ตอนที่ 413 เสียชีวิตในสนามรบ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 413 เสียชีวิตในสนามรบ

เสิ่นเยี่ยนฉงเงยหน้าขึ้นเห็นไป๋ชิงเหยียนกำลังตั้งใจฟังจึงกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าหากมีชาวบ้านจากหนานเจียงเดินทางมาอีกก็คงน่าเชื่อถือ ทว่า หากไม่มีก็แสดงว่าคนเหล่านี้มีปัญหา ควรตรวจสอบอย่างละเอียดขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า เสิ่นเยี่ยนฉงผู้นี้ฉลาดไม่น้อย

“เก็บคนเหล่านี้เอาไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นและไม่ต้องสนใจพวกเขามากนัก!” ไป๋ชิงเหยียนวางรายชื่อลงบนโต๊ะด้านข้าง มองดูไป๋ชิงผิงและเสิ่นเยี่ยนฉงที่คล้ำและซูบลงไม่น้อย “ลำบากพวกเจ้าแล้ว!”

ไป๋ชิงผิงไม่ได้อยากแย่งผลงานแต่อย่างใด เขากล่าวอย่างละอาย “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดสักเท่าใดขอรับ คนที่ลำบากที่สุดคือเยี่ยนฉงขอรับ”

เสิ่นเยี่ยนฉงรีบบ่ายเบี่ยง จู่ๆ ก็รู้สึกถูกชะตากับไป๋ชิงผิงที่ไม่คิดแย่งความดีความชอบขึ้นมาทันที เมื่อออกมาจากจวนไป๋ เสิ่นเยี่ยนฉงถึงกับชวนไป๋ชิงผิงไปดื่มสุราผ่อนคลายด้วยกัน

ไป๋ชิงผิงกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ “ข้าไม่ค่อยวางใจคนที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่เหล่านั้น เจ้าไปเถิด! หลายวันมานี้เจ้าเหนื่อยมาก ไปผ่อนคลายสักหน่อยแล้วรีบกลับไปที่ค่าย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา พวกเรารับผิดชอบไม่ไหว”

เสิ่นเยี่ยนฉงเห็นท่าทีจริงใจของไป๋ชิงผิง เขาอยากผูกมิตรกับชายหนุ่มจริงๆ จึงยกมือคารวะไป๋ชิงผิง “เมื่อครู่ข้าแย่งความดีความชอบไปจากเจ้า ทว่า สหายผิงกลับไม่โกรธเคืองข้า ข้าจะจดจำไว้ในใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้ ทว่า สหายผิงเป็นน้องชายร่วมตระกูลของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ส่วนข้าเป็นเพียงคนนอก ดังนั้นข้าจึงอยากแสดงความสามารถให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ได้เห็น หากล่วงเกินสหายผิงไป หวังว่าสหายผิงจะไม่ถือโทษโกรธข้า!”

“ข้าไม่สนใจเรื่องผลงานอันใดนั่นหรอก เดิมทีเจ้าก็มีความสามารถมากกว่าข้าอยู่แล้ว ขอเพียงเราทำหน้าที่ที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มอบหมายให้ดี จะเป็นผลงานของผู้ใดก็เหมือนกัน ต่อไปพวกเราควรร่วมมือฝึกซ้อมชาวบ้านให้ดีที่สุดดีกว่า” ไป๋ชิงผิงกล่าวกับเสิ่นเยี่ยนฉง

เสิ่นเยี่ยนฉงฟังจบก็ตัดสินใจไม่ไปดื่มสุรา กล่าวว่าจะกลับไปยังค่ายทหารเพื่อดูแลชาวบ้านกลุ่มใหม่พร้อมกับไป๋ชิงผิงแทน

ทั้งสองเตรียมขึ้นไปบนหลังม้า ไป๋ชิงผิงเหลือบเห็นผู้ดูแลอูซึ่งเป็นคนของไป๋ฉีอวิ๋นชะโงกศีรษะออกมาจากหลังต้นไม้ มองสำรวจเข้าไปในจวนไป๋อย่างลับๆ ล่อๆ

ไป๋ชิงผิงกุมเชือกม้าไว้ในมือ ไม่ได้ก้าวขึ้นหลังม้า ตะโกนเสียงดัง “ผู้ดูแลอู!”

ผู้ดูแลอูได้ยินเสียงก็สะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นไป๋ชิงผิงยืนอยู่หน้าจวนไป๋ เขารีบวิ่งหนีไปอย่างหวาดกลัว

เสิ่นเยี่ยนฉงที่ขึ้นไปบนหลังม้าเรียบร้อยมองไปยังหลังต้นไม้ที่ไร้ซึ่งเงาคน เอ่ยถาม “ผู้ใดกัน”

“ผู้ดูแลข้างกายของท่านลุงใหญ่ของข้า” ไป๋ชิงผิงกล่าวจบก็ก้าวขึ้นไปบนหลังม้า มุ่งหน้ากลับไปยังค่ายทหารพร้อมกับเสิ่นเยี่ยนฉง

เมื่อไป๋ชิงผิงและเสิ่นเยี่ยนฉงจากไป ชุนเถาเดินตามไป๋ชิงเหยียนกลับไปยังเรือนปัวอวิ๋นด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกทั้งขมวดคิ้วแน่น

“คิดอันใดอยู่” ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปเขกศีรษะของชุนเถาเบาๆ

“คุณหนูใหญ่!” ชุนเถาตะโกนออกมาเบาๆ เอื้อมมือจัดหน้าม้าของตัวเอง เงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าแค่นึกถึง…ชุนเหยียนเจ้าค่ะ เสิ่นเยี่ยนฉงผู้นั้นมีนิสัยคล้ายคลึงกับชุนเหยียนมาก ข้ากลัวว่าเขา…”

กลัวว่าเขาจะทรยศคุณหนูใหญ่

“ชุนเถาของเราเริ่มคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้วหรือนี่” ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปยังเรือนปัวอวิ๋นอย่างไม่รีบร้อน “เจ้าคิดว่าเสิ่นเยี่ยนฉงชอบเอาหน้าใช่หรือไม่”

ชุนเถาเดินตามหลังไป๋ชิงเหยียน พยักหน้าเบาๆ “ที่สำคัญคุณชายชิงผิงดูจะซื่อตรงเกินไปเจ้าค่ะ”

เมื่อครู่ชุนเถามองเห็นอย่างชัดเจน ไป๋ชิงผิงอยากเอ่ยปากอยู่หลายครา ทว่า โดนเสิ่นเยี่ยนฉงชิงตัดบททุกครั้ง

“ซื่อตรง?” รอยยิ้มในดวงตาของไป๋ชิงเหยียนกว้างมากขึ้น “เจ้ามองไป๋ชิงผิงผิดไปแล้ว”

ชุนเถาไม่เข้าใจ

“ไป๋ชิงผิงมองนิสัยของเสิ่นเยี่ยนฉงออกจนทะลุปรุโปร่งแล้ว เขารู้ว่าแม้เสิ่นเยี่ยนฉงจะชอบเอาหน้า ทว่า เป็นคนมีความยุติธรรม เขาหาทางผูกมิตรกับเสิ่นเยี่ยนฉงได้แล้ว…” ไป๋ชิงเหยียนอธิบายให้ชุนเถาฟังอย่างช้าๆ “ตอนนี้เสิ่นเยี่ยนฉงมีความสามารถที่ไป๋ชิงผิงใช้งานได้ เขาต้องอาศัยเสิ่นเยี่ยนฉงในการฝึกชาวบ้านเหล่านั้นให้สำเร็จ ดังนั้นเขายินดียกความดีความชอบเหล่านี้ให้เสิ่นเยี่ยนฉง ขอเพียงเสิ่นเยี่ยนฉงยอมให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี”

กลับกัน หากไป๋ชิงผิงแสดงออกว่าเป็นคนมีเล่ห์กล เจ้าวางแผน เสิ่นเยี่ยนฉงไม่เพียงจะไม่ร่วมมือกับไป๋ชิงผิง แต่จะหาทางขัดขวางชายหนุ่มตลอดเวลาซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเรื่องนี้เลยสักนิด

ไป๋ชิงผิงเป็นคนที่ยอมอดทนเพื่อการใหญ่ในวันข้างหน้า บัดนี้เขายังเด็กอยู่…วันหน้าต้องแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จกว่านี้แน่นอน

ชุนเถายังไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่า ในเมื่อคุณหนูใหญ่บอกว่าไป๋ชิงผิงทำถูก เช่นนั้นไป๋ชิงผิงย่อมถูกอย่างแน่นอน

วันที่ยี่สิบเก้า เดือนห้า มีรายงานสถานการณ์รบจากภูเขาชุนมู่ส่งไปยังเมืองหลวงเพื่อแจ้งว่าแม่ทัพจางตวนรุ่ยเสียชีวิตในสนามรบ

