ตอนที่ 463 กลุ่มคนพิลึกพิลั่น

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 463 กลุ่มคนพิลึกพิลั่น

บนหน้าผา วิหคยักษ์ตัวหนึ่งยืนหุบปีกอยู่ตรงนั้น ภายใต้แสงดาว สองตาสุกสกาวแวววาวเหลือบมองซ้ายทีขวาที

เฉาเซิ่งไหวและสองพี่น้องสกุลเหอยืนเรียงกันอยู่ด้านข้าง ทอดสายตามองไปในตำแหน่งที่พวกหนิวโหย่วเต้าร่อนลงไป

“โฮก…”

เสียงคำรามเลือนรางสายหนึ่งแว่วเข้ามา อยู่ห่างออกไปไกล เสียงจึงไม่ดังนัก แต่ในสถานที่เงียบสงบมืดมิดเช่นนี้ มันกลับได้ยินชัดเป็นพิเศษ วิหคยักษ์ร้อง “กรู้ๆ” หดคอเล็กน้อย ก่อนจะยืดคอเพ่งมองออกไปอีกครั้ง มีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นกัน

ทั้งสามคนสบตากัน ต่างแสดงสีหน้าฉงน

เหอโหย่วฉางเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เหตุใดถึงมีเสียงพยัคฆ์คำรามได้?”

ไม่มีผู้ใดทราบ ทั้งสามจ้องมองไปในทิศทางนั้น สังเกตการณ์อยู่สักพัก ไม่มีเสียงการต่อสู้อันรุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ปรากฏขึ้นมาอีกเลย

เหอโหย่วเจี้ยนแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดถึงไม่มีความเคลื่อนไหวเลย?”

เหอโหย่วฉางเอ่ยว่า “หรือว่าอสูรผีเสื้อจะสังหารพวกเขาอย่างรวดเร็ว เลยไม่ทันได้ต่อสู้ตอบโต้เลย? เจ้าหมีตัวนั้นจะถูกอสูรผีเสื้อสังหารไปด้วยหรือเปล่า?”

แววตาเฉาเซิ่งไหววูบไหวอยู่พักหนึ่ง “ไป ไปดูหน่อย”

เหอโหย่วเจี้ยนยื่นมือไปขวางเล็กน้อย “อย่าวู่วาม เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล?”

เฉาเซิ่งไหวถาม “ศิษย์พี่มีความเห็นใดหรือ”

เหอโหย่วเจี้ยนเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมันค่อนข้างผิดปกติ ถึงแม้จะนอบน้อมต่อพวกเรา แต่ท่าทีกลับดูสุขุมลุ่มลึก รู้สึกเหมือนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แล้วก็สภาวะของสตรีนางนั้นเห็นได้ชัดว่าสูงกว่าคนอื่น แต่กลับเดินตามคนผู้นั้นต้อยๆ ศิษย์น้องไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ? อีกอย่าง เมื่อครู่พวกเราทำแบบนั้นไป พวกเขาไหนเลยจะไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น? ไม่เห็นพวกเขาจะรีบหนีเอาชีวิตรอดเลย กลับกระโดนลงไปข้างล่างทั้งอย่างนั้น นี่มันไม่ปกติเลย!”

เรื่องราวไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้

แววตาทั้งสามพลันสั่นไหว ต่างหันมองออกไปทางด้านซ้าย มองเห็นกลุ่มศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์หลายคนปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในป่า ดูเหมือนจะยืนอยู่บนกิ่งไม้เฝ้าสังเกตอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าได้ยินเสียงพยัคฆ์คำรามนั้นเช่นกัน

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “อาจารย์อาหม่าอยู่ทางนั้น ข้าจะไปขอให้อาจารย์อาหม่าพาเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องมาช่วยเป็นกำลังเสริมให้พวกเรา”

เหอโหย่วฉางถาม “หรือจะปล่อยผ่านไปเสีย?”

