีบกลับเข้าห้องเพื่อไปจดบันทึกสิ่งที่พี่รองพูดออกมาเมื่อครู่ ไม่แน่ว่าวันใดได้เขียนหลักกลยุทธ์อาจได้ใช้มัน !

เจ้าหนูน้อยเข้าใจเล็กน้อย เขาพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “แม้ว่าเจ้าหลู่ซวนจะชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ดูประมาทเลินเล่อไปหน่อย แต่ไม่ได้ทำตัวเย่อหยิ่งเหมือนคนในเมืองเหล่านั้น ฉิงจิ้งหยูก็นิสัยไม่เลว…พี่รอง ข้าพาพวกเขามาเล่นที่บ้านเราได้หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเคาะที่หน้าผากของเจ้าหนูน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้แน่นอน ! ประตูบ้านของพวกเราเปิดต้อนรับสหายตัวน้อยของเจ้าเสมอ…แต่เวลาเลือกคบเพื่อน ต้องเปิดมุมมองให้กว้างหน่อย ! ”