War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1801
ตอนที่ 1,801 : ต้วนหลิงเทียนถูกกำหนดให้ตาย?

ลี่เฟิงคือหลิงเทียน และหลิงเทียนก็คือลี่เฟิง

นอกจากตัวต้วนหลิงเทียนเองแล้ว ก็มีเพียงกู่ลี่เท่านั้นที่ล่วงรู้

ดังนั้นพอได้ยินคำถามนี้ของเมิ่งฉิง เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร

“อ่า…ป่านนี้ท่านอาจารย์สมควรรับทราบแล้ว”

เผชิญหน้ากับคำถามดังกล่าวของเมิ่งฉิง ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะพยักหน้ากล่าวตอบไปตามน้ำ เขาเองก็พอเดาได้ว่าทำไมเมิ่งฉิงถึงถามแบบนี้

ไม่มีอะไรมากไปกว่าอีกฝ่ายกังวลว่าอาจารย์ที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมา จะสนใจเคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้ง…

เมิ่งฉิงนั้นไม่ทราบวาอาจารย์ที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมาเป็นยอดฝีมือขอบเขตพลังใด ทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความหวั่นเกรงอยู่หลายส่วน ไม่กล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา…

“เคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้งนั้นหากเป็นอวิชชาชั่วร้ายขัดต่อมโนธรรม พวกเราจักทำลายมัน…แต่หากเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่มีแนวทางไม่ชั่วร้ายอันใด ถ้าอาจารย์ของเจ้าต้องการ ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราก็ยินดีที่จะแบ่งปัน”

สองตาเมิ่งฉิงทอประกายเรืองวูบกล่าวออกตามตรง

“จ้าวตำหนัก อาจารย์ข้า…”

ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดว่าเมิ่งฉิงจะกล่าวออกตรงๆ เขาถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง ทว่าหลังจากที่เขาจะกล่าวอธิบาย เมิ่งฉิงก็กล่าวดักคอเสียก่อน “หากมิได้ลี่เฟิงศิษย์พี่ของเจ้ากับตัวเจ้าบอกกล่าว ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราย่อมไม่อาจได้รับเบาะแสเคล็ดบำเพ็ญมารนี้มาได้”

“อย่างไรก็ตามพวกเรายังมิได้รับเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงนั่นมาครองจริงๆ…วิญญาณของฉีจิ้งยังอ่อนแอเกินไป มิอาจทานทนรับการสืบค้นวิญญาณได้ พวกเราจำต้องรอให้มันฟื้นฟูสักพัก ก่อนที่จะใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณเอาข้อมูลจากมัน และหลั…”

“จ้าวตำหนัก เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวลไป…อาจารย์ของข้าไม่สนใจเคล็ดบำเพ็ญมารอะไรนั่นหรอก….”

ทว่าคราวนี้เป็นเมิ่งฉิงที่กล่าวไม่ทันจบ แต่ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะยิ้มกล่าวออกมาเสียก่อน

“ไม่สนใจหรือ?”

และคราวนี้คำพูดของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้เมิ่งฉิงเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง

นั่นมันเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง!

ยังมีคนที่ไม่สนใจด้วย?

‘ดูเหมือนว่าอาจารย์ของลี่เฟิงกับหลิงเทียน แม้จะเป็นภูมิภาคเบื้องบนแต่ก็มิใช่ตัวตนธรรมดาๆเสียแล้ว…’

ใจเมิ่งฉิงสะท้านไปไม่น้อย ลอบคิดคาดในใจอย่างหวั่นๆ

“จ้าวตำหนักเมิ่ง ท่านมั่นใจได้เลยว่าอาจารย์ของข้าไม่คิดสนใจเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นแน่นอน และข้าศิษย์พี่รวมถึงท่านอาจารย์ก็จะเก็บความลับเรื่องตำหนักฟ้าลี้ลับได้ครองเคล็ดบำเพ็ญมารเอาไว้ไม่แพร่งพราย”

ต้วนหลิงเทียนพูดต่อ

เมิ่งฉิงที่ได้ยินก็มองเพ่งต้วนหลิงเทียนครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมาอีกครั้ง “มิว่าจะอย่างไร คราวนี้เจ้านับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวงต่อตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…ตอนแรกข้าวางแผนจะแบ่งปันเคล็ดบำเพ็ญมารนี้ให้อาจารย์ของเจ้าเพื่อเป็นการตอบแทน…”

“หากแต่ข้ามิคิดเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะไม่สนเคล็ดวิชาที่ว่า…เช่นนั้นข้าในฐานะตัวแทนตำหนักฟ้าลี้ลับก็จะตอบแทนเจ้าในรูปแบบอื่น…”

วาจาประโยคหลังเมิ่งฉิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “มิทราบว่าตอนนี้เจ้าต้องการอันใดบ้างเล่า หรือเจ้าอยากให้ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราจัดการเรื่องราวอันใดให้หรือไม่?”

