ตอนที่ 466 มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 466 มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์

ก่วนฟางอี๋ไม่เคยเห็นภาพที่หยวนกังมักจะทุบตีหยวนฟางอยู่เป็นประจำในอดีต ดังนั้นพอเผชิญอย่างกะทันหันในครานี้ จึงรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจอย่างมาก เห็นๆ อยู่ว่าหยวนฟางเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกน้องคนสนิท ปกติก็ว่าง่ายเชื่อฟังมาก สั่งให้ทำอย่างไรก็ทำไปตามนั้น ถึงไม่มีผลงานแต่ก็ทุ่มเททำงาน ไฉนจึงถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายเช่นนี้เล่า?

ฝ่ายอวิ๋นจีเห็นหยวนฟางถูกทุบตีก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา คล้ายจะคาดเดาอะไรได้

เป็นการทุบตีส่งๆ ยกหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะลงมือค่อนข้างหนัก แต่อย่างน้อยหยวนกังก็หยุดมือแล้ว

หยวนฟางที่ขดตัวอยู่ในมุมนึงค่อยๆ คลายสองแขนที่ป้องหัวออก พอเห็นว่าหยวนกังเดินไปแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เช็ดเลือดกำเดาออก ลุกขึ้นมาด้วยสภาพใบหน้าฟกช้ำปูดบวม ยืนหลบอยู่ด้านข้างพลางถอนหายใจ ไม่ได้แสดงความเห็นอันใดออกมา

ก่วนฟางอี๋รู้สึกทนมองไม่ค่อยไหวแล้ว ถึงอย่างไรหยวนฟางก็ทำอาหารเลิศรสมาให้นางอยู่เสมอ ในบรรดาลูกน้องของหนิวโหย่วเต้า เขานับเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับนาง นางเดินเข้าไป เอ่ยถามด้วยท่าทีคล้ายอยากจะช่วยทวงความเป็นธรรมให้ “ตีเจ้าด้วยเหตุใด?”

หยวนฟางตอบอย่างจนใจ “เต้าเหยี่ยก็บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าเห็นข้าขวางหูขวางตา”

ก่วนฟางอี๋ถลึงตา “แค่นี้หรือ?”

เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ? หยวนฟางบ่นในใจ เขาเช็ดเลือดกำเดา สีหน้าท่าทางเหมือนยอมรับชะตา ก่วนฟางอี๋ไม่ชิน แต่เขาชินไปเสียแล้ว

ก่วนฟางอี๋ไม่พอใจที่เขาไม่มีศักดิ์ศรี เอ่ยถามด้วยความโมโหว่า “แล้วเจ้าก็เต็มใจปล่อยให้รังแกเช่นนี้น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าได้ยินเสียงเอะอะจึงหันกลับมามอง “หงเหนียง ข้าว่าเจ้าอย่ามายุแยงสร้างความแตกแยกในหมู่พวกเราจะดีกว่า”

ก่วนฟางอี๋หมุนตัวแล้วเดินเข้ามาหาทันที ชี้พวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามคนที่สลบอยู่บนพื้น “เจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าอีกหรือ ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าพวกเขาสามคนเป็นใคร รู้อยู่แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าพวกเขาสามคนตั้งใจปองร้ายพวกเรา?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ “ใช่!”

ก่วนฟางอี๋โมโหขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้ายังลากพวกเรามาลงหลุมด้วยอีกหรือ? ตอนนี้ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นมา เจ้าจะจัดการอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ไม่เข้าถ้ำเสื้อไหนเลยจะได้ลูกเสือ อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้แล้วว่าพวกเขาลงมือกับพวกเราด้วยสาเหตุใด”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความโมโห “เพื่อที่จะรู้เรื่องนี้ เจ้าก็เลยลากพวกเรามาเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้น่ะหรือ? รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหลุมพรางก็ยังลากพวกเรามาติดกับอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ไว้ด้วยมือเดียว ผายมืออีกข้างออกมา “ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าข้าตัดสินใจถูกต้อง ทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่รู้เรื่องที่พวกเขาสามคนลงมือกับพวกเรา แล้วก็ไม่รู้ถึงตัวตนของพวกเรา ดังนั้นพวกเราล้วนปลอดภัยดี ขอเพียงอ้อมผ่านทางนี้ไปถึงทางออกได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ไม่รู้แล้วว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราว ส่วนเราก็จากไปได้อย่างราบรื่น”

หยวนกังงัดเอารายละเอียดทั้งหมดออกมาจากปากพวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามคนแล้ว ทั้งสามก่อเรื่องนี้ขึ้นโดยปกปิดทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไว้ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของเขาที่ให้อสูรผีเสื้อสังหารศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์คนอื่นๆ ทิ้งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเช่นกัน ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ทราบเรื่องราวล้วนตายไปแล้ว

“…..” ก่วนฟางอี๋ยังไม่รู้ว่าหยวนกังสอบปากคำได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง พอรู้ว่าสามารถออกไปอย่างปลอดภัยได้ นางพลันตะลึงงันไป

หนิวโหย่วเต้าหันมองไปทางอวิ๋นจี ตอนนี้อันตรายที่แท้จริงก็คือสตรีนางนี้ สายสัมพันธ์ร่วมสาบานระหว่างเขากับอวิ๋นฮวนจนถึงตอนนี้ยังคงเหินห่างนัก หากสตรีนางนี้เผยความจริงให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ทราบ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่มีตำแหน่งในหอเลือนสลัวไม่ใช่สิ่งที่สำนักหยกสวรรค์จะเทียบเคียงได้เลย นี่คือหนึ่งในสำนักบำเพ็ญเพียรที่เรียกได้ว่าเป็นสำนักบำเพ็ญเพียรชั้นแนวหน้าของใต้หล้า แม้แต่หอจันทร์กระจ่างก็ไม่อาจเทียบได้ ด้วยกำลังของหนิวโหย่วเต้าในตอนนี้ เขาไม่มีทางต่อกรได้เลย

อวิ๋นจีคล้ายจะเดาความคิดเขาออก พลันเอ่ยขึ้นว่า “จัดการธุระเรียบร้อยหรือยัง? ถ้าเสร็จธุระแล้วก็ไปกันเถอะ”

หนิวโหย่วเต้าหันมา ถือกระบี่เดินเข้ามาหา “ผู้อาวุโส ไม่จำเป็นต้องวิ่งพล่านไปทั่วแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว สามารถใช้ทางอ้อมเลี่ยงออกไปได้”

อวิ๋นจีถาม “จะไม่ช่วยข้าแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าไม่เคยตอบตกลงท่าน ของที่ท่านจะตอบแทนให้ข้าก็ไม่ได้ให้ข้าเช่นกัน ไม่นับว่าผิดสัญญากระมัง?”

อวิ๋นจีเอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนสามารถดำเนินต่อไปได้”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ไม่จำเป็น หากอยู่ต่อจะอันตรายเกินไป ออกไปได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น หากรั้งอยู่ถึงช่วงสุดท้ายที่ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว หากมีแต่พวกเราที่ออกไปเป็นกลุ่มสุดท้าย มันจะทำให้ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่เฝ้าอยู่ตรงปากทางเกิดความสงสัยได้ง่าย ผู้อาวุโส ข้าไม่ทราบว่าเป็นศพของผู้ใดถึงได้รับความสำคัญจากผู้อาวุโสขนาดนี้ ทำให้ผู้อาวุโสยอมมาเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ลังเล แต่สำหรับพวกเรานับว่าไม่คุ้มกันเลย ทิวทัศน์งดงามน่าอัศจรรย์ของที่นี่พวกเราก็ได้เชยชมกันแล้ว หากผู้อาวุโสต้องการค้นหาต่อไป คงได้แต่ต้องเชิญให้ผู้อาวุโสไปเพียงลำพัง พวกเราไม่ขอร่วมทางด้วย”

สำหรับทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าแล้ว เหตุการณ์ที่หยวนฟางถูกทุบตีเมื่อครู่ถูกโยนออกจากสมองไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นหยวนกังหรือก่วนฟางอี๋ หรือแม้กระทั่งหยวนฟางที่หน้าช้ำปูดบวมต่างจ้องมองไปที่อวิ๋นจี ขอเพียงไม่ได้ปัญญาอ่อนต่างก็รู้กันว่าหากทำให้สตรีนางนี้ยอมเงียบปากไม่ได้ วันหน้าจะมีปัญหาตามมาไม่รู้จบ

เมื่อเผชิญการคุกคามจากคนนอก จิตใจของทั้งกลุ่มกลับมาหลอมรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นจีกล่าวว่า “ไม่ได้ หากไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเจ้า ข้าไม่มีทางออกค้นหาภายในป่าโบราณแถบนี้อย่างราบรื่นได้ การค้นหาจะดำเนินไปอย่างล้าช้านัก หากเจ้าต้องการจากไปให้ได้ ข้าก็จะไม่ขวางเจ้า แต่ต้องทิ้งตัวเขาไว้ให้ข้า” นางชี้ไปที่หยวนกัง

หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองเล็กน้อยแล้วหันกลับมา ส่ายหน้าให้อีกฝ่าย “ข้าไม่อาจทิ้งพวกพ้องของตนให้อยู่เสี่ยงภัยกับท่านได้”

อวิ๋นจีเอ่ยว่า “บุตรชายข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าจะไม่ช่วยหน่อยหรือ?”

“ช่วยคนมันก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย” หนิวโหย่วเต้าประสานมือโดยที่ยังกุมดาบไว้ ยังคงเอ่ยปฏิเสธว่า “เชิญผู้อาวุโสตามสบายเถิด พวกเราไม่ขอร่วมทางด้วยแล้ว” พูดจบก็หันหลังเตรียมจากไป

อวิ๋นจีเอ่ยเสียงเข้ม “หากพวกเจ้าทิ้งข้าไปโดยไม่ยอมช่วย ข้าก็อาจจะยั้งปากของตนไว้ไม่อยู่ ถ้าพบกับคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เข้า ข้าอาจจะประหม่าจนพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไปจนหมด”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หนิวโหย่วเต้าชะงักเท้า เหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา “ท่านกำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”

ดวงตาของหยวนกัง ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางต่างฉายแววไม่เป็นมิตร จ้องอวิ๋นจีเขม็ง

อวิ๋นจีกวาดตามองทุกคนคราหนึ่ง “คิดจะลงมือหรือ? ช่างเรื่องแพ้ชนะไปก่อนเถิด แต่หากต่อสู้กันย่อมเกิดเสียงดังจนดึงดูดคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เข้ามา ข้าคิดว่านี่คงไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าอยากจะเห็นกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ในใจข้ายังคงมีคำว่า ‘ศีลธรรม’ อยู่ หวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าอวิ๋นฮวนบุตรชายท่าน ยอมจบเรื่องราวลง อย่าได้บีบคั้นข้าเลย”

พอเขาเอ่ยประโยคนี้ออกไป ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางตะลึงงัน ในที่สุดก็เดาออกแล้วว่าสตรีนางนี้คือผู้ใด ส่วนหยวนกังทราบถึงฐานะของอวิ๋นจีผ่านคำบอกเล่าของหนิวโหย่วเต้าอย่างลับๆ แล้ว

เรื่องราวบางอย่างขอเพียงคนถามเป็นหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าก็จะยอมบอกให้ฟังอย่างง่ายดาย

อวิ๋นจีกล่าวว่า “ใช่ว่าข้าอยากจะมีปัญหากับเจ้า แต่แดนความฝันผีเสื้อเปิดออกทุกสิบปี ทิ้งระยะห่างนานเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเองก็คงไม่ไหวเช่นกัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะบังเอิญพบพวกเจ้าที่มีหนทางจัดการได้ นับเป็นโชคชะตาและวาสนาของข้า หนิวโหย่วเต้า หากช่วยข้าในครานี้ ข้ารับปากเจ้าได้เลยว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่พบเห็นต่อภายนอกแม้แต่คำเดียว หากวันหน้าเจ้ามีเรื่องใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ หากเป็นเรื่องที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่นิ่งดูดายแน่นอน เป็นอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ในเมื่อท่านกล้านำเรื่องนี้มาข่มขู่ข้า แล้วจะให้ข้าเชื่อใจในคำรับรองของท่านได้อย่างไร?”