สีหน้าขุ่นเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉาเซิ่งไหวในทันใด “ลงมือทำไปแล้วยังจะกลับตัวได้อีกหรือ? หากรอดต้องพบคน หากตายต้องเห็นศพ ถ้าปล่อยให้พวกเขาหนีออกไปฟ้องได้ พวกเราจะซวยกันหมดแน่”

เหอโหย่วฉางมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ในใจค่อนข้างรู้สึกโมโห คนผู้นี้มีท่าทีเยี่ยงคนเป็นศิษย์น้องเสียที่ไหน แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว อีกฝ่ายมีภูมิหลังระดับนั้น เขาไม่อาจล่วงเกินได้ จึงทำได้เพียงอดทนไว้แล้วเอ่ยไปว่า “ศิษย์น้อง พี่ใหญ่ของข้าพูดมีเหตุผล คนพวกนี้ดูผิดปกติจริงๆ อาจจะปิดบังฐานะที่แท้จริงเอาไว้ บางทีอาจจะมีความเป็นมาไม่ธรรมดาจริงๆ”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ข้าว่าท่านลองใช้สมองคิดเสียบ้างเถอะ เพราะว่าอาจจะมีความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่างไรล่ะ เราถึงไม่สามารถปล่อยให้พวกเขารอดออกไปได้ หากเป็นคนธรรมดาไปฟ้องมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่หากเป็นคนที่มีอิทธิพลอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็เดือดร้อนแล้ว หากเรื่องหลุดออกไปพวกเราได้ซวยกันหมดแน่ ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว ไป!” ว่าจบเขาก็ดีดนิ้วดัง ‘เปาะ’ ใส่วิหคยักษ์ที่อยู่ด้านข้าง ชี้นำทิศทางให้

วิหคยักษ์กระโดดลงมาจากหน้าผาแล้วกระพือปีกบินขึ้นมา เขากระโดดขึ้นไปเป็นคนแรก

หากทราบว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นคนที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้พวกเขายังจะกล้าลงมือหรือ? ดวงตาเหอโหย่วฉางฉายแววโกรธเคือง แต่คำพูดบางอย่างทำได้เพียงสะกดกลั้นไว้ในใจ

เหอโหย่วเจี้ยนยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อน้องชายตนเล็กน้อย ส่ายหน้าให้นิดๆ สื่อว่าให้อดทนไว้

ทั้งสองจับมือกระโดดขึ้นไป ร่อนลงบนหลังวิหคพร้อมกัน ทั้งสามบังคับวิหคบินโฉบไปยังตำแหน่งทางด้านซ้ายที่มีคนโผล่หน้าขึ้นมา

กลุ่มคนที่ยืนอยู่เหนือยอดไม้เงยหน้ามองวิหคที่บินเข้ามา

วิหคพุ่งตัวลงไป กระพือปีกแล้วร่อนเกาะลงเหนือยอดไม้ ปีกใหญ่ที่ขยับกระพืออยู่ก่อให้เกิดสายลมพัดโหมจนใบไม้ส่ายไหว ทั้งยังทำให้ควันสีเขียวที่ลอยม้วนอ้อยอิ่งอยู่ภายในป่ากระจัดกระจายไปดั่งเมฆาแยกตัว

ด้านล่างมีเตากำยานขนาดใหญ่หลายใบถูกจุดไว้ ควันสีเขียวที่ลอยขึ้นมามาจากเตากำยานเหล่านั้น กลิ่นควันเป็นกลิ่นเดียวกับหญ้าขับแสงทว่าเข้มข้นกว่ามากนัก เข้มจนแสบจมูก

ทั้งสามร่อนลงมายืนเบื้องหน้ากลุ่มศิษย์ร่วมสำนัก ประสานมือคำนับพร้อมกัน “อาจารย์อา”

อาจารย์อาที่รูปร่างค่อนข้างท้วมเล็กน้อยคนนี้มีนามว่าหม่าจิน ขณะนี้รับผิดชอบดูแลการปลูกหญ้าขับแสงในแถบพื้นที่นี้ เขาทอดสายตามองไปยังทิศทางที่เกิดเสียงคำรามแว่วมา เอ่ยถามเสียงเข้ม “เสียงเมื่อครู่เกิดจากอะไรกันแน่ เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าหรือไม่?”

จะไม่ให้สงสัยเลยก็เป็นไปได้ยาก เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งมายืมวิหคยักษ์จากทางนี้ไป จึงทราบว่าพวกเขาก็มาที่นี่ด้วย

เฉาเซิ่งไหวผายมือเชิญ “อาจารย์อา ออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”

หม่าจินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับเหินร่างไปยังด้านบนยอดไม้อีกต้นหนึ่ง ยืนยกมือไพล่หลังไว้

เฉาเซิ่งไหวก็ทะยานตามไปทันที ปรึกษาหารือกับหม่าจิน

นอกจากสองพี่น้องสกุลเหอแล้ว คนที่อยู่เหนือยอดไม้ทางฝั่งนี้ล้วนไม่ทราบว่าสองคนนั้นกำลังคุยอะไรกันอยู่ทางนั้น…

บนหน้าผา ในที่สุดคนกลุ่มหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้านในภูเขาก็ได้โผล่หน้าออกมา พากันเดินออกมาที่ริมหน้าผา ถูกฉากทิวทัศน์ตระการตาน่าอัศจรรย์เบื้องหน้าดึงดูดสายตา

“สมแล้วที่เป็น ‘แดนแห่งความฝัน’” หลัวหยวนกงอดไม่ได้ที่จะรำพึงชมเชย

คนกลุ่มนี้คือพวกถังอี๋จากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หนิวโหย่วเต้าสั่งให้ถังอี๋พาคนออกไปจากแดนแห่งความฝัน แต่ถังอี๋ไม่ทำตามที่เขาบอก ยังคงพาคนสะกดรอยตามมา อาศัยประโยชน์จากความมืดรอบข้างทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น

ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ได้เห็นพวกหนิวโหย่วเต้ากระโดดลงจากผาไป เดิมทีคิดจะออกมาดูว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ผลคือมองเห็นศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ร่วมทางกับหนิวโหย่วเต้าย้อนกลับมา จึงได้แต่ต้องซ่อนตัวต่อไปอีกสักพัก เพิ่งจะได้โผล่หน้าออกมาในเวลานี้

“ออกจากพื้นที่ป้องกันหญ้าขับแสงมาที่นี่จะไม่เป็นไรหรือ?” ซูพั่วถามด้วยความแปลกใจดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ถังอี๋ชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “ดูสิ คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็อยู่ เมื่อครู่เขามากับศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ น่าจะเตรียมพร้อมมาแล้ว คงไม่เกิดเหตุร้ายขึ้นหรอก”

หลัวหยวนกงมองสำรวจรอบข้างเล็กน้อย “พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ จึงเข้ามายังพื้นที่แถบนี้ได้ แต่พวกเราไม่เหมือนกัน พวกเราไม่สามารถติดตามลงต่อไปได้!”

ซูพั่วกล่าวว่า “เดี่ยวจะเกิดเรื่องขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้สถานะของเจ้านี่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผูกไมตรีกับศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้ พวกเราเทียบเขาไม่ติดแล้ว”

พวกเขาตามมาอย่างเงียบๆ ตลอดทาง พบว่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์พาพวกหนิวโหย่วเต้ามาเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ ไม่เห็นมีผู้ใดได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้เลย จึงเข้าใจผิดว่าหนิวโหย่วเต้าผูกไมตรีกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว

แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น ถังอี๋ถึงไม่ยอมจากไปตามที่เขาบอก นางเองก็มีเจตนาดี เตรียมการว่าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นล่ะก็ นางจะได้พาศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาช่วยเป็นกำลังเสริมได้

ถังอี๋มองซ้ายมองขวา ชี้ไปทางชะง่อนหินข้างหน้าผา พาศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้าไปซ่อนตัว เตรียมการว่าจะรอดูสถานการณ์อยู่ที่นี่ไปก่อน พวกเขาไม่กล้าเข้าสู่สถานที่น่าอัศจรรย์ด้านล่างหน้าผา…

….