“อ่า หากตำหนักฟ้าลี้ลับช่วยข้าได้เรื่องหนึ่งจะดีมาก..ข้ากำลังมีปัญหาเรื่องรวบรวมวัตถุดิบอยู่พอดี”

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ทันทีว่าโอกาสอันดีที่จะใช้อิทธิพลของตำหนักฟ้าลี้ลับมาถึงแล้ว

กู่ซืออวิ๋นแม้จะเป็น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ และมีสายสัมพันธ์กว้างขวางไม่น้อย ทว่าหากเทียบกับตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหมดแล้ว ยังถือว่าด้อยกว่ามาก

หากจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงสั่งการลงไปในนามตำหนักฟ้าลี้ลับล่ะก็ การรวบรวมวัตถุดิบให้เขาจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น!

“วัตถุดิบ? วัตถุดิบอันใดหรือ?”

เมิ่งฉิงงุนงงไม่น้อย

“วัตถุดิบที่ข้าว่า อันที่จริงข้าก็พึ่งไปขอความช่วยเหลือจากอาวุโสกู่เมื่อไม่นานมานี้ บันทึกรายการจึงอยู่ที่อาวุโสกู่…หากจ้าวตำหนักคิดตอบแทนข้าจริงๆ เช่นนั้นก็ช่วยข้ารวบรวมวัตถุดิบที่ข้าต้องการอีกแรงเถอะ มันเป็นวัตถุดิบที่ข้ารวบรวมให้อาจารย์ตามคำสั่ง…พวกมันสำคัญมาก”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”

เมิ่งฉิงเร่งพยักหน้ากล่าวตอบคำ “เดี๋ยวข้าจะไปหาอาวุโสกู่และคัดลอกรายการนั่นมาและทำสำเนาแจกจ่ายออกไป…ข้าในนามตำหนักฟ้าลี้ลับรับปากว่าจะช่วยเจ้ารวบรวมวัตถุดิบพวกนั้นมาให้! ข้าสัญญา!!”

ในฐานะจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ คำมั่นของเมิ่งฉิงมีค่ามาก

ดังนั้นในเมื่อเมิ่งฉิงลั่นวาจามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่คิดบิดพลิ้ว “ขอบคุณจ้าวตำหนัก”

“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เอง…ยังเทียบกับสิ่งที่เจ้ามอบให้ตำหนักฟ้าลี้ลับเรามิได้ด้วยซ้ำ…”

เมิ่งฉิงโบกมือส่งๆ

เรื่องเล็กน้อย?

สำหรับคำพูดนี้ของเมิ่งฉิงนั้น ต้วนหลิงเทียนไร้คำจะกล่าว…จริงอยู่ที่สำหรับเมิ่งฉิงมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาทีเดียว!

วัตถุดิบเหล่านั้นเกี่ยวพันถึงการซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ในสายตาของเขามันมีค่ายิ่งกว่าเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกหลายขุม!

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่อาจอธิบายอะไรออกมาได้

เขาจะพูดอะไรได้?

หรือจะให้บอกความลับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ?

เขาไม่สงสัยเรื่องนี้เลยสักนิด…ทันทีที่เขาบอกความลับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติออกไป จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิงไม่พ้นลงมือฆ่าเขาชิงของทันทีแน่!!

ความเย้ายวนใจของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันสูงเกินไป!

หากเป็นเขายืนอยู่ในจุดเดียวกันกับเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ และเผชิญหน้ากับตัวเขาเองที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าขนาดนี้ เขาก็ต้องบังเกิดความโลภและคิดช่วงชิงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาครองเองแน่!

เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันเป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์ ต่อให้เป็นภูมิภาคเบื้องบนมันก็คือสมบัติที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้!

ตำหนักฟ้าลี้ลับ ในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 การรวบรวมตามหาวัตถุดิบเช่นนี้ นับเป็นงานง่ายๆไม่ได้เหนื่อยแรกอะไรมากมาย

หลังจากที่เมิ่งฉิงถ่ายทอดคำสั่งลงไป อาวุโสทั้งหลายก็เร่งดำเนินการ ทุกฐานปฏิบัติในภูมิภาคเบื้องล่างล้วนได้รับสำเนารายการวัตถุดิบ เร่งออกภารกิจรวบรวมวัตถุดิบแลกรางวัลจ้าละหวั่น เหล่าศิษย์หรือคนนอกที่ต้องการทรัพยากรบ่มเพาะ เคล็ดวิชา ป้ายวรยุทธ์เซียนหรือหินเซียนระดับสูง ล้วนรับภารกิจตามหากันทุกคน

เพียงเวลาผ่านไปไม่นานภูมิภาคเบื้องล่างก็คล้ายจะถูกผู้คนพลิกแผ่นดินตามหาวัตถุดิบแปลกๆกันให้วุ่น…บ้างก็เคยเป็นหินขัดเท้าผู้คน บ้างก็ถูกสตรีไม่รู้ความเอาไปทับฝาผักดอง บ้างก็เป็นของประดับ บ้างก็อยู่ในซอกหลืบร้างผู้คน..เรียกว่ามีคนที่สะสมของแปลกๆไว้ร่ำรวยขึ้นมาชั่วข้ามคืนหลายคนเลยทีเดียว…

ขณะเดียวกัน วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปกว่า 3 เดือน…

จ้าวเติงกับจ้าวจินที่ตรึงกำลังไว้เฝ้าระวังที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ในที่สุดก็กลับมายังตำหนัฟ้าลี้ลับ ผลัดเปลี่ยนให้รองจ้าวตำหนักอีก 2 คนไปเฝ้าที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแทน

และทันทีที่ทั้งคู่กลับมาถึง จ้าวจี้ก็เร่งออกไปต้อนรับทั้งคู่ทันที

“ท่านพ่อ ท่านปู่ พวกท่านเจอตัวหรงฟ่านที่ว่านั่นหรือไม่?”

จ้าวจี้กล่าวถามจ้าวเติงกับจ้าวจินออกมาทันที

“ไม่”

จ้าวเติงส่ายหัว

จ้าวจินซึ่งแต่เดิมมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีทั้งเคร่งเครียด พอได้เห็นหน้าหลานชายคนเดียวอย่างจ้าวจี้ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที “จี้เอ๋อ ช่วงนี้เจ้าไม่ได้หย่อนคล้อยการบ่มเพาะใช่หรือไม่?”

“ไม่เลยท่านปู่”

จ้าวจี้ส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะเดินไปไม่กี่ก้าวมาหยุดเบื้องหน้าจ้าวจิน “ท่านปู่ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว…ท่านไม่ไปหารือกับท่านจ้าวตำหนักเรื่องใช้วิชาควาญวิญญาณกับฉีจิ้งดูเล่า?”

จ้าวจี้นั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยากฝึกฝนบ่มเพาะเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ฉีจิ้งฝึกนัก!

“จี้เอ๋อ…ปู่รู้ว่าเจ้าอยากได้เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงนั่น แต่จะอย่างไรเจ้าอย่าได้ลืมไปว่ามันก็เป็นเคล็ดบำเพ็ญมาร! ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะใช้กลวิธีชั่วร้ายก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นไปมิได้ที่เจ้าจักเอามาฝึก”

จ้าวจินส่ายหัวไปมา กล่าวเตือนด้วยความหวังดี “เรื่องนี้เจ้าเองก็ต้องเตรียมใจเอาไว้บ้าง”

จ้าวจี้ที่ได้ยินคำของจ้าวจิน ก็แย้งออกมาทันที “ท่านปู่ ท่านเป็นคนพูดเองว่าไม่แน่! ท่านไม่คิดเหรอ ว่าเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมันจะใช้วิธีการปกติ?”

“เรื่องนั้นมันก็เป็นไปได้…”

จ้าวจินพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวสืบต่อในแววตายังเผยความรักและเอ็นดูให้เห็น “จี้เอ๋อไม่ใช่ปู่ไม่อยากใช้วิชาควาญวิญญาณกับฉีจิ้งเพื่อเอาข้อมูลเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาให้เจ้า…แต่ตอนนี้วิญญาณของฉีจิ้งมันอ่อนแอเกินไป เกรงว่าจักมิอาจทานทนรับการสืบค้นวิญญาณอันใดได้ไหว! ข้ากลัวว่าไม่ทันได้ข้อมูลอันใดวิญญาณมันจะแตกสลายอย่างถาวรเสียก่อน…”

“ข้าเองก็ไปตรววจสอบอาการบาดเจ็บของมันแล้ว เกรงว่าอย่างน้อยๆต้องรออีกครั้งปี…วิญญาณของมันถึงจะฟื้นฟูมากพอให้รับการสืบค้นวิญญาณได้…”

จ้าวจินกล่าวเสริม

“อีกครึ่งปี…นานขนาดนั้นเชียว”

จ้าวจี้ย่อมผิดหวังไม่น้อย มันเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้ยังต้องรออีกถึงครึ่งปี

“จี้เอ๋อเวลาเพียงแค่ครึ่งปีก็เสมือนชั่วพริบตาเดียว…ครึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ปิดด่านบ่มเพาะให้ดีเถิด มุ่งมั่นทะลวงให้ถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญให้จงได้! ปู่สัญญากับเจ้า หากเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมิใช่อวิชชาชั่วร้าย ปู่จะเอามันมามอบให้เจ้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าซึมไปของจ้าวจี้ จ้าวจินก็เร่งกล่าวปลอบใจออกมาทันที ทำราวกับมันยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งแม้จะโตจนแทบเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว

“ขอบคุณท่านปู่”

จ้าวจี้พลันฉีกยิ้มทันที

ทว่าหลังจากนั้นไม่ทันไร ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจจ้าวจี้ ทำให้ใบหน้ามันเปลี่ยนไปทันใด ยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟันมากแค้น “หลิงเทียน!”

“ท่านพ่อ ท่านปู่ ตอนนี้เรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ถูกจัดการแล้ว…พวกเราจะจัดการกับหลิงเทียนได้รึยัง?”

พอคิดถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา สองตาจ้าวจี้พลันแดงก่ำราวอสูร มันนับว่าเคียดแค้นชิงชังต้วนหลิงเทียนเข้ากระดูกดำแล้วจริงๆ!

หากต้วนหลิงเทียนยังมีลมหายใจอยู่ มันไม่อาจกินอิ่มนอนหลับได้!

พอได้ยินวาจาเคียดแค้นทั้งแลเห็นแววตาเกลียดชังแฝงอำมหิตของจ้าวจี้ สีหน้าแย้มยิ่มอ่อนโยนของจ้าวจินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “จี้เอ๋อเรื่องนี้เจ้ามั่นใจได้เลย…อีกมินานหรอก!”

“ท่านพ่อ…”

ตอนนี้เองจ้าวเติงที่ยืนอยู่ข้างๆพลันกล่าวคำออกมา “ข้าได้ยินว่าท่านจ้าวตำหนักใช้อำนาจของตำหนักฟ้าลี้ลับเต็มกำลังเพื่อรวบรวมวัตถุดิบอะไรบางอย่างให้หลิงเทียน…ถึงแม้ท่านจ้าวตำหนักจักมิได้ยอมรับมันเป็นศิษย์ แต่ยังเห็นมันสำคัญมิใช่น้อย…ดูเหมือนในสายตาท่านจ้าวตำหนัก หลิงเทียนนั่นมิได้เลวร้ายไปกว่าศิษย์เลย

“เรื่องที่เจ้ากล่าวข้าเองก็รู้ดี แต่เหตุผลที่ท่านจ้าวตำหนักช่วยเหลือมันแบบนี้ เพราะมันปฏิเสธในนามของอาจารย์มัน ว่ามิสนใจเคล็ดบำเพ็ญมาร…ทำให้ท่านจ้าวตำหนักจึงต้องหาทางตอบแทนมันด้วยเรื่องนี้”

เรื่องบางอย่างจ้าวจินรู้นั้นจะรู้ดีกว่าจ้าวเติง

“เป็นธรรมดาที่หากพวกเราคิดฆ่าหลิงเทียน พวกเรามิอาจลงมือในตำหนักฟ้าลี้ลับได้…พวกเราต้องหาวิธีล่อให้หลิงเทียนนั่นออกเดินทางไปข้างนอกตำหนักให้จงได้! ตราบใดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันถูกใครฆ่าตาย ต่อให้มีคนสงสัยพวกเราแต่ในเมื่อไร้หลักฐาน ไหนเลยท่านจ้าวตำหนักจักเอาผิดกับพวกเราได้?!”

จ้าวจินกล่าวสืบต่อ ขณะกล่าวแววตายังเผยจิตสังหารอำมหิตออกมาไม่น้อย

จ้าวเติงพยักหน้า

หน้าจ้าวจี้เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้นทันที สองตาทอประกายเยียบเย็น สองหมัดกำแน่นขบเคี้ยวฟันกล่าวออก “หลิงเทียน เจ้ามิอาจอยู่หายใจได้อีกนาน! หากท่านปู่ข้ากำหนดให้ผู้ใดต้องตาย ก็ไม่มีหน้าไหนรอดชีวิตไปได้! เจ้าได้แต่โทษว่าเจ้าโชคร้ายที่เกิดมาเป็นศัตรูกับข้าเถอะ!!”

“กล้าล่วงเกินข้า ให้เจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอตาย!!”

ในใจจ้าวจี้นั้นตัดสินไปแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ!!