ฮ่องเต้รับรู้ข่าวนี้ในช่วงกลางดึก เขาตกใจอยู่นานกว่าจะได้สติ สีหน้าซีดเผือด

“เจ้าว่าอีกทีสิ” ฮ่องเต้ผุดลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆ ที่ยังแต่งกายไม่เรียบร้อย ชี้นิ้วไปยังทหารที่มาส่งสารซึ่งเลือดชุ่มไปทั้งร่าง

“กองทัพต้าเหลียงบุกโจมตีเมือง แม่ทัพจางตวนรุ่ยเสียชีวิตในสนามรบ เมืองชุนมู่ถูกยึดครอง กองทัพต้าเหลียงบุกสังหารปล้นชิงทรัพย์ของชาวบ้านทั่วทั้งเมืองชุนมู่ ฝ่าบาทได้โปรดส่งกองกำลังเสริมไปช่วยเหลือด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารผู้ส่งสารร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ

ฮ่องเต้โมโหจนลมหายใจติดขัด เกาเต๋อเม่ารีบเข้าไปช่วยประคอง “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงเรียกองค์รัชทายาท อัครมหาเสนาบดีหลู่ อัครมหาเสนาบดีหลี่และเสนาบดีกรมทหารเข้าวังมาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “ส่งคนไปตามมา!”

เกาเต๋อเม่ายืนรอรับองค์รัชทายาทอยู่หน้าตำหนักด้วยตัวเอง เขาอดลอบถอนหายใจไม่ได้ หากเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงยังอยู่ ฮ่องเต้คงไม่ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้

ต้าเหลียงตีเมืองชุนมู่แตกแล้ว หากไม่มีผู้ใดคอยขัดขวาง ปล่อยให้ต้าเหลียงบุกโจมตีไปเรื่อยๆ เมืองหลวงต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน

เมื่อเห็นองค์รัชทายาทซึ่งสวมหมวกขุนนางวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว เกาเต๋อเม่ารีบถลาเข้าไปต้อนรับ “องค์รัชทายาทเสด็จมาถึงเสียทีพ่ะย่ะค่ะ”

“แม่ทัพจางตวนรุ่ยเสียชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ เกาอี้เซี่ยนจู่เล่า ขัดขวางกองทัพของต้าเหลียงไว้ไม่ได้หรือ” องค์รัชทายาทวิ่งไปยังตำหนักใหญ่ หอบหายใจเหนื่อยพลางเอ่ยถาม

ปีนี้ไม่มีวันใดได้อยู่อย่างสงบสุขเลยสักวัน เดิมทีเขาออกเดินทางไปจัดการเรื่องความวุ่นวายในเยี่ยนว่อในวันที่เจ็ด เดือนนี้ ทว่า ออกเดินทางไปได้หนึ่งวันก็ถูกม้าสะบัดตกลงมาจากหลังม้า ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจนถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงเงียบๆ

เพราะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ช่วงนี้เขาจึงได้พักผ่อนอย่างสบายใจ นึกไม่ถึงเลยว่าต้าเหลียงจะบุกทำลายเมืองชุนมู่เช่นนี้

“รายงานไม่ได้กล่าวถึงเกาอี้เซี่ยนจู่พ่ะย่ะค่ะ” เกาเต๋อเม่าเอ่ยตอบ

เมื่อเข้าไปใกล้ประตูของตำหนัก จู่ๆ องค์รัชทายาทก็ชะงักฝีเท้าลง หันไปทางเกาเต๋อเม่า “เสด็จพ่อทรงกริ้วเรื่องนี้มากหรือไม่”

เกาเต๋อเม่าลอบบ่นอยู่ในใจ นี่มันเวลาใดแล้ว องค์รัชทายาทยังต้องถามถึงความรู้สึกของฮ่องเต้อีกหรือ เกาเต๋อเม่าเหลือบเห็นอัครมหาเสนาบดีจับมือของบ่าวรับใช้ชายเดินขึ้นบันไดมาอย่างรีบร้อน เขาจึงรีบกล่าวกับองค์รัชทายาท “องค์ชาย ต้าเหลียงโจมตีเมือง ฝ่าบาทจะทรงอารมณ์ดีได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์รัชทายาท!” หลู่เซียงเอ่ยเรียกองค์รัชทายาทด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ จากนั้นทำความเคารพองค์รัชทายาท

เกาเต๋อเม่าทำความเคารพองค์รัชทายาทเสร็จก็หันไปช่วยประคองหลู่เซียง

เสาใหญ่แกะสลักสีดำในท้องพระโรงถูกไฟสะท้อนจนสว่างจ้า

ฮ่องเต้หลับตาประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร เขาพยายามควบคุมอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองเอาไว้