ตอนที่ 431 เป้าหมายของเจ้าหนูน้อย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 431 เป้าหมายของเจ้าหนูน้อย

เจ้าหนูน้อยตบศีรษะของเจ้าดำเบา ๆ เพื่อห้ามปราม จากนั้นก็แนะนำสัตว์เลี้ยงคู่ใจให้หลู่ซวนรู้จัก แม้ว่าหลู่ซวนจะทำตัวเกเรไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำท่าทางรังเกียจหรือดูถูกเด็กนักเรียนที่เสื้อผ้ามีรอยปะชุน ทั้งยังชวนพวกนั้นสนทนาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าในหุบเขามีสิ่งใดน่าสนุกบ้าง หรือมีของกินอร่อยประเภทใด…

เมื่อเดินเข้ามาใกล้บ้านตระกูลหลิน กลิ่มหอมหวนชวนน้ำลายสอก็ทำให้พวกเด็ก ๆ อดยืนนิ่งเฉยเพื่อสูดกลิ่นเข้าจมูกไม่ได้ หลู่ซวนทำตัวเหมือนสุนัขที่สูดดมกลิ่นทางนี้ทีทางโน้นทีพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มว่า “บ้านใครกำลังทำอาหาร ? เหมือนข้าจะได้กลิ่นหมูตุ๋นน้ำแดง…”

มู่เกินเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า“ยังจะมีบ้านใครอีกเล่า ? ต้องเป็นบ้านของเอ้อร์ฮว๋าอยู่แล้ว ! ฝีมือทำอาหารของพี่รองหลินดีมาก นางรู้ว่าพวกเจ้าจะมาวันนี้จึงทำของอร่อยไว้ต้อนรับแน่นอน ! ”

หลู่ซวนตกใจแล้วหันไปมองเจ้าหนูน้อยที่กำลังทำสีหน้าภาคภูมิใจ “หลินจื่อถิง เป็นฝีมือของพี่รองเจ้าจริงหรือ ? ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป เพราะแค่กลิ่นนี้ก็รู้แล้วว่าพี่รองของเจ้าต้องทำอาหารเก่งมาก ! ”

เจ้าหนูน้อยแค่นเสียงดัง ฮึ ด้วยความภาคภูมิใจไม่หยุด “แน่นอนอยู่แล้ว ! รู้ไว้ว่าข้าไม่เคยพูดโอ้อวดเกินจริง ! ”

เจ้าดำใช้เท้าหน้าทั้งสองข้างผลักประตูบ้านตระกูลหลินให้เปิดออก ขณะที่เจ้าหนูน้อยพาสหายทั้งสองคนเข้าไปในลานบ้าน พวกผู้หญิงที่กำลังทำเนื้อแผ่นอยู่ในเวลานี้ก็ยังไม่เลิกงาน ดูเหมือนว่าเนื้อแผ่นชุดสุดท้ายเพิ่งออกจากเตา…

“ฉิงจิ้งหยู ข้าได้กลิ่นเนื้อแผ่น กลิ่นนี้เป็นของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ไม่ผิดเพี้ยน ! ” หลู่ซวนทำเหมือนคว้าหางเปียของเจ้าหนูน้อยได้ เขารีบถามทันที “หลินจื่อถิง เจ้าบอกว่าไม่เคยซื้อขนมกับของกินเล่นจากร้านหนิงจี้ใช่หรือไม่ ? ”

เจ้าหนูน้อยชี้ไปที่เตาอบติดกำแพง “ใช่ ! บ้านเราทำเนื้อแผ่นอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องเสียเงินไปซื้อที่ร้านหนิงจี้อีก ? ”

หยาเอ๋อร์ที่อยู่ในทรงผมของสตรีออกเรือนแล้วกำลังสวมถุงมือเนื้อหนา ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเตาอบและดึงเอาถาดเหล็กขนาดใหญ่ออกจากด้านในทั้งสองถาด เนื้อแผ่นสีแดงเปล่งประกาย ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นออกมา ทำให้หลู่ซวนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่

หลังนำเนื้อแผ่นออกมาผึ่งให้เย็นแล้วก็ใช้กรรไกรตัดให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดหนึ่งชุ่น ( 1 นิ้ว ) บริเวณขอบที่เหลือก็กองทิ้งไว้…ในร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ไม่เคยต้องกังวลเรื่องการขายเศษเนื้อแผ่นเหล่านี้ เพราะมันมีราคาถูกและรสชาติไม่ได้แตกต่างกันเลย…

เจ้าหนูน้อยหยิบเศษเนื้อแผ่นขึ้นมาสองชิ้นแล้วยื่นให้สหายทั้งสอง “ลองชิมสิ…”

หลู่ซวนยัดเข้าปาก หลังชิมรสอย่างละเอียดแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า “นี่คือรสชาติเดียวกับร้านหนิงจี้เลย ! เนื้อแผ่นที่ข้าได้กินจากร้านหนิงจี้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ต้องเป็นของบ้านเจ้าไม่มีผิด ! ”

ฉิงจิ้งหยูพยักหน้าแล้วถามเจ้าหนูน้อยว่า “เนื้อแผ่นของร้านหนิงจี้มาจากบ้านพวกเจ้าหรือ ? ”

เจ้าหนูน้อยตอบด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ารู้แล้วหรือ ! เรายังมีเนื้อกระต่ายเส้นด้วยนะ พวกเจ้าชอบกินแบบรสห้าเครื่องเทศหรือรสหม่าล่า ? ”

“เนื้อกระต่ายเส้นก็เป็นของบ้านพวกเจ้า ? ไม่ได้กินเนื้อกระต่ายเส้นทั้งฤดูหนาวเลย ข้าคิดถึงมันแทบแย่แล้ว ! ” ขณะมองเนื้อกระต่ายเส้นในตะกร้าใบเล็ก ดวงตาของหลู่ซวนก็เปล่งแสงวาววับออกมา

เจ้าหนูน้อยใช้ตะกร้าใบเล็กที่มีขนาดเท่าฝ่ามือมาใส่เนื้อกระต่ายเส้นและเนื้อแผ่นเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปที่ตัวบ้านพลางอธิบายว่า “ฤดูหนาวเลี้ยงกระต่ายยาก ในบ้านจึงเก็บแค่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไว้ หลังฤดูใบไม้ผลิแล้วกระต่ายถึงจะกลับมาผสมพันธุ์อีกครั้ง เนื้อกระต่ายเส้นเหล่านี้จึงเป็นสินค้าชุดแรกของปี…”

เจ้าหนูน้อยพาสหายทั้งสองเดินไปทางห้องของตน ตอนนี้เขาอยู่ห้องเดียวกับพี่สาม หลังจากรู้ว่าเขาจะพาสหายมานอนที่บ้าน พี่สามจึงย้ายไปอยู่กับพี่โม่หานชั่วคราว

หลินเว่ยเว่ยได้ยินเสียงพวกเด็ก ๆ จึงเดินออกจากห้องครัว “ยินดีต้อนรับ แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน…น้องสี่ จงต้อนรับสหายของเจ้าให้ดี ! ”

พอเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้ว หลู่ซวนกับฉิงจิ้งหยูก็รีบทำมือคารวะ “คารวะพี่รองหลิน ! ขอโทษด้วยที่มารบกวน ! ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “มีสิ่งใดต้องขอโทษกันเล่า คิดเสียว่ามาอยู่บ้านตัวเอง เชิญตามสบาย ! ”

เจ้าหนูน้อยหัวเราะคิกคัก “พี่รอง บ้านของหลู่ซวนเข้มงวดมาก ตอนอยู่ที่บ้านไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร เขาต้องระวังทุกฝีก้าว ท่านให้เขาทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน แล้วเขาจะไม่ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่หรือ ! ”

หลินเว่ยเว่ยหัวเราะเล็กน้อย “บ้านของเราไม่ได้มีกฎระเบียบมากมายขนาดนั้นหรอก อยากพูดสิ่งใดก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดมาก ! ”

หลู่ซวนพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะถามว่า “พี่รองหลิน ท่านเคยฆ่าเสือจริงหรือ ? ”

“แค่โชคช่วยเท่านั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยพยายามพูดเลี่ยงเข้าไว้

ทันใดนั้นดวงตาของหลู่ซวนก็เบิกกว้างเหมือนระฆังทองแดง เขาพูดด้วยความตกใจ “แบบนั้นก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว…”

“ไป ไปพักผ่อนที่ห้องข้าก่อน เจ้าไม่ได้บ่นตลอดทางว่าเมื่อยก้นหรอกหรือ ? ” เจ้าหนูน้อยลากตัวสหายออกไป เพราะกลัวอีกฝ่ายจะพูดไม่หยุดจนทำให้พี่รองไม่เป็นอันทำงาน!

บนโต๊ะหนังสือทางทิศตะวันออกของห้องมีตะกร้าใบน้อยจำนวนสี่ใบวางไว้ สองในสี่ใบนั้นบรรจุมันฝรั่งทอดกรอบที่มีรสชาติแตกต่างกันออกไป ส่วนอีกสองใบใช้บรรจุขนมที่แม้แต่เจ้าหนูน้อยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาวางตะกร้าใส่เนื้อกระต่ายเส้นและเนื้อแผ่นไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็รินชาผลไม้ผสมน้ำผึ้งให้สหายทั้งสอง “ลองชิมสิ นี่เป็นของกินเล่นกับขนมที่พี่รองทำเอง สิ่งนี้คือมันทอดกรอบ ทำมาจากถู่โต้ว…ส่วนอันนี้ พูดตามตรงว่าข้าเองก็ยังไม่เคยกิน น่าจะเป็นขนมชนิดใหม่ที่พี่รองเพิ่งทำขึ้นมา”

หลู่ซวนล้างมือ จากนั้นก็หยิบมันฝรั่งทอดกรอบขึ้นมาหนึ่งแผ่น “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ…ทั้งกรอบทั้งหอม มันทำมาจากถู่โต้วจริงหรือ ? ถู่โต้วไม่ใช่ผักหรือไร ? ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะนำมาทำของกินเล่นที่อร่อยถึงขนาดนี้ได้…จริงสิ ขนมอบที่เจ้าเอาไปด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อน คงไม่ได้ทำมาจากถู่โต้วหรอกกระมัง ? ”

“ถูกต้อง ! เอาไป 10 คะแนน ! ” เจ้าหนูน้อยหยิบขนมข้าวซอยตัดขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วเริ่มกัดชิมคำเล็ก ๆ กลิ่นหอมรสสัมผัสกรอบนุ่ม หวานตัดเค็มกำลังพอดี สมแล้วที่เป็นฝีมือของพี่รอง !

ฉิงจิ้งหยูรับขนมข้าวซอยตัดมาจากเจ้าหนูน้อย หลังเอ่ยขอบใจ แล้วดวงตาของเขาก็หันไปจับจ้องที่ชั้นหนังสือ และถามว่า “ตำราเหล่านี้เป็นของเจ้าหมดเลยหรือ ? ”

เจ้าหนูน้อยส่ายหน้า “ตำราในนี้ส่วนใหญ่เป็นของพี่สาม แล้วก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่พี่สามยืมมาจากพี่โม่หาน…จริงสิ พี่โม่หานเป็นคู่หมั้นของพี่รองและยังเป็นผู้ที่สอบเยวี่ยนซื่อได้อันดับหนึ่งของปีนี้ด้วยล่ะ ! ”

ฉิงจิ้งหยูพูดต่อ “ข้าเคยได้ยินเจ้าเล่าว่าพี่ชายก็สอบได้ซิ่วไฉแล้วหรือ ? พี่ชายของเจ้าเป็นบุตรคนโตในบ้านใช่หรือไม่ ? ”

“ไม่ใช่ ! ก่อนพี่ชายของข้ายังมีพี่สาวคนรองกับพี่สาวคนโต ! ” เจ้าหนูน้อยหยิบมันฝรั่งทอดกรอบมากินอย่างเอร็ดอร่อย อื้อ ! เจ้ามันฝรั่งทอดกรอบมีกลิ่นของเนื้อด้วย พี่รองจะต้องทำรสใหม่ออกมาอีกแล้วแน่นอน !

ในที่สุดสีหน้าของฉิงจิ้งหยูก็เปื้อนไปด้วยความตกตะลึง “ข้าเห็นพี่รองของเจ้ายังดูอายุไม่มาก…ถ้าเช่นนั้นพี่ชายที่สอบติดซิ่วไฉของเจ้าจะมีอายุเท่าไหร่เอง ? ”

เจ้าหนูน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายของข้าอายุอ่อนกว่าพี่รองหนึ่งปี ปีนี้เขาจึงอายุ 14 ปี ว่ากันว่าเป็นซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เขตเริ่นอันเชียวนะ ! เป้าหมายของข้าคือทำลายสถิติของพี่สาม เป็นซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดแทนเขา ! ”

หลู่ซวนเริ่มนับนิ้วมือ “ปีนี้เจ้าอายุ 7 ขวบ ถ้าจะทำลายสถิติของพี่ชายก็ต้องสอบติดตอนอายุ 13 ปี ดังนั้นเหลือเวลาอีก 6 ปี…เจ้าต้องพยายามให้มากแล้วล่ะ ! ”

บางคนใช้เวลาสอบหลายสิบปีจนผมและเครามีสีขาวแล้วก็ยังเป็นแค่บัณฑิตถงเซิง เรียนหนังสือ 6 ปีก็คิดจะสอบได้ซิ่วไฉ เว้นแต่ว่ามีความฉลาดจนเหลือล้ำ มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์…ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้ว หลู่ซวนคงพูดจาแดกดันถากถางออกไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ กินของคนอื่นแล้วท่าทีต้องอ่อนลง1…

[i]
1 กินของคนอื่นแล้วท่าทีต้องอ่อนลง หมายถึง กินข้าวบ้านคนอื่นแล้วท่าทีจะอ่อนลง ยอมคล้อยตามหรือทำตามอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย