ตอนที่ 125-1 รักษา หมิงซิวลืมตาตื่น
เฉียวเวยซื้อของมาฝากซิ่วไฉเฒ่าด้วย กระดาษเซวียนจื่ออย่างดีของหยางโจว หมึกฮุยมั่วของฮุยโจว รวมถึงบันทึกที่เพิ่งออกใหม่
ครั้งแรกที่เห็นบันทึก เฉียวเวยยังคิดว่าเป็นบันทึกการอ่านตำราของบัณฑิตผู้ทรงภูมิคนไหนสักคนเสียอีก แต่เมื่อลองถามดูถึงทราบว่าเป็นบันทึกเรื่องน่าสนใจระหว่างการเดินทางของบัณฑิตที่ออกท่องเที่ยวเหอชวน ซิ่วไฉเฒ่ากับจิ่งอวิ๋นล้วนสนใจหนังสือประเภทนี้เหมือนกัน
นอกเหนือจากนั้นเฉียวเวยยังซื้อข้าว แป้ง ไข่ไก่กับเนื้อสัตว์และผักจำนวนหนึ่งมาด้วย
ความจริงยามนี้ชีวิตของซิ่วไฉเฒ่าไม่ลำบากแล้ว แม้สำนักศึกษาไม่เก็บค่าเล่าเรียน แต่อย่างไรเสียก็มีเด็กจากบ้านคหบดีอยู่หลายคน เพื่อให้เด็กของบ้านตนได้รับความสนใจจากอาจารย์เพิ่มขึ้นสักหน่อย ผู้ปกครองเหล่านี้จึงมอบข้าวของต่างๆ นานา รวมถึงยัดซองแดงให้ซิ่วไฉเฒ่า ตัวซิ่วไฉเฒ่าเองก็รับไว้อย่างจนปัญญา (สง่าผ่าเผย)
แต่ผู้อื่นจะมอบข้าวของให้มากอีกเท่าใดหรือดีอีกเท่าใด ก็เทียบกับคุณหนูของตนไม่ได้
ก่อนพบกับเฉียวเวย ซิ่วไฉเฒ่าอาศัยจดบัญชี เขียนจดหมายให้คนในหมู่บ้านเพื่อหาเลี้ยงชีพ อัตคัดขัดสนยังไม่ว่า ยังเงียบเหงาอีกต่างหาก ทั้งวันเหมือนไร้วิญญาณ หดหู่ยิ่งนัก
แต่เขาในตอนนี้เป็นผู้ที่ไม่เหงาหงอยมากที่สุดในหมู่บ้าน แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่อัตคัดขัดสนที่สุด…คนหนึ่งของหมู่บ้านด้วย
เฉียวเวยบอกลาซิ่วไฉเฒ่าแล้วพาเสี่ยวไป๋ไปยังไร่ข้าวฟ่างหวาน ใช้งานเสี่ยวไป๋ให้จับแมลง
หลายวันก่อนมีฝนตกลงมา ข้าวฟ่างหวานที่ได้รับความชื้นเหมือนจะเติบโตแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม หากเป็นไปตามความเร็วเช่นนี้ เดือนเจ็ดก็คงเก็บเกี่ยวได้แล้ว
เพราะเสียเวลาในเมืองหลวงไปสามวัน เมื่อเฉียวเวยกลับขึ้นเขาจึงต้องเร่งงานในโรงงาน ห้องแยกต่างหากห้องหนึ่งในโรงงานใช้สำหรับผสมโคลนพอกไข่ ห้องนี้เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์เข้าไม่ได้