“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้างเลย เขาเป็นผู้ใดยังไม่ทราบแน่ชัดเจ้าก็กล้าลงมือแล้วอย่างนั้นรึ? เหลวไหลจริงๆ!” หม่าจินจ้องมองเฉาเซิ่งไหวพลางเอ่ยตำหนิไปยกหนึ่ง

เฉาเซิ่งไหวประสานมือกล่าวไปว่า “อาจารย์อา ศิษย์ผิดไปแล้ว แต่ถ้าปล่อยให้พวกเขารอดกลับไปแจ้งเรื่องได้จริงๆ ข้าได้รับโทษน่ะไม่เท่าไรหรอก กลัวก็แต่จะทำให้ท่านปู่ข้าเสียหน้าไปด้วย”

ท่านปู่ของเขาก็คืออาจารย์ของหม่าจิน

พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ สีหน้าของหม่าจินพลันมืดมนลง ในใจเกิดความคิดชั่ววูบอยากจะตบหน้าไอ้เด็กคนนี้สักฉาด หากเขาไม่มาบอกตนยังพอว่า แต่ในเมื่อมาบอกตนแล้ว ถ้าหากตนยังนิ่งเฉยดูดาย อีกเดี๋ยวหากเกิดเรื่องขึ้น บางทีตนเองอาจจะไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ประเด็นสำคัญคือจะให้อาจารย์จะมองตนอย่างไร? เรื่องราวบางอย่างอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าโทษทัณฑ์ที่เห็นภายนอกก็ได้

หม่าจินกัดฟันกรอด “เจ้าก็น่าจะรู้จักสถานที่แห่งนี้ดี ต่อให้เป็นพวกเรา หากบุกพรวดพราดเข้าไปก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ไม่นานนัก”

นี่เท่ากับเขายอมช่วยเหลือตัวเองแล้ว เฉาเซิ่งไหวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พยักหน้าหงึกๆ พลางเอ่ยไปว่า “อาจารย์อากล่าวถูกแล้วขอรับ ลองเข้าไปค้นหาดูสักหน่อย หากว่าหาไม่พบจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”

หม่าจินหงุดหงิดอย่างยิ่ง หากคนผู้นี้มิใช่หลานชายของท่านอาจารย์ล่ะก็ เขาจะลงมือสั่งสอนให้หนักไปแล้ว แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ อีกฝ่ายมาบอกเรื่องนี้กับตนแล้ว หลังจากนี้ตนจะไปอธิบายกับอาจารย์ในเรื่องนี้ได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องจะไปทำหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทั้งสองทะยานกลับมา หม่าจินเรียกรวมตัวเหล่าศิษย์ส่วนหนึ่งทันที

สองพี่น้องสกุลเหอสบตากัน ทราบความคิดของกันและกันดี มีคนหนุนหลังช่างดีเหลือเกิน แม้แต่อาจารย์อาก็ยังยอมออกโรงช่วย

ไม่นานนัก วิหคยักษ์สี่ตัวบรรทุกคนสิบสองคนขึ้นสู่อากาศ มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่พวกหนิวโหย่วเต้าร่อนลงไป艾琳小說

พอไปถึงเหนือบริเวณนั้นก็ทิ้งศิษย์สี่คนไว้คอยควบคุมวิหคทั้งสี่ตัว อีกเก้าคนที่พากันทะยานเข้าไปในป่า

พอลงไปถึงพื้นก็ตั้งท่าระวังรอบข้างอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักทั้งเก้าคนก็มองเห็นอสูรปีกขาวที่ตายอยู่บนพื้น หม่าจินพาพวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามเดินเข้าไปดู มองออกว่าตายด้วยคมกระบี่

หม่าจินกวาดตามองรอบข้างพลางเอ่ยว่า “ดูสิว่าพอจะมีร่องรอยหรือไม่”

