ตอนที่ 434 สวรรค์ นี่คือเรื่องจริงหรือ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 434 สวรรค์ นี่คือเรื่องจริงหรือ?

หลู่ซวนหัวเราะแฮะแฮะ “ข้าก็อยากนอนอยู่หรอก แต่มันนอนไม่หลับน่ะสิ” ตอนแรกเริ่มเขานอนไม่หลับ แต่ตอนนี้เริ่มตื่นเต้นแทน

เจ้าหนูน้อยหันไปตีเขา “รีบนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปเกี่ยวหญ้ากระต่ายอีก ! ”

“อือ…” หลู่ซวนนอนนิ่ง ๆ ได้แค่พักเดียวก็หูผึ่งขึ้นมาอีกครั้ง “หลินจื่อถิง เจ้าฟังสิ นั่นเสียงอะไร ? ”

เจ้าหนูน้อยหาวหวอดและพูดด้วยน้ำเสียงง่วงงุน “จะมีเสียงอะไรได้อีก ? เจ้าหูฝาดไปแล้วกระมัง ? ”

ทันใดนั้นฉิงจิ้งหยูก็ลุกขึ้นนั่งแล้วขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ผิด เหมือนจะมีเสียงบางอย่างที่หลังบ้านจริง ๆ…”

หลู่ซวนกะพริบตาและหัวเราะแห้ง “จะเป็นเสียงกระต่ายที่ลานหลังบ้านซึ่งไม่นอนเหมือนเราแล้วกระโดดเล่นกันหรือเปล่า ? ”

“อา วู้ว…” ทันใดนั้นก็มีเสียงสุนัขหอนดังขึ้นมาจากหลังบ้าน

หลู่ซวนรีบลุกขึ้น “ไอหยา ! เสียงอะไร ? เหตุใดข้าได้ยินเหมือนเสียงหมาป่า ? ”

ฉิงจิ้งหยูหันไปมองเขา “เจ้าได้ยินเสียงหมาป่าหรือ ? ”

หลู่ซวนส่ายหน้าแล้วพูดตามตรงว่า “ไม่แน่ใจ…หลินจื่อถิง เจ้าคิดว่าเป็นเสียงของหมาป่าหรือเปล่า ? ”

เจ้าหนูน้อยถอนหายใจ เกรงว่าหากไม่ทำให้เรื่องนี้กระจ่างแล้ว พวกสหายก็คงนอนไม่หลับ เขาจึงลุกไปสวมเสื้อคลุม “เมื่อครู่เป็นเสียงของเจ้าดำ…”

หลู่ซวนเลิกคิ้ว “ว่าอย่างไรนะ ? เจ้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือเปล่า ? สุนัขของบ้านใครหอนเสียงนี้กันเล่า ? ”

ฉิงจิ้งหยูพูด “ก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าดำมีสายเลือดหมาป่าหรอกหรือ ? มันเห่าหอนเสียงนี้ตลอดเลยหรือ ? ”

เจ้าหนูน้อยพูดอย่างชินชา “อือ มันจะไม่เห่าเหมือนสุนัขบ้าน แต่จะเห่าเหมือนพวกหมาป่า ตอนแรกสุนัขในละแวกนี้ก็ตกใจเพราะมัน ! ”

“ถ้าเช่นนั้น…มันหอนกลางดึกเพราะอะไร ? ” หลู่ซวนตบหน้าผากตัวเอง…หรือมันอยากขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตอนกลางดึก ?

เจ้าหนูน้อยตอบ “ปกติเจ้าดำจะไม่เห่าหอนง่าย ๆ หรอก…นอกจากพ่อจ่าฝูงหมาป่าของมันเอาของขวัญมาให้ มันจึงดีใจขนาดนี้ พวกเจ้า…อยากเห็นจ่าฝูงหมาป่าหรือไม่ ? ”

ทันใดนั้นหลู่ซวนเจ้าอ้วนน้อยใจกล้าก็ทำสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ดูได้จริงหรือ ? จ่าฝูงหมาป่าจะไม่กัดคนหรือไร ? จ่าฝูงหมาป่าเอาของขวัญอะไรมาให้พวกเจ้า ? เร็ว เร็วเข้า ! พาพวกข้าไปดู ประเดี๋ยวจ่าฝูงหมาป่าจะกลับไปก่อน ! ”

ต่อจากนั้นเด็กทั้งสี่คนก็สวมเสื้อคลุมแล้วผลักประตูบ้านออกไป จากนั้นเดินไปยังลานหลังบ้าน ดวงจันทร์ในราตรีนี้สุกสกาว แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังลานหลังบ้านทำให้พื้นเหมือนน้ำค้างแข็งทอประกายสีเงิน ตอนที่พวกเขามาถึงหลังบ้านก็เห็นเงาร่างของสตรีสูงโปร่งยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

