ตอนที่ 253 ท่านอาจารย์
เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วหันมาสบตากัน จากนั้นจึงเลิกม่านรถพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปดู
เพียงไม่นานก็ถอยหลังเข้ามาอีกครั้ง พูดกับอวี้ชิงลั่วว่า “ข้ามีธุระนิดหน่อย เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน”
ครั้นกล่าวจบ เย่ซิวตู๋ก็เปิดม่านอีกครั้งและกระโดดลงจากรถม้า ก่อนจะหันไปกำชับเสิ่นอิงที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าว่า “เจ้าพาแม่นางชิงกลับไปก่อน ระวังด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” เสิ่นอิงพยักหน้า หันไปมองคนที่ดูเหมือนเป็นเด็กรับใช้ที่มาหาท่านอ๋องเมื่อครู่พร้อมกับพยักหน้าให้เบา ๆ จากนั้นท่านอ๋องก็เดินตามเขาออกไป
อวี้ชิงลั่วเปิดม่านรถ ‘ฟึบ’ มองไปยังเงาคนสองคนที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน สายตาแอบแฝงด้วยความประหลาดใจ
“คนคนนั้นเป็นใคร?”
เสิ่นอิงส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนหน้านี้ตอนที่ติดตามท่านอ๋อง ข้าไม่เคยเห็นท่านอ๋องรู้จักคนคนนี้ บางที…อาจเป็นคนที่ท่านอ๋องรู้จักช่วงที่ข้าถูกกักขังกระมัง”
อวี้ชิงลั่วลูบคาง ก่อนจะเงยหน้ามองเงาแผ่นหลังของคนที่เดินตามหลังเย่ซิวตู๋อย่างละเอียดอีกครั้ง จนกระทั่งเงาของพวกเขาทั้งสองหายไป จึงบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “เหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นตานัก”
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็นึกไม่ออกว่าแผ่นหลังที่คุ้นเคยคนนั้นเป็นใครกันแน่
สมองก็เริ่มจะปวดแล้ว นางจึงกลับเข้ามาด้านในรถม้าอีกครั้ง สั่งให้เสิ่นอิงขับกลับจวนอ๋อง
ส่วนเด็กรับใช้คนนั้น รอเย่ซิวตู๋กลับมาค่อยถามเขาอีกครั้งก็ได้
รถม้ามุ่งหน้าไปที่จวนอ๋อง ครั้นอวี้ชิงลั่วเข้ามาด้านในลานที่พักตนเอง ก็พบเงาหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
เสิ่นอิงไม่รู้จักอวี้เป่าเอ๋อร์ เขาจึงรีบเข้ามาขวางตรงหน้าอวี้ชิงลั่วโดยไม่หยุดคิด กล่าวด้วยคิ้วที่ขดขมวดว่า “หยุด”
“…” ฝีเท้าของอวี้เป่าเอ๋อร์หยุดลงอย่างรวดเร็วทำให้เขาเกือบหน้าคะมำ เขามองเสิ่นอิงด้วยท่าทางที่อธิบายไม่ได้ เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาที่ไม่แยแสของอีกฝ่ายก็ชะงักไปเล็กน้อย ทั้งยังแอบรู้สึกกลัวขึ้นมาด้วย
โชคดีที่อวี้ชิงลั่วผลักเสิ่นอิงไปข้าง ๆ จับมืออวี้เป่าเอ๋อร์เดินเข้าไปด้านในบ้าน “กินข้าวหรือยัง? วันนี้คุยกับเยว่ซินเป็นเช่นไรบ้าง?”
อวี้เป่าเอ๋อร์มองเสิ่นอิงด้วยความประหลาดใจ แต่ก็เดินตามอวี้ชิงลั่วเข้าไปด้านในอย่างชาญฉลาด กระซิบเสียงเบาว่า “ยังมิได้กินอะไร รอท่านพี่กลับมากินด้วยกัน ท่านพี่ เยว่ซินคุยกับข้าหลายเรื่องเลย ข้ารู้แล้วนะว่าท่านพี่ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่ท่านพี่ไม่ต้องห่วง อวี้เป่าเอ๋อร์จะบอกทุกอย่างที่จำได้กับท่านพี่เอง”
ท่านพี่? เสิ่นอิงจับศีรษะตนเอง เขาไปอยู่ในวังแค่สิบกว่าวัน เหตุใดจู่ ๆ แม่นางอวี้ถึงได้มีเด็กเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน?
เขาเดินตามหลังพวกนางด้วยท่าทางมึนงง ครั้นมาถึงหน้าประตูและได้เห็นโม่เสียนจึงเอ่ยถามเพราะทนไม่ไหว
โม่เสียนหัวเราะร่า “เรื่องที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมากเชียวล่ะ กลับไปข้าจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังเอง เอ๋ จริงสิ ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักสักหน่อย นี่คือเยว่ซิน เป็นสาวรับใช้คนก่อนของแม่นางอวี้” เขาชี้ไปยังสตรีที่กำลังยืนยิ้มด้วยท่าทางเขินอายอยู่ข้าง ๆ
เสิ่นอิงมองสำรวจนางหนึ่งปราด จากนั้นก็ถูกโม่เสียนยกมือพาดบ่าลากเดินออกไปไกล ๆ “พอแล้ว ๆ ไม่ต้องมองแล้ว เจ้าถูกขังไปสิบกว่าวัน เจ้าดมดูสิ บนตัวกลิ่นเหม็นหึ่งเชียว ไป กลับไปอาบน้ำอาบท่าซะ”
ระหว่างที่พูด หลังจากบอกกับเยว่ซินแล้ว จึงดึงเสิ่นอิงเดินออกไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของเยว่ซินเดินเข้าไปด้านใน เขาจึงรักษาระยะห่างจากเสิ่นอิงอีกเล็กน้อย พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เยว่ซินคนนั้นโง่มาก หลังจากนี้เจ้าอย่าได้ไปสุงสิงกับนางให้มากล่ะ มิเช่นนั้นคงได้โกรธจนอกแตกตายแน่ นี่เห็นเป็นพี่น้องข้าถึงได้เตือนเจ้านะ จำไว้ล่ะ หลังจากนี้อยู่ให้ห่างจากนางสักหน่อย”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็หมุนกายเดินกลับไป
ใบหน้าของโม่เสียนมิอาจบรรยายถึงความรู้สึกได้ เขาหันหน้าขมวดคิ้วสำรวจเงาแผ่นหลังของโม่เสียนไม่หยุด เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่อยู่ที่จวนอ๋องแค่ระยะหนึ่ง กลับมีเรื่องราวจำนวนมากที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว?
คำพูดเหล่านั้นของโม่เสียนที่พูดไว้เมื่อครู่ กำลังเตือนให้เขาออกห่างจากสาวใช้ที่ชื่อเยว่ซินคนนั้นรึ? แล้วเหตุใดตนเองถึงได้ยืนใกล้กันขนาดนั้น ตอนนี้ยังเดินกลับไปที่ห้องนั้นอีก นี่ไม่เท่ากับทำร้ายตนเองหรอกหรือ?
เสิ่นอิงมุมปากกระตุกวูบ จากนั้นจึงก้มหน้าดมกลิ่นเสื้อตนเอง ครั้นได้สูดลมหายใจเข้า เขาก็ส่งเสียงอาเจียนด้วยความขยะแขยง และรีบกลับห้องไปโดยเร็ว
โม่เสียนเดินเข้ามาด้านในห้องของอวี้ชิงลั่วอย่างมีความสุขอีกครั้ง ครั้นได้เห็นเยว่ซินที่กำลังพูดคุยกับอวี้ชิงลั่วไม่หยุด เขาก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวในชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้?” อวี้ชิงลั่วเห็นแสงอาทิตย์ถูกบดบัง จึงหันหน้ามามองเล็กน้อย ก็พบสายตาคู่นั้นของโม่เสียน นางจึงเลิกคิ้วด้วยท่าทางสนอกสนใจอย่างห้ามไม่อยู่
โม่เสียนไอกระแอมเบา ๆ รีบดึงสายตากลับมา กล่าวเสียงขรึมว่า “ข้าเห็นว่านี่ก็สายแล้ว ดังนั้นจึงมาถามแม่นางอวี้ว่าช่วงเที่ยงอยากกินอะไร?”
“ข้าอยากกินอะไรเยว่ซินย่อมรู้ดี เจ้ากับเยว่ซินไปคุยกันเองเถอะ ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะถามเป่าเอ๋อร์อยู่พอดี” อวี้ชิงลั่วสำรวจอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม และนางก็เห็นมุมปากของอีกฝ่ายยกเป็นเส้นโค้งอย่างฉับพลันหลังจากได้ยินคำพูดของนางจริง ๆ
อืม นี่เรียกว่ารักกันหรือไม่นะ?
เยี่ยมมาก
โม่เสียนย่อมดีใจจนควบคุมไม่อยู่ เขาบอกให้เยว่ซินรีบออกมา จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปในครัวด้วยกันเพื่อนำอาหารเที่ยงทั้งหมดมาจัดวางบนโต๊ะ
อวี้ชิงลั่วต้องบำรุงร่างกายของอวี้เป่าเอ๋อร์ให้แข็งแรง เพียงแต่หากให้พึ่งพาแค่อาหารเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ยังต้องออกกำลังกายด้วย ประกอบกับหลังจากนี้อวี้เป่าเอ๋อร์ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งแล้ว นางคิดว่าเขาต้องมีความสามารถในการป้องกันตนเองขั้นพื้นฐานด้วย
“เป่าเอ๋อร์ เจ้าอยากเรียนวรยุทธ์หรือไม่?” หลังจากคีบผักใบเขียวให้อีกฝ่ายสองก้าน อวี้ชิงลั่วจึงเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ
อวี้เป่าเอ๋อร์ชะงัก ก่อนจะออกแรงพยักหน้าพัลวัน “อยาก อยากสิ ข้าอยากเรียนวรยุทธ์ทที่ทรงพลัง ถึงเวลานั้นข้าจะได้ปกป้องท่านพี่ได้ ใครก็มารักแกพวกเราสองพี่น้องไม่ได้อีกแล้ว”
อวี้ชิงลั่วยิ้ม ตอนนี้อวี้เป่าเอ๋อร์มีนางเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ นางกินข้าวไปได้สองคำ จึงหันไปถามโม่เสียนว่า “หลังจากนี้วรยุทธ์ของอวี้เป่าเอ๋อร์ ให้เจ้าเป็นคนสอนก็แล้วกัน”
“…ข้า…ข้า?” โม่เสียนชะงัก เขาเป็นผู้อารักขาของท่านอ๋อง เขาไม่ได้มีเวลามากขนาดที่จะสอนวรยุทธ์กับเด็กคนหนึ่งสักหน่อย
อวี้เป่าเอ๋อร์กลับตื่นเต้น รีบไหลลงมาจากเก้าอี้ คุกเข่าพร้อมกับโขกศีรษะลงบนพื้นต่อหน้าโม่เสียนด้วยความเคารพ “เป่าเอ๋อร์ขอบคุณท่านอาจารย์”
“…” อวี้เป่าเอ๋อร์ผู้นี้เป็นน้องชายของอวี้ชิงลั่วจริง ๆ เป็นน้องชายแท้ ๆ แน่นอน
มุมปากของโม่เสียนกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขานตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง ถึงอย่างไรเรื่องนี้เขาก็ต้องไปบอกนายท่านก่อน หากนายท่านยืนยันว่าหลังจากนี้ไม่ต้องให้เขาคอยติดตามแล้ว เขาก็จะอยู่ที่จวนเพื่อตั้งใจสอนวิชาให้อวี้เป่าเอ๋อร์ก็แล้วกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตอบตกลงไปเลยก็แล้วกัน ดูจากสีหน้าของแม่นางชิงแล้ว นางคงไม่ได้ต้องการให้อวี้เป่าเอ๋อร์เรียนวิชาจนกลายเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์จริง ๆ ขอแค่สามารถป้องกันตัวเองได้ก็พอแล้ว
อวี้ชิงลั่วยิ้มตาหยี สั่งให้อวี้เป่าเอ๋อร์ลุกขึ้นมานั่งกินข้าว เพียงแต่กินข้าวไปได้ไม่กี่คำ จู่ ๆ ก็วางตะเกียบลงอีกครั้ง เงยหน้าสั่งเยว่ซินว่า “เยว่ซิน เจ้าช่วยไปเก็บกล่องยาให้ข้าหน่อย อีกเดี๋ยวข้าจะไปจวนอวี๋”
“จวนอวี๋? คุณหนูจะไปทำอะไรที่จวนอวี๋เจ้าคะ? คนของจวนอวี๋น่ารังเกียจจะตายไป เมื่อวานคุณหนูก็ไปดูอาการให้อวี๋จั้วหลินแล้ว วินิจฉัยไปว่าไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?” เยว่ซินเกิดการต่อต้านต่อจวนอวี๋
อวี้ชิงลั่วกลับหรี่ตาลง นิ้วมือกำเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ข้าจะไปทำธุระที่จวนอวี๋”
…………………………
สารจากผู้แปล
อี้ชิงลั่วจะไปทำธุระอะไรที่จวนอวี๋กันนะ
ไหหม่า(海馬)