เฉียวเวยก้มหน้าก้มตาผสมโคลนอยู่ด้านใน อากุ้ยยกโคลนพอกออกไป เสี่ยวเวยกับปี้เอ๋อร์รับผิดชอบพอกไข่เป็ด
ไข่เยี่ยวม้าส่วนหนึ่งที่หมักเรียบร้อยแล้วจำต้องล้างทำความสะอาดและทาขี้ผึ้ง ชีเหนียงทาขี้ผึ้งได้ดีที่สุด ดีเสียยิ่งกว่าอากุ้ย
ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เร่งทำงานจนมืดค่ำอยู่สองวัน ในที่สุดก็ผลิตสินค้าของวันก่อนหน้าเสร็จจนไล่มาทันชุดปัจจุบัน หลังจากนั้นก็ทำงานตามเวลาเดิม มิต้องลำบากเช่นตอนนี้แล้ว
แรกเริ่มตอนสร้างโกดัง คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นโรงงานแห่งหนึ่ง แม้นายช่างเจิ้งจะชาญฉลาดสร้างห้องจำนวนหนึ่งเตรียมไว้เผื่อใช้ แต่เมื่อเห็นห้องที่โล่งโจ้งอยู่ เฉียวเวยก็ยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักสิ่ง
ตกกลางคืนเด็กสองคนทำการบ้านเสร็จแล้วก็ล้างมือมานั่งทานอาหารบนโต๊ะอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเวยทำเนื้อน้ำแดงผัดหน่อกระเทียม ปลาไนราดซีอิ๋ว ผัดผักกาดขาวจิ๋ว ยำแตงกวากับน้ำแกงซี่โครงหมูใส่ข้าวโพด
จิ่งอวิ๋นชอบดื่มน้ำแกง วั่งซูชอบกินเนื้อ
เฉียวเวยตักน้ำแกงให้วั่งซูหนึ่งถ้วย คีบเนื้อให้จิ่งอวิ๋นอีกสองสามชิ้น “ห้ามเลือกกิน”
เจ้าตัวน้อยทั้งสองแลบลิ้น แต่ก็ยังกินลงไป
กินข้าวเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็ไปล้างจาน เจ้าตัวน้อยทั้งสองวิ่งไปเล่นในสวน เมื่อเฉียวเวยเดินออกมาจากห้องครัวจะเรียกทั้งสองคนกลับห้องไปอาบน้ำก็เห็นวั่งซูกำลังปีนรั้ว เสื้อแขวนติดอยู่บนรั้วลงไม่ได้
เฉียวเวยทั้งฉิวทั้งขัน อุ้มนางลงมาแล้วตบก้นน้อยจ้ำม่ำของนาง “แม้แต่รั้วเจ้าก็ยังกล้าปีนหรือ ตกลงมาจะทำเช่นไร หลังจากนี้ห้ามปีนแล้วเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” วั่งซูกอดคอมารดาอย่างออดอ้อน ไม่ตีก้นนะเจ้าคะ ไม่ตีก้นนะ ไม่ตีก้นน้า…
เฉียวเวยพาลูกๆ เข้าบ้าน ก่อนปิดประตูก็กวาดสายตามองรั้วรอบด้านรอบหนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าฝั่งโรงงานด้านนั้นยังขาดสิ่งใดไป รั้วอย่างไรเล่า!
หากสร้างรั้วมาล้อมรอบโรงงานกับห้องพักไว้ จะมากจะน้อยก็คงป้องกันภัยได้ระดับหนึ่ง แล้วยังมองดูรู้สึกเหมือนบ้านขึ้นอีกสักหน่อยด้วย
เฉียวเวยคิดจะทำก็ทำทันที วันรุ่งขึ้นนางก็ไปหารือเรื่องทำรั้วกับนายช่างเจิ้งที่หมู่บ้านข้างๆ
นายช่างเจิ้งเชิญนางเข้ามาในห้องโถงอย่างเป็นมิตร “โรงงานขนาดพื้นที่ไม่น้อย จะล้อมรั้วทั้งหมดคงต้องใช้ไม้ไม่น้อย ข้ากำลังจะไปหาผู้ดูแลฉิวอยู่พอดี ถ้าไม่อย่างนั้นซื้อไม้จากเขาดีหรือไม่”
นับตั้งแต่ผู้ดูแลฉิวพบกับนายช่างเจิ้งในวันเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของเฉียวเวย เขาก็เชิญนายช่างเจิ้งไปสร้างเรือนหลังน้อยให้หลังหนึ่ง ไปมาหาสู่กันนานเข้า ทั้งสองคนก็คบหากันอย่างสนิทสนม
เดิมทีเฉียวเวยก็คิดจะใช้ไม้ของนายท่านหกอยู่แล้ว ความคิดบังเอิญตรงกับนายช่างเจิ้งพอดิบพอดี เมื่อนายช่างเจิ้งเสนอขึ้นมา เฉียวเวยจึงตกลงทันควัน “…คงต้องลำบากนายช่างเจิ้งแล้ว ข้ายังมีธุระผละตัวมิได้ ข้าคงไม่ได้ไปเลือกไม้เอง”
นายช่างเจิ้งคลี่ยิ้ม “เจ้าเชื่อใจข้า ข้าจะจัดการให้เอง!”
นายช่างเจิ้งแวะไปหาผู้ดูแลฉิวอยู่ทุกวันอยู่แล้ว การไปช่วยเฉียวเวยเลือกไม้จึงไม่ลำบากอะไรเพิ่ม ต่อให้ไม่ได้มีแผนจะแวะไปอยู่ก่อน นายช่างเจิ้งก็ยังยินดีไปแทนเฉียวเวยสักหนอยู่ดี อย่างไรเสียแรกเริ่มก็เพราะมีเฉียวเวยเป็นตัวกลาง เขาจึงมีโอกาสผูกมิตรกับต้นไม้ใหญ่อยางผู้ดูแลฉิว แล้วต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ยังทำให้เขาได้ผูกมิตรกับต้นไม้ใหญ่อีกหลายต้น
แม้ฟังดูแล้วเห็นแก่ผลประโยชน์ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ เขาอดทนกับกฎเกณ์เหล่านั้นของคนในเมืองมิได้จึงละทิ้งโอกาสแสองฝีมือ เก็บตัวอยู่ในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลแห่งนี้ แม้ปากเขาจะบอกว่ามิสนใจ แต่ความจริงแล้วในใจก็กระหายความสำเร็จยิ่งนัก
เสี่ยวเฉียวกลายเป็นแท่นกระโดดให้เขา ทำให้เขากระโดดออกจากหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลแห่งนี้ออกไปข้างนอก แม้มิถึงขั้นกระโดดกลับไปเผชิญกับกฎเกณฑ์ต่างๆ นานาของตระกูลใหญ่อันมากอำนาจเหล่านั้น แต่การคบหาผู้ดูแลฉิวกับสหายของผู้ดูแลฉิวซึ่งล้วนเป็นคนในยุทธภพผู้ตรงไปตรงมาก็ทำให้เบิกบานใจยิ่งนัก
กล่าวได้ว่าทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เสี่ยวเฉียวนำมามอบให้เขา เขาย่อมไม่ปฏิเสธการทำงานเล็กๆ น้อยๆ แทนเสี่ยวเฉียว
นายช่างเจิ้งทำงานมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ผู้ดูแลฉิวก็มิใช่คนขี้โม้โอ้อวด วันนี้เพิ่งคุยกัน วันต่อมาตอนเช้าผู้ดูแลฉิวก็มาส่งไม้ด้วยตนเองแล้ว
เฉียวเวยกำลังตรวจนับไข่เยี่ยวม้าอยู่ในโรงงาน เมื่อได้ยินเสียงของผู้ดูแลฉิวก็ถือสมุดบัญชีออกไปต้อนรับ “ลมอะไรหอบท่านมาเล่า”
ผู้ดูแลฉิวยิ้มกว้าง “แน่นอนว่าลมนามว่าเฉียวฮูหยินน่ะสิ! เฉียวฮูหยินต้องการไม้ ผู้แซ่ฉิวจึงมาส่ง” เขาเหลือบมองสมุดบัญชีในมือเฉียวเวย “กำลังยุ่งอยู่หรือ”
“ไม่ยุ่ง” เฉียวเวยตอบอย่างเกรงใจ “ท่านให้คนมาส่งก็พอแล้ว ยังอุตส่าห์มาเองอีก ข้าเกรงใจแย่”
นายช่างเจิ้งเอ่ยกับผู้ดูแลฉิว “ฟังสิๆ ข้าบอกแล้วว่านางจะต้องบ่นท่านเห็นหรือไม่!”
“ฮ่าๆ! ไม่ถูกผู้ใดบ่นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว” ผู้ดูแลฉิวเอ่ยอย่างไม่ถือสาแม้แต่น้อย
เฉียวเวยได้ยินคำพูดนี้ก็มึนงง แต่เรื่องราวบนโลกใบนี้ เมื่อผู้อื่นไม่พูด นางย่อมไม่สะดวกถาม นางพาคนเข้าในห้องโถง แล้วชงชาหลงจิ่งสดใหม่ให้สองถ้วย
ผู้ดูแลฉิวดื่มแล้วตกตะลึง “ปีนี้หลงจิ่งขาดตลาด นายท่านหกอยากจะหาให้ไท่ฮูหยินสักสองกล่องก็ยังหาไม่ได้ เจ้านับว่ามีบุญปากแล้ว!”
ในงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของสกุลเฉียวครั้งก่อน ไท่ฮูหยินมอบเครื่องประดับศีรษะให้นางเป็นของขวัญ จนตอนนี้นางก็ยังไม่มีโอกาสตอบแทนคืน “ข้ามีอยู่หลายกล่อง ท่านนำกลับไปให้ไท่ฮูหยินสักกล่องสิ”
ผู้ดูแลฉิวทำหน้า ‘เคร่งขรึม’ กล่าวว่า “หากไท่ฮูหยินทราบว่าข้ามารีดไถสิ่งของจากเจ้า นางก็เจื๋อนข้าสิ!”
“ช่างปะไร คนที่ถูกเจื๋อนมิใช่ข้า” เฉียวเวยเอ่ยล้อเล่น
ผู้ดูแลฉิวว่า “พูดสียเหมือนกับว่าหลงจิ่งของเจ้ามิต้องเสียเงินซื้อมา”
ก็มิได้เสียเงินซื้อมาจริงๆ ทั้งหมดเอามาจากบ้านหมิงซิว ของที่หมิงซิวให้มายังดื่มไม่หมด ลี่ว์จูก็ใส่มาให้เพิ่มอีกสี่กล่อง
ทั้งสองคนคุยสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่งก็เริ่มคุยเรื่องงาน
โรงงานกับห้องพักเหล่านั้นนับพื้นที่รวมกันแล้วไม่น้อย นายช่างเจิ้งตั้งใจจะทำรั้วแบบไม่มีช่องว่าง ทำเช่นนี้ต้องใช้ไม้จำนวนมากสักหน่อย ผู้ดูแลฉิวคิดราคาทุนให้กับเฉียวเวย หลังจากนั้นก็คุยเรื่องเวลาทำงาน
เรือนของผู้ดูแลฉิวต้องใช้เวลาเก็บงานอีกสองสามวัน เมื่อทำเรือนหลังนั้นเสร็จแล้ว นายช่างเจิ้งจึงจะนำคนงานมาทำงานให้ฝั่งเฉียวเวยได้ หากเฉียวเวยรีบ จะจ้างนายช่างระดับล่างสักคนมาลงมือก่อนก็ได้
เฉียวเวยคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่รีบ”
“ถ้าเช่นนั้นถึงเวลาข้าจะพาคนมาเอง”
เพียงสร้างรั้วเท่านั้น ความจริงมิจำเป็นต้อง ‘ขนกำลังพล’ มาเช่นนี้ แต่หัวใจของนายช่างเจิ้งจดจำความดีของเฉียวเวยได้ จึงต้องการทำให้ด้วยตนเอง
พูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก็ประจวบเหมาะกับเวลาอาหารพอดี เฉียวเวยชวนทั้งสองคนอยู่ทานอาหาร “ผู้ดูแลฉิว นายช่างเจิ้ง ทานอาหารสักมื้อแล้วค่อยไป”
ความจริงทั้งสองคนก็อยากอยู่ชิมฝีมือของเฉียวเวย แต่พวกเขามองออกว่าเฉียวเวยกำลังยุ่ง ไม่สะดวกทำให้นางเสียเวลามากเกินจึงลุกขึ้นขอตัวจากไป
ผู้ดูแลฉิวกล่าวว่า “ข้ากับเหล่าเจิ้งนัดสหายไว้ วันหน้าค่อยมาทานอาหารบ้านเจ้า”
วันนี้เฉียวเวยต้องนับสินค้า ไม่ว่างผละตัวมาจริงๆ จึงเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “อุตส่าห์มาทั้งที่ ข้ากลับมิได้ต้อนรับพวกท่านให้ดี รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ พวกท่านนั่งรอประเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบเห็ดมาสักหน่อย ข้าขึ้นเขาไปเก็บเองทั้งนั้น เนื้อแน่นนักล่ะ”
ผู้ดูแลฉิวคิดครู่หนึ่ง “ใช่ชนิดที่พวกเราทานเมื่อครั้งก่อนหรือไม่”
เฉียวเวยตอบว่า “ครั้งก่อนพวกท่านทานเห็ดสน เห็ดสนก็มี แล้วก็มีเห็ดกระเพาะแพะด้วย”
เห็ดกระเพาะแพะ ในราชวงศ์ต้าเหลียงเรียกอีกอย่างว่าดอกกระเพาะแพะ เป็นเห็ดชนิดที่หายากอย่างยิ่ง ชีวิตนี้นายช่างเจิ้งยังมิเคยกินมาก่อน ผู้ดูแลฉิวติดตามนายท่านรองทำการค้า จึงมีโชคเคยชิมอยู่ครั้งหนึ่ง ชั่วชีวิตยากลืมเลือน
ผู้ดูแลฉิวที่เดิมทีคิดจะปฏิเสธ ทำหน้าหนานั่งต่อทันควัน
เฉียวเวยเดินเข้าห้องไปหยิบเห็ด ผู้ดูแลฉิวดื่มชาหลงจิ่งลงไปหลายถ้วย รู้สึกว่าร่างกายต้องจัดการเรื่องเร่งด่วนของมนุษย์จึงลุกขึ้นไปหาห้องส้วม
เขาเดินหามาถึงนอกคฤหาสน์
บังเอิญว่าชีเหนียงถือขี้เถ้ากะละมังโตเดินออกมาพอดี ชีเหนียงคิดไม่ถึงว่าด้านหน้าจะมีคนอยู่ นางก้มหน้าก้มตาเดินจึงไม่ทันระวังชนเข้ากับผู้ดูแลฉิว
ผู้ดูแลฉิวกำลังมองหาห้องส้วมอยู่ ไม่ทันเห็นว่ามีผู้หญิงเดินเข้ามา ‘ชน’ ตนเอง
กะละมังถูกชนคว่ำ ขี้เถ้าโปรยใส่ทั้งสองคนทั่วตัว ชีเหนืองไอค่อกแค่กทันที
ผู้ดูแลฉิวคิดว่าตนเองเดินชนผู้อื่นจึงกล่าวขออภัย “ขออภัยด้วย ข้ามิทันเห็นเจ้า เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ชีเหนียงไออยู่พักใหญ่กว่าอาการจะทุเลา นางไอจนน้ำตาเล็ด ใบหน้าแดงก่ำ ชวนให้คนเวทนาสงสารอย่างยิ่ง นางเอ่ยว่า “ข้าต่างหากที่สมควรขออภัย ข้าเดินมิดูทางเอง ขออภัยที่ทำเสื้อผ้าของท่านสกปรกหมดแล้ว ท่านถอดออกมาให้ข้าซักให้ท่านเถิด”
ผู้ดูแลฉิวหัวเราะทันใด “เจ้าจะมาซักเสื้อให้ชายชาตรีเช่นข้า มิเป็นอันใดจริงหรือ”
ชีเหนียงชะงัก นางไม่ได้หมายความเช่นนั้น นางเป็นบ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้ทำเสื้อผ้าอาภรณ์ของสหายเจ้านายสกปรก ซักให้ก็สมควรแล้วมิใช่หรือ
เมื่อเห็นท่าทางยามชีเหนียงทำอันใดมิถูก ดวงตาสุกใสคู่นั้นราวกับเปล่งวาจาออกมาได้ ผู้ดูแลฉิวก็ไม่ถือสาที่เสื้อผ้าถูกขี้เถ้าสาดใส่สักนิดแล้ว “ไม่เป็นไร เสื้อผ้าของตัวเจ้าเองต่างหากที่สกปรกแล้ว สมควรกลับไปเปลี่ยนเสื้อสักตัว”
ชีเหนียงก้มหน้ามองขี้เถ้าที่เปื้อนเต็มคอของตนเอง แล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ “เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เรื่องในวันนี้ขออภัยจริงๆ”
กล่าวจบก็คำนับ อุ้มกะละมังไม้กลับไปในห้อง
ในที่สุดผู้ดูแลฉิวก็หาห้องสวมที่อยู่ด้านข้างของหลังโรงงานพบ พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็กลับมาที่คฤหาสน์
เฉียวเวยเห็นตัวเขาเต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ถามอย่างฉงน “ผู้ดูแลฉิวนี่ท่านไปทำอะไรมา”
ผู้ดูแลฉิวหัวเราะเอ่ยว่า “ขออภัยด้วย เมื่อครู่ชนคนของเจ้าเข้า แม่นางผู้นั้นถูกข้าชนจนร้องไห้แล้ว คาดว่าคงเจ็บน่าดู”
“ปี้เอ๋อร์หรือ” เฉียวเวยมึนงง
“คนที่สวมอาภรณ์สีรากบัว”
เฉียวเวยร้องอ้อ “ชีเหนียง”
ผู้ดูแลฉิวจิบชา พึมพำเหมือนกำลังคิดบางสิ่ง “นามของนางคือชีเหนียงหรือ”
เฉียวเวยฟังออกว่าน้ำเสียงที่พูดประโยคนี้ผิดปกติ จึงมองสำรวจผู้ดูแลฉิวด้วยแววตาประหลาด “ท่านคงมิได้ถูกตาต้องใจชีเหนียงเข้ากระมัง”
ชีเหนียงรูปงามใจงาม แล้วยังมีความอ่อนโยนเยี่ยงคนเป็นมารดาอยู่ในตัว นางเป็นสตรียังชื่นชอบชีเหนียง บุรุษย่อมมิต้องพูดแล้ว
ผู้ดูแลฉิวมิยอมรับแต่ก็มิได้ปฏิเสธ เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ก็เป็นคนที่น่าสนใจดี”
ผู้ดูแลฉิวนั่งอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน จะบอกว่าไม่เคยพบหญิงงามย่อมเป็นไปมิได้ รูปโฉมของชีเหนียงพอนับได้ว่าเป็นระดับกลางขึ้นบน แต่ผิวพรรณดียิ่งนัก ดวงตาก็ใสกระจ่าง มองครั้งหนึ่งแล้วยากจะลืมเลือน
“นางมีคู่ครองแล้วหรือยัง” ผู้ดูแลฉิวถาม
“ท่านถูกตาต้องใจนางจริงๆ สินะ” เฉียวเวยตกตะลึง
ผู้ดูแลฉิวหัวเราะ
เฉียวเวยห่อเห็ดสนกับเห็ดกระเพาะแพะเป็นสองห่อ แล้วถอนหายใจเบาๆ ตอบว่า “น่าเสียดายผู้ดูแลฉิวมาสายเสียแล้ว ผู้อื่นมีคู่ครองแล้ว สองสามีภรรยาล้วนทำงานอยู่กับข้า ทั้งสองคนยังมีเด็กที่รับเลี้ยงไว้คนหนึ่งอีกด้วย”
จงเกอร์เป็นหลานชายของอากุ้ย หากกล่าวให้ชัดก็นับว่ามีสายเลือดเกี่ยวพันกัน ทว่าตอนนี้จงเกอร์เปลี่ยนมาเรียกว่าท่านพ่อท่านแม่ ก็นับได้ว่าถูกทั้งสองคนรับเลี้ยงไว้แล้ว
“เช่นนั้นหรือ” ผู้ดูแลฉิวผิดหวังเล็กน้อย นับตั้งแต่ภรรยาตายจากไป เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มานานนมนักแล้ว ยากนักจะพบสตรีที่ประทับใจมิน้อยคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว
ชีเหนียงกลับไปที่ห้องแล้วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อย่างกังวลใจ นางรู้จักบุรุษผู้นั้น เคยเห็นเขาในงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ เขานั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเถ้าแก่หรง คิดว่าคงมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับฮูหยินไม่น้อย ตนเองชนเขาเข้า ฮูหยินจะตำหนิหรือไม่
เปลี่ยนอาภรณ์เสร็จ ชีเหนียงก็ไปที่โรงงาน
อากุ้ยขนโถไข่เยี่ยวม้าเข้าไปเก็บในห้องเก็บ เมื่อหมุนตัวมาเห็นชีเหนียง จึงถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเล่า”
ชีเหนียงอธิบาย “เมื่อครู่ไม่ทันระวังชนคนเข้าจึงถูกขี้เถ้าหกใส่”
“ชนผู้ใด” อากุ้ยถามอย่างกังวล ชีเหนียงนิสัยอ่อนโยน เขากลัวว่าชีเหนียงจะถูกรังแก
ชีเหนียงนึกครู่หนึ่ง “เหมือนจะเป็นสหายของฮูหยิน”
อากุ้ยขมวดคิ้ว “สองคนที่มาเมื่อครู่หรือ”
ชีเหนียงพยักหน้า
“คนไหนเล่า นายช่ายเจิ้งหรือผู้ดูแลฉิว” อากุ้ยถาม
ชีเหนียงตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาคนไหนเป็นคนไหน”
จะดีจะเลวอากุ้ยก็เคยเป็นนายท่านในจวนตระกูลใหญ่ ย่อมมีทักษะการจดจำผู้คนอยู่บ้าง ตั้งแต่วันงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่หนก่อน เขาก็จดจำแขกเหรื่อทุกคนได้หมดแล้ว “คนที่อายุน้อยท่าทางสุขุมหน่อยคือผู้ดูแลฉิว คนที่ร่างกายกำยำคือนายช่างเจิ้ง”
“ผู้ดูแลฉิว” ชีเหนียงตอบโดยไม่ต้องนึก
อากุ้ยสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด ชนนายช่างเจิ้งชาวชนบทคนนั้นก็แล้วไปเถิด แต่ดันชนผู้ดูแลเข้า อากุ้ยคว้าหัวไหล่ของชีเหนียงแล้วจ้องนาง “เขามิได้ทำอันใดเจ้าใช่หรือไม่”
ชีเหนียงขมวดคิ้วตอบ “แน่นอนว่ามิได้ทำ เจ้าคิดอะไรหืม นั่นเป็นสหายของฮูหยินนะ เขาจะทำอะไรบ่าวรับใช้คนหนึ่งเล่า”
