บทที่ 417 เปลี่ยนแซ่

บทที่ 417 เปลี่ยนแซ่

ไม่ว่าเด็กหญิงจะอายุเท่าไร แต่ถ้าทำตัวไม่มีกฎเกณฑ์ จากนี้ไปจากนี้ไปจะไม่ยิ่งเหิมเกริมเอาหรือ?

พวกโส่วเวินรักน้องมากจากก้นบึ้งของหัวใจ เรียกได้ว่าเป็นความรักที่ลึกซึ้งก็คงไม่เกินจริง

เสี่ยวเถียนรู้ว่าวันนี้คงหลบไม่ได้อีกแล้ว แต่เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองผิดอะไร

เด็กสาวที่มีจิตใจขุ่นมัว ทั้งยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร เธอได้แต่ยืนอยู่มุมห้องอยู่สองชั่วโมง

สุดท้ายคุณย่าก็ทนไม่ไหวเข้าไปช่วยหลานรัก

เสี่ยวเถียมองหญิงชราด้วยความเสียใจ

“สาวน้อย ทำไมหนูมองย่าแบบนี้ล่ะลูก?” หญิงชรารู้สึกว่าตัวเองทำบาปอย่างหนักหนาตอนที่เห็นสายตาของหลานสาว และเสียใจต่อเธอมาก ๆ

“คุณย่า ทำไมไม่ช่วยหนูให้เร็วกว่านี้ หนูยืนจนเมื่อยไปหมดแล้ว

เสี่ยวเถียนพูดออกไปเช่นนั้นจริง ๆ

ตอนที่ยืนไตร่ตรองอยู่ตรงมุมห้อง เธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนไม่รู้สึกเมื่อยเลย

หญิงชรายื่นมือออกไปดีดหน้าผากหลานสาวตัวน้อย

“เด็กคนนี้ ยังไม่สำนึกความผิดอีกหรือ?” คุณย่าซูคาดหวังมาก

เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเด็กฉลาด แต่ทำไมตอนนี้ถึงโง่เขลาแบบนี้ล่ะ?

สุดท้ายเธอก็บอกความผิดของหลานให้ฟัง

เสี่ยวเถียนคิดไม่ถึงสักนิด แต่เธอคิดว่ายืนแบบนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร!

ช่างเถอะ จะถูกหรือผิดมันก็ไม่สำคัญแล้ว

พี่ ๆ คิดว่าเธอทำแบบนี้มันไม่เหมาะ เพราะงั้นจากนี้ไปเธอจะฟังแล้วกัน

ส่วนอันธพาลพวกนั้น คนบ้านซูไม่ได้ไปสอบถามเรื่องราวเลย เดิมทีก็ไม่รู้เรื่องด้วย

แต่คนรอบข้างรู้ดีว่าคนพวกนั้นไม่มาปรากฏตัวอีกแล้ว

พวกเขาขอบคุณร้านอาหารแห่งนี้และคนบ้านนี้มาก

และคิดว่าถ้าไม่มีคนบ้านซู อันธพาลพวกนี้อาจจะทำเรื่องชั่วช้าอยู่ก็ได้

คนพวกนี้ฉลาดและตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า แม้เจ้าของร้านจะมาจากตะวันตกเฉียงเหนือและได้ยินว่าเป็นชาวนา แต่ก็ใช่ว่าจะมาอยู่เมืองหลวงอย่างไร้ความสามารถเสียทีเดียว

เพื่อเอาใจพี่ชาย เสี่ยวเถียนจึงลงมือทำอาหารเย็นด้วยตนเอง และทำในสิ่งที่คุณย่าไม่เคยเห็นมาก่อน

“สาวน้อย หลานยังซ่อนอะไรย่าไว้ด้วยหรือ?”

เสี่ยวเถียนหัวเราะเบา ๆ

มันไม่ใช่ความลับหรอก แต่ส่วนใหญ่เป็นของหายาก ทำกินเองที่บ้านเป็นครั้งคราวก็ได้ ถ้าเป็นเมนูในร้าน เธอคิดว่าวัตถุดิบคงไม่น่าจะพอ

“รสชาติของอาหารจานนี้ดีจริง ๆ เสี่ยวเถียน สอนย่าหน่อยได้ไหม?” คุณย่าซูคันมือยุบยิบ

เสี่ยวเถียนเอ่ยว่า “เดี๋ยวหนูสอนย่าทีหลังนะคะ สูตรง่ายมาก แต่วัตถุดิบหายาก ลองทำกินเองแค่ที่บ้านเราก่อนดีกว่าค่ะ”

เพราะเสี่ยวเถียนทำอาหารเอง คุณย่าจึงให้หลานไปเชิญครอบครัวอื่นมากินข้าวด้วยกัน

เพราะอยู่เมืองหลวงกันไม่กี่บ้าน แม้จะรวมตัวเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเทียบกับที่หงซินแล้ว พวกเราใช้เวลาน้อยกว่าเดิมมาก

เพราะต่างคนต่างมีเรื่องที่ต้องทำ

ระหว่างกินข้าว เถาฮวาพูดถึงเรื่องร้านตัดเสื้ออย่างมีความสุข เธอเอ่ยซ้ำ ๆ ว่าเป็นความคิดของเสี่ยวเถียน ตอนนี้หาเงินได้เยอะมากพอกับค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย

เสิ่นจื่อเจินยิ้ม “ต่อจากนี้คงต้องกินข้าวนิ่ม*[1] แล้วสิ ต้องพึ่งพาเถาฮวาเลี้ยงดูฉันแล้ว!”

เขารู้ความคิดของภรรยาดี

เถาฮวาคิดเสมอว่าบ้านเธออาศัยเงินเดือนของเขาเลี้ยงชีพ และคิดว่าตนต่ำต้อยกว่า แต่ตอนนี้หาเงินได้แล้ว และมีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร อีกทั้งชีวิตคู่ก็ดีมากด้วย

เสิ่นจื่อเจินเป็นคนนิสัยนิ่งสงบ ไม่ได้มีแผนการใหญ่ในใจมากนัก แค่อยากใช้ชีวิตสงบสุขกับคนที่บ้านเท่านั้น

คุณปู่คุณย่าซูบอกได้เลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขนาดไหน ยินดีจากใจจริง ๆ นะ

หลังข้าวเย็น ฝั่งผู้ชายนั่งสนทนา ส่วนฝั่งผู้หญิงมีอวี่รุ่ยหยวนคอยติชมภาพของซื่อเลี่ยง คุณย่าซู เถาฮวา และเหลียงซิ่วทำหน้าที่ล้างจาน

“เถาฮวาเอ้ย ตอนนี้ชีวิตก็ดีแล้วนะ มีลูกชายลูกสาวกับอาจารย์เสิ่นอย่างละคนก็ดีนะ!”

คุณย่าซูคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว

สำหรับชีวิตคู่ ถ้ามีลูกด้วยกันคงจะดีมาก

อาจารย์เสิ่นเป็นผู้ชาย เขามีความสามารถ เดาได้ว่าเขาเองก็คงอยากมีลูกของตัวเองใช่ไหมล่ะ?

สีหน้าของเถาฮวามืดลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้ม “ฉันอายุเยอะแล้วจ้ะ น่าจะมีไม่ได้แล้วล่ะ”

คุณย่าซูขบคิด เหตุผลนี้เองสินะ

เถาฮวาไม่สาวแล้ว ถ้าคลอดลูกก็อาจจะเป็นอันตรายกับตัวเอง

“คุณป้า เสี่ยวกังบอกว่าเขาจะใช้แซ่เสิ่นจากจื่อเจิน ป้าเห็นด้วยไหม?” เถาฮวาลอบถาม

หญิงชราไม่คิดเลยว่าเด็กชายจะมีความคิดเช่นนั้น เธอประหลาดใจมาก “ทำไมเสี่ยวกังคิดแบบนั้นล่ะ?”

เสี่ยวกังเป็นเด็กซุกซน แล้วทำไมถึงคิดจะเปลี่ยนแซ่ล่ะ?

“เสี่ยวกังใช้แซ่ของพ่อเขา น่าจะเพราะเหตุการณ์ในตอนนั้น เลยเป็นผลให้เขามีปมในใจ”

“เสี่ยวกังเพิ่งบอกฉันเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองว่าจื่อเจินดีกับพวกเรามาก รักเขาเหมือนเป็นลูกชายแท้ ๆ เลย”

“ตอนที่เสี่ยวกังเรียกจื่อเจินว่าพ่อ ฉันตกใจมาก ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ไม่คิดจะคุยกับฉันหน่อยเลย”

คุณย่าซูจำได้ว่าวันนี้มันแปลก ๆ ตรงไหน ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว

เสี่ยวกังเรียกจื่อเจินว่าพ่อ ก่อนหน้านี้เขาเรียกว่าลุงเสิ่น

“ก็ดีนะ แต่เสี่ยวกังจะคิดถึงพ่อแท้ ๆ ไหม เขาจะเสียใจหรือเปล่า?” คุณย่าซูยังคงกังวล

เพราะตอนนี้เขายังเด็กไง หากวันเวลาเปลี่ยนไปจะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

กลัวว่าจะมานั่งเสียใจทีหลัง ปัญหาจะยิ่งบานปลายเอา

เถาฮวาส่ายหัว “เสี่ยวกังคงไม่เสียใจหรอกค่ะ”

เธอรู้มาตลอดเลยว่าเรื่องของหลี่ฉางหมิง ลูกชายเธอเพิ่งจะรู้

อันที่จริงหลายปีมานี้มันได้กลายเป็นปมที่แก้ไม่ออกภายในใจของเสี่ยวกังแล้วด้วย

แม้ภายนอกลูกจะดูไม่ได้คิดกังวลอะไร แต่เธอรู้ว่าเด็กคนนี้เปราะบางแค่ไหน

กระทั่งเราเดินทางมาถึงเมืองหลวง และได้รับความรักที่จริงใจจากสามีใหม่ จึงช่วยบรรเทาความหนักอึ้งในใจลงได้

“เขาแอบบอกฉันว่า นับจากนี้ไปเขาจะปฏิบัติตัวในฐานะลูกชายของจื่อเจิน และไม่เกี่ยวข้องกับพ่อแท้ ๆ อีก” เมื่อคิดถึงท่าทางของลูก เธอก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา

“เรื่องแบบนี้ถ้าเด็กเต็มใจ จื่อเจินเต็มใจ แล้วเธอไม่คัดค้านอะไรก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก” หญิงชราคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย

“บ้านฉันมีลูกสามคน มีแค่เสี่ยวกังที่ใช้แซ่ของพ่อแท้ ๆ แล้วฉันจะไม่ทำตัวซื่อตรงได้ยังไง?” นี่คือปมที่เถาฮวายังแก้ไม่ได้

“ถ้าเขาใช้แซ่ซูของเธอมาแต่แรก บางทีอาจจะไม่เปลี่ยนแซ่ก็ได้นะ”

เสี่ยวกังเกลียดหลี่ชางหมิงจริง ๆ คุณย่าซูสัมผัสได้เวลาที่คุยด้วย

เถาฮวายังลังเล เขาเป็นพ่อแท้ ๆ สายเลือดเดียวกันเลยนะ จะตัดขาดกันได้จริงหรือ?

ถ้าลูกเสียใจภายหลัง จื่อเจินจะเสียใจขนาดไหนนะ?