“พี่รอง เจ้าเทามาเยือนหรือ ? ” เจ้าหนูน้อยเอ่ยถาม

สตรีคนนั้นหันมามองเด็กน้อยทั้งสี่คนด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เจ้าเทาเอาซากกวางมาให้เราหนึ่งตัว เป็นกวางตัวอ้วนมากเลย ! เย็นพรุ่งนี้จะเอาไปแล่ทำเนื้อกวางหม้อไฟให้พวกเจ้ากิน ! ”

หลู่ซวนเบียดเข้าไปมองอย่างกล้าหาญ เขาใช้ดวงตาเป็นประกายวาววับมองไปยังจ่าฝูงหมาป่าที่กำลังเลียกินน้ำแร่วิญญาณ ก่อนจะพูดด้วยความตกใจ “ว้าว ! นี่คือจ่าฝูงหมาป่าใช่หรือไม่ ? สง่างามมาก ! ถ้ามันยืนขึ้นด้วยสองขาหลังแล้วจะต้องตัวสูงกว่าข้าแน่นอน”

เจ้าหนูน้อยหัวเราะฮ่า ๆ “เจ้าตัวสูงกว่าพี่ชายของข้าเลยหรือ ? ตอนที่เจ้าเทายืนขึ้น มันตัวสูงกว่าพี่สามด้วยซ้ำ ! วันข้างหน้าเวลาเจ้าเดินอยู่ในป่าแล้วสังเกตเห็นว่ามีหมาป่าตามมา เจ้าอย่าหันไปมองเด็ดขาด เพราะถ้าหันไปมองแล้วมันจะกระโจนใส่เจ้าทันที หลังจากกัดคอเจ้าได้แล้ว มันก็จะค่อย ๆ ลากกลับไปกินที่ฝูง ! ”

“จริงหรือ ? ” หลู่ซวนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ในเวลานี้ประตูหลังบ้านโดนศีรษะขนาดใหญ่ของตัวอะไรบางอย่างเปิดออก ทันใดนั้นดวงตาสีเหลืองอำพัน ก็จ้องมายังถ้วยน้ำของเจ้าเทา

“ต้าเหล่าฮุย ! ” หมาป่าตัวนี้คือตัวเดียวกับที่เคยจู่โจมหลินเว่ยเว่ย พอโดนสยบแล้ว นางจึงเรียกมันว่าต้าฮุย แต่เจ้าหนูน้อยเปลี่ยนเป็น ‘ต้าเหล่าฮุย’ ซึ่งทุกครั้งที่มันต้องการกินน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณ มันก็จะละเมิดกฎของฝูงโดยแอบตามจ่าฝูงออกมาและต้องโดนเจ้าเทาสั่งสอนทุกครั้งไป แต่มันยังทำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลินเว่ยเว่ยใช้ให้เสี่ยวร่างไปเอาถ้วยมาอีกหนึ่งใบ ทันใดนั้นต้าเหล่าฮุยก็สะบัดหางและเข้ามาให้หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะอย่างประจบสอพลอ จากนั้นก็เริ่มเลียกินน้ำอย่างมีความสุข

ฉิงจิ้งหยูขมวดคิ้ว “ดูท่าทางแล้วภัยแล้งในภูเขาแถบนี้จะร้ายแรงไม่เบา…” ไม่อย่างนั้นหมาป่าเหล่านี้ก็คงไม่กินน้ำเหมือนเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าหรอก

เจ้าหนูน้อยถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก “สวรรค์ ถ้าฝนยังไม่ตกอีก มนุษย์ก็อยู่ต่อไม่ได้แน่ เสบียงที่ราชสำนักแจกจ่ายให้ราษฎรทางภาคเหนือของเราตลอดช่วงไม่กี่เดือนมานี้ก็แทบจะทำให้ท้องพระคลังว่างเปล่า…”

ฉิงจิ้งหยูพยักหน้า “ข้าคิดว่าคนที่อยู่ติดกับภูเขาอย่างพวกเจ้ายังดีกว่ามาก ยังมีความเขียวขจีให้เห็นอยู่บ้าง ทว่าที่อื่นกลายเป็นภูเขาหัวโล้นหมดแล้ว…ได้ยินว่าก่อนที่อาหารบรรเทาทุกข์จะมาถึงก็มีคนหลายหมู่บ้านต้องกินเปลือกไม้หรือรากไม้ และยังมีคนล้มตายอีกจำนวนมาก…”

เจ้าหนูน้อยทำสีหน้าห่วงใยแผ่นดินและราษฎร “ก่อนจะสร้างกังหันวิดน้ำขึ้นมา พืชผลในหมู่บ้านของเราก็เหี่ยวตายไปแล้วกว่าครึ่ง หลังมีการเก็บเมล็ดสนในฤดูใบไม้ผลิแล้วนำไปรวมกับข้าวสารที่ทางราชสำนักแจกจ่าย พวกชาวบ้านจึงรอดมาได้…”

