บทที่ 472 อาอาจจะยิ่งชอบ เพราะหนูเป็นคนทำ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

วันนี้ เป็นวันสุดท้ายก่อนที่สือจินหว่านจะปิดเทอมฤดูร้อน

เธอสอบเสร็จออกมา โอหยางจวิ้นก็รอเธออยู่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว

สายตาของเธอมองไปที่ขาของเขา : “อาจวิ้น คุณเพิ่งจะดีขึ้น ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะคะ? ฉันโตแล้ว กลับบ้านด้วยตนเองได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันหายแล้ว” เขาพูดจบ ก็กำลังจะเข้าไปจับมือเธอเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กๆแล้ว

เขาชักมือกลับมา หยิบตั๋วหนังสองใบออกจากกระเป๋า แล้วกล่าวกับเธอว่า : “หวันหว่าน วันนี้เลิกเรียนเร็ว เราไปดูหนังกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะ”

ดวงตาของสือจินหว่านเป็นประกาย : “ว้าว เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณนะคะอาจวิ้น!”

เขาเห็นเธอตาเป็นประกาย ก็ยิ้มแล้วพูดว่า : “ชอบดูหนังขนาดนี้เลยเหรอ?”

เธอพยักหน้า แล้วพูดกับเขาว่า : “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณนะคะอาจวิ้นที่มอบของขวัญอำลานี้ให้แก่ฉัน!”

เขาหัวเราะเบาๆ : “ต่อไปถ้าชอบ ฉันมีเวลาก็จะไปเป็นเพื่อนคุณนะ!”

ได้ยินเขาพูดประโยคนี้ จู่ๆเธอก็นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจ เขาไม่ไปกับคุณน้ามู่เหรอ?

เพียงแต่สือจินหว่านไม่ได้ถามออกไป ทั้งสองคนขึ้นรถไปด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงโรงหนังแล้ว

เพราะว่ายังเช้าอยู่ ทั้งสองคนจึงไปซื้อป๊อปคอร์นกับไอศกรีมที่หน้าประตูทางเข้า นั่งรอสักพัก จึงเดินเข้าไปที่โรงหนัง

ถึงอย่างไรสือจินหว่านก็เป็นเด็กผู้หญิง จึงชอบกินขนมเป็นพิเศษ กินไอศกรีมเสร็จแล้ว ก็เริ่มกินป๊อปคอร์นต่อเลย

กำลังกินอย่างเพลิดเพลิน เห็นโอหยางจวิ้นนั่งยืดตัวตรงจัดระเบียบเสื้อผ้าอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อสาวน้อยหันมาเห็น จึงหยิบป๊อปคอร์นขึ้นมาป้อนใส่ปากโอหยางจวิ้นไป

เขาตกตะลึง หันไปมองเธอ

แสงในโรงหนังค่อนข้างสลัว แต่แววตาของเธอกลับสดใสสว่างไสวเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าโอหยางจวิ้นจะไม่ชอบทานของประเภทนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของสือจินหว่านได้ จึงอ้าปากแต่โดยดี

เธอนำป๊อปคอร์นป้อนใส่ปากเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา

รสชาติหอมหวานของป๊อปคอร์นกระจายไปทั่วทั้งปาก ทำให้โอหยางจวิ้นนึกถึงความรู้สึกที่สือจินหว่านมีให้เขาในตอนเด็กๆ

แต่เจ้าเด็กน้อยในตอนนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเติบโตขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาทอดถอนใจเล็กน้อยกับความมหัศจรรย์ของเวลา

และเวลานี้ ในปากก็มีป๊อปคอร์นที่สือจินหว่านป้อนเข้ามาให้เรื่อยๆ

โอหยางจวิ้นอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วอ้าปากต่อไป

เธอเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะกินขนมอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้จึงกอดถังป๊อปคอร์นแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ๆโอหยางจวิ้นมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ทานด้วยกันกับเธออย่างสะดวกๆ

โฆษณาก่อนหนังจะเริ่มได้จบลงแล้ว กำลังจะเริ่มฉายหนังอย่างเป็นทางการ

นี่เป็นหนังรักสงคราม พูดถึงทหารนักรบ ก่อนออกเดินทาง ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่บ้านเกิดคนหนึ่ง และพอดีว่าหญิงสาวคนนั้นก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน

ในตอนแรก เป็นฉากที่ดูสดใสสวยงาม สือจินหว่านพิงแขนของโอหยางจวิ้น มีความสุขกับการกินไปด้วย และป้อนโอหยางจวิ้นไปด้วย

แต่เมื่อฉากหนังเปลี่ยนไป พระเอกก็ได้รับแจ้งว่าเขาจะต้องไปสนามรบ เป็นธรรมดาที่คู่รักคู่นั้นจะต้องเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดฉากที่เร่าร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เห็นคนทั้งสองจูบกันอยู่ สือจินหว่านก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมา กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งมาปิดตาของเธอไว้

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าเธอก็หายไปในทันที และความมืดก็ได้เข้ามาแทนที่

แต่เพราะความมืดมิดอย่างนี้ บางทีการได้ยินก็กลับถูกเน้นหนักขึ้นมาแทน

เพราะเช่นนี้สือจินหว่านจึงได้ยินแต่เสียงจูบ

เธอรู้สึกได้ว่าหน้าของตนเองแดงก่ำ และใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

ดูเหมือนว่าโอหยางจวิ้นจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงนำสือจินหว่านมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้มือปิดหูของเธอไว้

เมื่อเขาปฏิบัติแบบนี้ มันทำให้เธอกลายเป็นเด็กอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อความอบอุ่นตกมาอยู่บนหน้าอกของเขา ในชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกได้ว่า หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา!

เขากำลังทำอะไรอยู่นะ? เขาหงุดหงิดและตำหนิตัวเองเล็กน้อย แต่ก็หาวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลย

สือจินหว่านก็รู้สึกเขินอายอย่างมาก และเวลานี้ที่เธอพิงอยู่กับหน้าอกของโอหยางจวิ้น มันกลับทำให้เธอนึกถึงฉากเมื่อกี้นี้ขึ้นมา

ในภาพยนตร์ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะเอนตัวพิงหน้าอกของแฟนอย่างนี้……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สือจินหว่านก็รู้สึกว่าในสมองของตนเองมีเสียงดังหึ่งๆขึ้นมา และตรงแก้มของเธอที่แนบชิดกับหน้าอกของโอหยางจวิ้นก็ร้อนผ่าวเป็นพิเศษ

หัวใจของเธอเต้นเร็ว รู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวรุ่มร้อนเหมือนพละกำลังถูกสูบฉีดขึ้นมา และการเต้นของหัวใจเขา ที่ตกลงบนแก้วหูของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า มันราวกับกระทบไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอเลย

เธอกระสับกระส่ายเล็กน้อย ความรู้สึกเช่นนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเหลือเกิน ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือออกมา ต้องการจะหาความสมดุลเล็กน้อย

แต่มือของเธอนั้นอยู่ในความมืด ไม่ทันระวังจึงจับไปที่แขนของเขา เธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเล็กน้อยของเขา จนกระทั่งคนทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ฉากในภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป เพราะโอหยางจวิ้นเอามือของตนเองออกจากหูของสือจินหว่านโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเสียงของพระเอกนางเอกจึงดังชัดเจนยิ่งขึ้น

“I love you Jack……” เสียงของนางเอก เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง

“I love you too” เสียงของพระเอก ก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และความน่าสงสาร

เสียงปลดเปลื้องเสื้อผ้าดังอยู่ในหูของสือจินหว่าน

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนจะรู้ว่าสองคนนั้นต้องการจะทำอะไรกัน ชั่วขณะก็ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรดี

เวลานี้โอหยางจวิ้นก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด เขาเห็นว่าเป็นหนังสงครามจึงพาสือจินหว่านมา อีกทั้งก่อนหน้าที่จะมา เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นป้ายคำเตือนที่บอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 16ปีห้ามดู ภายในใจไม่ได้คิดถึงจุดนี้โดยสิ้นเชิง

เขายื่นมือไปโอบกอดสือจินหว่านเอาไว้ รู้สึกเพียงว่าฉากแบบนี้ สำหรับเขาแล้วดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความโหดร้ายทารุณอย่างหนึ่ง

จนกระทั่ง ความอบอุ่นในอ้อมกอด ทำให้เขานึกถึงวันนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาได้รับบาดเจ็บ ภาพที่เธอนอนเคียงข้างกับเขาเพื่อหลบซ่อน…..