อากุ้ยตอบจากใจจริง “ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้า หลังจากนี้งานพวกนี้ข้าทำเองก็แล้วกัน เจ้าอยู่ในโรงงานไม่ต้องออกไปข้างนอก”
“เข้าใจแล้ว” ชีเหนียงเข้าไปในโรงงานอย่างว่าง่าย แต่ในใจกลับคิดว่านางมิใช่นกน้อยในกรงเสียหน่อย เหตุใดจะออกไปข้างนอกไม่ได้ เพราะชนคนผู้หนึ่งเข้า หลังจากนี้ก็ไม่อาจออกไปข้างนอกได้แล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นคนที่สำลักอาหารคงมิต้องกินข้าว คนที่สะดุดล้มก็มิต้องเดินแล้วหรือไร…แต่นางเข้าใจว่าอากุ้ยหวังดีกับนาง อากุ้ยใส่ใจนางเกินไป นางเองก็ใส่ใจอากุ้ย ดังนั้นนางจึงไม่อยากทำให้อากุ้ยโมโห
หลายวันหลังจากนั้น เฉียวเวยล้วนยุ่งอยู่แต่ในโรงงาน
เฉียวเวยไม่ตำหนิชีเหนียงที่ชนผู้ดูแลฉิว กระทั่งพูดถึงสักคำก็ไม่มี คล้ายกับว่าทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น นี่ทำให้ชีเหนียงลอบโล่งใจ
วันที่ห้านายช่างเจิ้งก็พาคนมาทำรั้ว พวกเขาล้วนแต่เป็นนายช่างฝีมือเยี่ยม ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็สร้างเสร็จเจ็ดแปดส่วน เพียงสองวันงานทั้งหมดรวมทั้งการสานเถาวัลย์ก็เสร็จสิ้น
เฉียวเวยจ่ายค่าแรงอย่างฉับไว ตอนที่จะจ่ายส่วนของนายช่างเจิ้ง นายช่างเจิ้งดึงดันไม่รับ ไม่ต้องพูดถึงว่าเสี่ยวเฉียวเคยให้เงินพิเศษตนก้อนโตที่เพียงพอเป็นเงินค่าทำรั้วมิรู้กี่ชุด ต่อให้ไม่มีเงินพิเศษนั่น นบเพียงเส้นสายที่เสี่ยวเฉียวแนะนำให้ตน ตนสมควรเป็นฝ่ายมอบของขวัญตอบแทนนางถึงจะถูก
เฉียวเวยหยอกล้อ “หากท่านมาทำงานให้ข้าเปล่าๆ ครั้งหน้าข้าคงไม่กล้าเรียกท่านมาแล้ว ท่านคงไม่ได้รังเกียจว่าทำงานให้ข้าได้เงินไม่มากพอ จึงจงใจหาเรื่องให้ข้าไม่กล้าเรียกท่านมาอีกหรอกกระมัง”
“โธ่ เจ้าใส่ร้ายข้าแล้ว!” นายช่างเจิ้งทำหน้าราวกับได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ “เป็นเพราะได้มากเกินไป ข้าจึงมิกล้ารับต่างหากเล่า! เอาเช่นนี้ ครั้งหน้าข้าจะรับเงินแน่ รับเงินแน่ เช่นนี้ใช้ได้แล้วหรือไม่”
เฉียวเวยจึงไม่บังคับต่อ หากวันหน้ากิจการขยายใหญ่ขึ้นอีกย่อมไม่ขาดโอกาสเชิญนายช่างเจิ้งมาเยือน ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ท่านให้มา ข้าให้ไป มิมีสิ่งใดไม่ดี หากยินดีจะคบหาคนผู้หนึ่งต่อไป ย่อมยินดีรับน้ำใจของเขา
พริบตาเดียวก็ถึงสิ้นเดือน สมควรแจกจ่ายเงินเดือนแล้ว