ก่อนหน้านี้ฉือหลี่โกวมีสภาพน่าอนาถจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่นบ้านของตนก็แล้วกัน ในเวลานั้นพี่รองยังไม่หาย ‘ป่วย’ มารดาก็ร่างกายไม่แข็งแรง ในบ้านต้องกินมื้ออดมื้อ เขาหิวจนเดินไม่ไหว แต่ละวันไม่มีแรงจะไปปลูกผักจึงได้แต่นั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน…

ครอบครัวอื่นที่เป็นเหมือนพวกตนก็ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองหลัง เพื่อให้ลูกหลานได้กินแล้ว พวกผู้ใหญ่ส่วนมากก็เป็นเหมือนมารดาของเสี่ยวร่างที่ต้องนอนติดเตียงเพื่อประหยัดพลังงาน และสุดท้ายก็สิ้นลมด้วยความหิวโหย…

เวลานั้นพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านไม่ได้ร่าเริงถึงขนาดนี้ ตอนไปเก็บผักป่าเพียงลำพังก็ต้องนั่งเก็บอย่างหมดอาลัยตายอยากเหมือนกัน ส่วนใหญ่คือหิวจนเดินไม่ไหว ไฉนเลยจะมีแรงมาวิ่งเล่นกันอีก ?

ฉิงจิ้งหยูขมวดคิ้วจนกลายเป็นผู้เฒ่าตัวน้อย “ราษฎรต้องทนทุกข์กันจริง ๆ…”

หลินเว่ยเว่ยโดนผู้ใหญ่ในคราบเด็กน้อยทั้งสองคนทำให้มีความสุขขึ้นมาทันที นางหันไปลูบศีรษะของพวกเขา “พอแล้ว ! พวกเจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว มีความคิดและหัวใจเยี่ยงขุนนางที่ห่วงใยราษฎรแล้วหรือ ? ถ้ารู้ว่าราษฎรทุกข์ยากก็จงตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อสอบแล้วสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง จะได้สร้างประโยชน์ให้แก่ราษฎรและแผ่นดิน ! ”

“พี่รอง ข้าจะพยายามให้มากกว่าเดิม ! ” ทันใดนั้นความทะเยอทะยานของเจ้าหนูน้อยก็โดนปลุกเร้า “ต่อไปนี้ แม้ว่าข้าจะไม่กล้าเทียบตัวเองกับพี่โม่หาน แต่จะต้องเก่งกว่าพี่สามแน่นอน ! ท่านรอดูได้เลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องสี่ของบ้านเราทั้งฉลาดและรู้ความ แถมยังขยันอีกต่างหาก แล้วจะไม่กล้าเทียบกับพี่โม่หานของเจ้าได้อย่างไร ? ข้าคิดว่าเจ้ามีศักยภาพมากกว่าบัณฑิตน้อยเสียอีก…ศักยภาพของมนุษย์ไร้ที่สิ้นสุด เพียงรอให้เจ้าไปขุดค้นขึ้นมา ! ”

หลังได้ยินแบบนั้นแล้วเจ้าหนูน้อยก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ‘แท้จริงในใจของพี่รองก็เห็นข้าร้ายกาจถึงเพียงนี้ ! ถ้าเช่นนั้นข้าจะต้องพยายามขึ้นแล้วก็พยายามขึ้นอีก จะทำให้พี่รองผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด ! ! ’

เช้าตรู่วันต่อมา ฟ้าเพิ่งสางได้ไม่นานฉิงจิ้งหยูก็โดนปลุกเพราะเสียงอ่านตำรา เขาหันไปมองหลู่ซวนที่กำลังนอนกรนอยู่บนเตียง ทว่าไม่เห็นหลินจื่อถิงกับเสี่ยวร่าง

พอสวมเสื้อผ้าและเดินออกจากห้องแล้ว เขาก็เดินตามเสียงอ่านตำราไปเรื่อย ๆ จนถึงศาลา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าคนที่อ่านตำราอยู่คือหลินจื่อถิง พอเห็นเช่นนั้นฉิงจิ้งหยูก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที…เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลินจื่อถิงจึงได้รับคำชมจากท่านอาจารย์บ่อย ๆ ก็เพราะท้องฟ้ายังไม่สว่าง อีกฝ่ายก็ตื่นขึ้นมาอ่านตำราอย่างขยันขันแข็ง แค่นี้ตัวเขาก็ด้อยกว่าแล้ว

เจ้าหนูน้อยท่องสิ่งที่อาจารย์เพิ่งสอนเมื่อไม่นานมานี้จนคล่อง พอเจียงโม่หานผลักประตูเดินเข้ามาในลานบ้าน เขาจึงรีบนั่งตัวตรงเพื่อรอให้พี่โม่หานทดสอบ