ลำคอของโอหยางจวิ้นขยับเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่า เลือดของตนเองจะสูบฉีดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างจนปัญญาที่จะระงับไว้ได้

เขาอยากจะดึงมือของตัวเองออกอย่างมาก เขามีความคิดที่ไม่ควรจะมีกับหลานสาวของตัวเองได้อย่างไรกัน?

หวันหว่านคือคนที่เขาเลี้ยงดูมาจนโต เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?!

โชคดีที่ ในภาพยนตร์จำกัดฉากที่คนทั้งสองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แล้วหยุดลงในทันที

โอหยางจวิ้นจึงโล่งอก ตบเบาๆที่ไหล่ของหวันหว่านแล้วกล่าวว่า : “หวันหว่าน ดูได้แล้ว”

สือจินหว่านออกมาจากอ้อมกอดของเขา ทั้งแก้มและใบหูล้วนแดงระเรื่อ

เธอกอดถังป๊อปคอร์นในมือเอาไว้แน่น ใช้ของกินเพื่อมากลบเกลื่อนอารมณ์ในเวลานี้ของตนเองที่แทบจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

เวลานี้ เดิมทีความผ่อนคลายของภาพยนตร์ได้ถูกแทนที่ และย้อมไปด้วย ความหนักหน่วงที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะสงครามไม่มีความแน่นอน ถึงแม้พระเอกจะชอบผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่กล้าที่จะให้คำมั่นสัญญาใดๆกับเธอ จึงได้เข้าสนามรบไปแบบนั้น

หลังจากนั้น ล้วนเป็นฉากนองเลือด

บางครั้งตอนเห็นฉากที่ตึงเครียด สือจินหว่านก็กอดแขนของโอหยางจวิ้นโดยไม่รู้ตัว

เขาเห็นเธอหวาดกลัวเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ จึงยื่นมือไปนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด จนกระทั่งสงครามที่โหดเหี้ยมจบสิ้นลง

พระเอกผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาหลายครั้งหลายหน สุดท้ายตอนที่ลากขาข้างหนึ่งที่กะเผลกเล็กน้อยกลับมา กลับพบว่า ผู้หญิงที่เขารัก ได้แต่งงานไปแล้ว

เขาเศร้าโศกเสียใจ รู้สึกเหมือนกับว่าถูกคนที่รักหักหลัง

แต่สุดท้าย เมื่อเขาได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายหญิงสาว ภาพมากมายก็ผ่านเข้ามายังตรงหน้า

ที่แท้ ที่เขาสามารถรอดจากการเฉียดตายจากในสงครามมาได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากสามีของหญิงสาว

และทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นสิ่งที่หญิงสาวใช้ความรักและการแต่งงานแลกมา…….

ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงตรงนี้ ก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว พระเอกนางเอกได้พบกันที่นาข้าวยามเย็น มีคำพูดที่อัดอั้นอยู่เต็มหัวใจ แต่กลับพูดได้เพียงประโยคเดียวว่า ไม่เจอกันนานเลยนะ

และสือจินหว่าน แรกเริ่มที่หวาดกลัวเพราะฉากโหดร้ายทารุณ ถึงเวลานี้ กลับถูกครอบงำด้วยความรักที่ฝังใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จนกระทั่ง ภาพยนตร์จบลง เมื่อเธอและโอหยางจวิ้นออกมาด้วยกัน จิตใจของเธอก็รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอนึกถึงว่าพรุ่งนี้จะต้องกลับบ้านแล้ว เป็นเวลาสองเดือนที่ไม่ได้เจอโอหยางจวิ้น ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้จิตใจของเธอหดหู่ลงไปทันที