กลุ่มศิษย์รับคำสั่ง ออกสำรวจรอบด้าน แต่ก็คอยเฝ้าระวังไปด้วย

ไกลออกไป ในโพรงไม้บนพฤกษาใหญ่ต้นหนึ่ง มีขนาดใหญ่พอจะบรรจุคนนับสิบได้โดยไม่มีปัญหา พวกหนิวโหย่วเต้าอยู่ด้านในโพรงไม้นั้น

ที่เลือกมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก็เพราะว่ามองจากมุมนี้แล้วเห็นพื้นที่บริเวณนั้นชัดเจน

พอเห็นว่ามีกลุ่มศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์เพิ่มเข้ามาอีก หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ หรือว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะพุ่งเป้ามาที่ตนจริงๆ? แต่เมื่อไล่เรียงเหตุการณ์ดูแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะใช่

หลังใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปกระซิบสั่ง “ในเมื่อบีบคั้นกันถึงขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจแล้ว ข้าก็อยากเห็นนักว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะเล่นเล่ห์อันใด พยายามจับเป็นสามคนนั้นมาให้ได้ ส่วนที่เหลือ…ฆ่าซะ!”

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างตกใจขึ้นมา “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! เจ้าเบื่อจะมีชีวิตอยู่หรือไง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ต้องการกำจัดพวกเราจริงๆ พวกเขาเฝ้าทางเข้าออกอยู่ เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะออกไปได้อย่างราบรื่นอีกหรือ? ไม่สู้ก่อเรื่องให้ใหญ่โตขึ้นหน่อย หากดึงดูดยอดฝีมือของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาทางนี้ได้จะดีที่สุด บางทีอาจจะมีโอกาสอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปได้”

สีหน้าก่วนฟางอี๋ตึงเครียด วันนี้นับว่าได้เรียนรู้ถึงความโหดเหี้ยมบ้าระห่ำเพื่อให้มีชีวิตรอดของคนผู้นี้แล้ว หากบีบคั้นจนเขาเข้าตาจน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาก็กล้าเข้าปะทะทั้งสิ้น

“ฮึ่ม…”

“กี้ด…”

ก่วนฟางอี๋หันไปมอง เห็นหยวนกังกำลังสื่อสารกับอสูรโลหิตตัวนั้นอยู่ ส่งเสียงพร้อมแสดงท่าทางไปด้วย

เดิมทีโพรงไม้แห่งนี้ก็คือรังของอสูรโลหิตตัวนี้ มีกลิ่นแปลกๆ อยู่

“ข้าใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีอยู่ดีๆ แต่ดันมาเจอคนสารเลวอย่างพวกเจ้าสองคนจนพลอยซวยไปด้วย ไม่ช้าก็เร็วคงต้องตายเพราะพวกเจ้าแน่…” ก่วนฟางอี๋สีหน้าโศกเศร้าขุ่นเคือง ทราบดีว่าห้ามไม่อยู่ ที่สำคัญคือนางไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเหมือนกัน จึงทำได้เพียงยืนด่าอยู่ด้านข้าง

หยวนฟางมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สีหน้าตึงเครียด เขาก็กลัวมากเช่นกัน แต่เวลานี้ดูเหมือนเขาไม่มีมีสิทธิ์ออกเสียงใดๆ ทั้งสิ้น พูดออกไปก็ไม่ประโยชน์ ได้แต่มองตาปริบๆ เท่านั้น ในใจกำลังสวดวิงวอนฟ้าดินและพุทธองค์ ขอให้ช่วยปกปักรักษา

“พึมพำอะไรอยู่ได้?” ก่วนฟางอี๋หันมากระซิบเอ็ดหยวนฟาง

หยวนฟางตอบเสียงละห้อย “ท่องพระสูตร!”

ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออก กลอกตาไปทีหนึ่ง พบว่าตัวเองได้มาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนพิลึกพิลั่นเสียแล้ว เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย?

…………………………………………………….