อวิ๋นจีพยักเพยิดหน้าไปทางหยวนฟาง “เมื่อครู่พวกเจ้าไม่ได้ทุบตีเขาอย่างไร้สาเหตุ คาดว่าคงเป็นเพราะสามคนนั้นรู้ว่าร่างจริงของเขาคือราชาหมีขนทอง ที่ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันนี้ก็เพราะพุ่งเป้ามาที่เขากระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าสบตากับหยวนกัง สตรีนางนี้รู้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ทางพวกเขาเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ราชาหมีขนทองอย่างนั้นหรือ ก่วนฟางอี๋หันไปมองหยวนฟางด้วยความประหลาดใจ นางรู้ว่าหยวนฟางคือปีศาจหมี แต่ไม่รู้เลยว่าร่างจริงของหยวนฟางคือราชาหมีขนทอง

ความเป็นจริงคือ หยวนฟางมิใช่เจ้าอาวาสแห่งวัดหนานซานที่ไม่ทราบถึงความโหดร้ายในโลกบำเพ็ญเพียรเช่นในอดีตแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีทางเปิดเผยร่างจริงของตนให้ผู้ใดรับรู้ได้ง่ายๆ อีก ดังนั้นก่วนฟางอี๋จึงไม่ทราบเช่นกัน

“…..” หยวนฟางก็ตกใจเหมือนกัน ถึงขั้นที่ตระหนกกังวลขึ้นมา

“ดูเหมือนข้าจะเดาถูกสินะ คนที่ทราบข้อมูลของเขาไม่ได้มีแค่สามคนนั้น พวกเจ้าถูกคนจับตามองไว้แล้ว…” อวิ๋นจีเล่าเหตุการณ์ที่ตนพบเจอตอนไปเช่าคฤหาสน์ออกมา จากนั้นก็เอ่ยเสริมไปว่า “พวกโหวฉิงเทียนจับตามองคนผู้นั้นไว้แล้ว ขอเพียงยอมช่วยเหลือข้า หลังออกไปข้าจะมอบตัวเขาให้พวกเจ้าจัดการ”

เวลานี้ก่วนฟางอี๋ถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง มิน่าล่ะหนิวโหย่วเต้าถึงได้เห็นหยวนฟางขวางหูขวางตาจนสั่งให้ทุบตี ต้นตอของเรื่องราวมาจากหยวนฟาง แต่หยวนฟางกลับแสดงท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาเช่นนั้นออกมาอีก เช่นนี้มิใช่การกระตุ้นให้เขาโมโหยิ่งขึ้นหรอกหรือ?

หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยถาม “ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ‘จูเจียง’ คนนั้นเป็นตัวปลอม?”

อวิ๋นจีตอบว่า “บรรพบุรุษของจูเจียงคือจูชื่อเฉิงเจ้าสำนักสองรุ่นก่อนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ อันที่จริงในอดีตข้าก็เป็นคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เช่นกัน เป็นสัตว์วิเศษของจูชื่อเฉิง ร้อยปีก่อนตอนที่แดนความฝันผีเสื้อเปิดออก ข้าติดตามจูชื่อเฉิงเข้ามา จูชื่อเฉิงเองก็อยากตามหาพระราชวังของซางซ่งเช่นกัน เขาพาข้าข้ามมายังที่นี่ ผลปรากฏว่าเจอกับอันตรายอย่างที่รู้ๆ กันเข้า เจออสูรผีเสื้อปิดล้อมโจมตี ตอนนั้นพลังของข้าอ่อนด้อย ร่างแปลงก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เนื่องจากข้ามีวิชาดำดินที่เป็นความสามารถติดตัวแต่กำเนิด จูชื่อเฉิงจึงสั่งให้ข้าหลบหนีออกไปก่อน”

“หลังจากข้าย้อนกลับไปที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ จูชื่อเฉิงก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย พอจูชื่อเฉิงหายตัวไปนานวันเข้า โครงสร้างอำนาจภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ค่อยๆ ปรากฏความเปลี่ยนแปลงขึ้น เนื่องจากข้าก่อเรื่องอาละวาดให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกค้นหาจูชื่อเฉิงเป็นเวลานาน บอกว่าหากยังไม่แน่ใจว่าจูชื่อเฉิงตายแล้ว คนอื่นก็ไม่อาจรับตำแหน่งเจ้าสำนักได้ ทำให้ล่วงเกินคนบางส่วนเข้า กระทบต่อผลประโยชน์ของคนบางส่วน สุดท้ายพวกเขาจึงขับไล่ข้าออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์”

“แต่ในความเป็นจริง เรื่องราวหาใช่เพียงการขับข้าออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสัตว์วิเศษของจูชื่อเฉิง ตอนอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์คนบางกลุ่มไม่อาจลงมือกับข้าได้ กระทั่งข้าออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปก็เผชิญเหตุลอบสังหารทันที หากมิใช่เพราะข้าเป็นวิชาดำดิน เกรงว่าข้าคงตายไปนานแล้ว นับจากนั้นมาเพื่อเอาชีวิตรอด ข้าได้แต่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ จนกระทั่งเติบใหญ่ รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไป ข้าถึงได้กล้าโผล่หน้าออกมา จากนั้นก็ปักหลักอยู่ที่เขาข้ามเมฆา”

“หลังจากนั้นทุกครั้งที่แดนความฝันผีเสื้อเปิดออก ข้าจะเข้ามาตามหาศพของจูชื่อเฉิงเสมอ พร้อมกับถือโอกาสเกื้อกูลทายาทรุ่นหลังด้วย ดังนั้นข้าจึงรู้จักทายาทรุ่นหลังทั้งหมดของจูชื่อเฉิง ”

อย่างนี้นี่เอง พอทุกคนได้ฟังก็สะท้อนใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีนางนี้จะมีอดีตเช่นนี้

หนิวโหย่วเต้าลองถามหยั่งเชิง “ร้อยปีที่ผ่านมา ท่านเข้ามาเสี่ยงอันตรายที่นี่ซ้ำไปซ้ำมาเพียงเพื่อจะตามหาศพนายเก่าอย่างนั้นหรือ?”

เขาเชื่อในเรื่องคุณธรรมความรู้สึก เพียงแต่การที่เข้ามาเสี่ยงอันตรายโดยไม่สนใจแม้กระทั่งกลุ่มคนในการปกครองของตนเช่นนี้มันออกจะเกินไปหน่อย หากอยากแสดงคุณธรรมน้ำมิตรก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นคืออีกฝ่ายเอาแต่เรียกนายเก่าว่า ‘จูชื่อเฉิง’ อยู่ตลอด หากว่ารู้สึกผูกพันถึงเพียงนั้นจริงๆ การเรียกชื่อนายเก่าตรงๆ แบบนี้ ดูคล้ายจะไม่ค่อยให้เกียรติสักเท่าไร ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างสงสัย

อวิ๋นจีเอ่ยว่า “เจ้ากล่าวถูกแล้ว การตามหาจูชื่อเฉิงด้วยเห็นแก่ความผูกพันในอดีตก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่มีอีกเรื่องคือสัญลักษณ์การรับสืบทอดสำนักหมื่นสรรพสัตว์ยังคงอยู่กับตัวจูเฉิงชื่อ แล้วก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย คนที่มารับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักในภายหลังไม่มีสัญลักษณ์นี้อยู่ แปลว่าสัญลักษณ์น่าจะยังอยู่กับศพของจูชื่อเฉิง”

ดวงตาก่วนฟางอี๋ส่องประกายทันที เอ่ยโพล่งออกไป “มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์หรือ?”

…………………………………………………………………