“หวันหว่าน ไม่สนุกใช่ไหม?” ตอนที่โอหยางจวิ้นเลือกภาพยนตร์ ไม่ได้รู้ว่าตอนจบจะเศร้าแบบนี้ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงจูงมือของสือจินหว่าน : “หวันหว่าน อยากทานอะไรล่ะ ฉันจะพาคุณไปทาน?”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา แล้วรีบส่ายหน้ากับโอหยางจวิ้น เธอกล่าวว่า : “ฉันไม่ได้เป็นไรค่ะ แค่เมื่อกี้ดูภาพยนตร์แล้วรู้สึกสลดใจเล็กน้อย”

เขายิ้มพลางลูบหัวของเธอ : “สาวน้อยยังเด็กแบบนี้ รู้แล้วเหรอว่าอะไรคือความสลดใจ?”

เธอรู้สึกได้ถึงการสัมผัสจากมือใหญ่ๆของเขาที่อยู่บนศีรษะ ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆฉากบางฉากในภาพยนตร์เมื่อกี้ก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง

ในฉาก พระเอกจูงมือนางเอก เดินเล่นอยู่ในป่าไม้

ตอนที่จะจากไป พระเอกจับเอวของนางเอกเอาไว้ โอบกอดเธอแล้วจูบ……

ในความฝันของนางเอก ฝ่ามือของพระเอกวางลงบนดวงตาของนางเอก แล้วกล่าวกับเธอว่า : “ที่รัก ลืมตาเถอะ ฉันกลับมาแล้ว……”

ไม่รู้ทำไม ใบหน้าของพระเอกที่อยู่ในฉากจึงค่อยๆเลือนรางไป จากนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าของโอหยางจวิ้น

“คุณอาจวิ้น…..” สือจินหว่านเปล่งเสียงออกมา

“หืม?” โอหยางจวิ้นเห็นรูปร่างริมฝีปากของเธอแล้ว ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

แต่สือจินหว่านตอบสนองกลับมาทันที คุณพระ เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย! เขาเป็นคุณอาของเธอนะ!

เธอรีบส่ายหน้า แก้มแดงราวกับแอปเปิลขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่กล้ามองเขา ด้วยเหตุนี้จึงก้มศีรษะแล้วเดินไปข้างหน้า

โอหยางจวิ้นไม่รู้ว่าสือจินหว่านกำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุนี้ จึงรีบตามไป

พลบค่ำแล้ว ไฟบนท้องถนนโดยรอบก็สว่างขึ้นแล้ว

สือจินหว่านเห็นว่า ภาพเงาของเธอและโอหยางจวิ้นถูกไฟบนท้องถนนดึงให้ยาวขึ้น

ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามยืดตัวแล้ว แต่ก็ยังคงสูงได้แค่ไหล่ของเขา

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้สึกของผู้ใหญ่จูงเด็กน้อยเหมือนในอดีตแล้ว

มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ชั่วพริบตาหัวใจก็หวานชื่นขึ้นมา จนตัวเธอเองแทบจะไม่มีทางที่จะคาดเดาได้

วันรุ่งขึ้น โอหยางจวิ้นช่วยสือจินหว่านเตรียมข้าวของกลับบ้านเสร็จแล้ว เธอใส่ของจนเต็มกระเป๋าหนึ่งใบ จากนั้น ก็นั่งรถของตระกูลเพอร์เซลล์มาที่สนามบิน

“หวันหว่าน ดูแลตัวเองให้ดีนะ ฉันจะรอคุณกลับมา” โอหยางจวิ้นยืนอยู่หน้าประตูจุดตรวจ

นี่เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านนั่งเครื่องบินกลับบ้านเอง อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วง แต่สาวน้อยยืนกราน เขาจึงทำได้เพียงประนีประนอม

“คุณอาจวิ้น รอฉันกลับมานะ” สือจินหว่านพูดพลาง ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วเดินเข้าไป

ตรวจเช็กความปลอดภัยเสร็จ สือจินหว่านก็นั่งที่ห้องรอขึ้นเครื่อง รอการแจ้งให้ขึ้นเครื่อง

แต่เวลานี้ จู่ๆก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมา!

เธอตื่นตกใจ ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วลุกขึ้นยืน เมื่อกลุ่มผู้โดยสารลุกขึ้นยืนอย่างเป็นกังวลใจ จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด!