บทที่ 419 ท่านผู้นำอยากมาหา

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 419 ท่านผู้นำอยากมาหา

บทที่ 419 ท่านผู้นำอยากมาหา

วันหนึ่ง บ้านซูได้รับจดหมายจากเหล่าซาน โดยมีเสี่ยวเถียนอ่านจดหมายให้ทุกคนได้ฟัง

เหล่าซานบอกว่าเขากำลังพิจารณาเรื่องลาออกและย้ายตามมาอยู่ที่เมืองหลวง ถ้าได้ลาออกไปแล้ว ครอบครัวเราจะได้กลับมารวมกันอีกครั้ง

เขาบอกอีกว่าตอนนี้ทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดี พี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สะใภ้ทั้งสองสบายดีทุกคน แต่ว่าเสี่ยวเถียนสัมผัสได้ว่าพ่อของตนไม่เต็มใจจะลาออกจากงานเท่าไร

เธอหวังว่าบ้านเราจะได้กลับมารวมกันอีกครั้ง แต่การพบกันในครั้งนี้ไม่ควรให้ใครสักคนต้องเสียสละงานและสิ่งที่ชอบไปสิ

เธอรู้ตั้งนานแล้วว่าพ่อชอบงานนี้มาก มีหนทางอื่นไหมที่พ่อของเธอจะได้ย้ายเข้ามาเมืองหลวงโดยไม่ต้องลาออกน่ะ?

อันที่จริงในยุคนี้เราสามารถโยกย้ายงานได้นะ แต่ว่าขั้นตอนมันยุ่งยากเล็กน้อย

คนแบบพวกเรา ยากมากที่จะหาคนที่ไว้ใจได้

เสี่ยวเถียนขมวดคิ้ว เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครดี หลังจากคิดอยู่สักพักกลับคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าใครพอจะไว้ใจช่วยครอบครัวเราได้บ้าง

“ถ้าไม่ได้ก็ให้พ่อมาก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยหางานในเมืองเอา”

เสี่ยวปาพูดอย่างใสซื่อ

ตอนนี้ครอบครัวของเราอยู่ในเมืองหลวงกันหมด มีแค่พ่อที่อยู่อำเภอโดยลำพัง ไม่มีคนคอยดูแลเลย

ในใจของเหลียงซิ่วหวังว่าสามีจะมาเมืองหลวงแต่เนิ่น ๆ บ้านเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“งานไม่ได้หาง่ายเลยนะ ในเมืองหลวงมีคนตั้งเยอะ ยังไม่ได้งานเลย” คุณปู่ซูไม่เห็นด้วย

“ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ทำงานในร้านอาหารเราก่อนไง มีคนแก่ มีผู้หญิง ต้องการผู้ชายสักคนนะ!” คุณย่าซูขบคิด

“แต่พี่สามเขาไม่ชอบนะคะ” เหลียงซิ่วเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย

เพราะใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปี เธอจึงรู้จักสามีเป็นอย่างดี แล้วก็รู้ด้วยว่าเขาไม่อยากทำงานในครัว

“เรื่องนี้เราค่อย ๆ ปรึกษากันดีกว่าค่ะ มันมีทางออกเสมอแหละ” เสี่ยวเถียนว่า “ไม่ใช่ว่าจะตัดสินใจได้ในชั่วข้ามคืนเสียหน่อย เรามาคิดหาวิธีก่อนค่ะ”

ในเมืองหลวงยังมีทีมยานยนต์อยู่ ถ้าหาคนเหมาะ ๆ ได้สักคนก็ให้หาที่ให้พ่อลงหลักได้

ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ ตอนนั้นมีคนมาเคาะประตูพอดี เป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาของเขาดูไม่คุ้นเลย เป็นคนที่พวกเราไม่รู้จัก

“ขอโทษนะครับ หออีหมิงใช่ร้านที่บ้านซูชวนเปิดหรือเปล่าครับ?”

หลังจากที่เดินเข้ามาเขาก็พูดด้วยท่าทีสุภาพเป็นอย่างมาก

คุณปู่ซูรีบยืนขึ้น “ตาแก่คนนี้ชื่อซูชวนเอง ไม่รู้ว่าสหายตัวน้อยมีเรื่องอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาตาแก่คนนี้?”

คุณปู่ซูพูดด้วยน้ำเสียงสงบ แต่ในใจกลับร้อนรน บ้านเราไม่มีคนหนุนหลังในเมืองหลวงเลย ช่วงนี้ก็ดูเหมือนจะไปทำให้ใครเขาขุ่นเคืองก็ไม่รู้

ไม่รู้ว่าหนุ่มคนนี้เป็นศัตรูหรือมิตร แล้วถ้ามาหาเรื่องถึงบ้านจะทำอย่างไร? วันนี้หลานคนโตก็ไม่อยู่ด้วย!

หลังจากที่ชายหนุ่มได้ยินว่าชายชราบอกชื่อ เขาก็รีบอธิบายเหตุผลที่มาทันที

ที่แท้หนุ่มคนนี้ก็เป็นลูกน้องของอดีตผู้นำ จึงมาคุยเรื่องที่อดีตหัวหน้าอยากจะเชิญคนบ้านซูไปในฐานะแขก

“หัวหน้าบอกว่าครอบครัวของพวกท่านอยู่เมืองหลวงมานานแล้ว และเขายังไม่ได้มาเยี่ยมเลย ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะครับ”

“พูดอะไรแบบนั้นเล่า ผู้นำเขาก็มีธุระของเขา ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกเราหรอก” คุณปู่ซูเอ่ยด้วยความละอายใจ

“อดีตผู้นำบอกว่าเขาต้องมาเยี่ยมด้วยตัวเองถึงจะสบายใจครับ จึงวานให้ผมมาถามพวกท่านว่าเย็นพรุ่งนี้สะดวกหรือเปล่าครับ?”

คุณปู่ซูจะปฏิเสธได้อย่างไร

เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่อดีตผู้นำยินยอมมาหาเลยนะ

“ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว ๆ!” คุณปู่ซูตื่นเต้นมากจนพูดไม่ออก

หลังจากส่งลูกน้องของอดีตผู้นำกลับไป สองผู้สูงวัยก็เริ่มปรึกษากันว่าจะทำอะไรกินเพื่อต้อนรับอีกฝ่ายในวันพรุ่งนี้ดี

“ปู่กับย่าจะเครียดกันทำไมครับ? อดีตผู้นำเขาเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ จะไม่เคยเห็นของอร่อย ๆ เลยหรือ? หรือเขาจะกินของเราลำบาก?” เสี่ยวจิ่วขบขันกับบทสนทนาของพวกเขา และพูดอย่างสบาย ๆ

ในความคิดของเขาคือ อีกฝ่ายเป็นคนใหญ่คนโต ของอร่อยของเผ็ดน่าจะชอบอยู่แล้ว ได้ยินว่าคนพวกนี้จะชอบร้านอาหารของรัฐ แล้วจะมาชอบอาหารของร้านแบบเรา ๆ ได้อย่างไร?

คุณปู่ซูจ้องหลานชายตาเขม็ง

“เด็กแบบแกจะไปเข้าใจอะไร? ในเมื่อเขาอยากมากบ้านเราก็ต้องไม่รังเกียจอาหารเราอยู่แล้ว”

“เรื่องไม่รังเกียจก็อีกเรื่อง เรื่องกินไม่ได้ก็อีกเรื่องนะครับ” เสี่ยวจิ่วยังยืนกราน

กินข้าวสวยกินแป้งสาลีจนชิน แต่ให้คนอื่นกัดก้อนเกลือกิน เขาจะไปยินดีได้อย่างไร?

“มีแขกคนไหนไม่กินอาหารบ้านเราบ้างล่ะ มันเป็นมารยาทนะ แกต้องจำไว้ให้ดีนะ” ชายชราคิดต่างจากหลาน

ไม่ว่าแขกจะกินได้หรือไม่นั้นมันก็เรื่องนึง เรื่องต้อนรับแขกมันก็เรื่องนึง

อีกอย่าง คุณปู่ซูไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกินของอร่อยของเผ็ดทุกวันหรอก

ในปีนึงชีวิตของคนเป็นหัวหน้าไม่น่าจะดีขนาดนั้นหรอก

เสี่ยวจิ่วเห็นใบหน้าดำทะมึนของปู่ราวกับอยากจะตบใครสักคนก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

เขาไม่ใช่เสี่ยวเถียน และยืนอยู่ต่อหน้าปู่ด้วย

เขาเป็นหลานชาย ปู่คิดจะดุก็ดุหรือ?

“ผมจะจำไว้ครับปู่ เวลารับแขกต้องมีมารยาท แขกมาต้องต้อนรับไว้ให้ได้ ผมจะจำให้ขึ้นใจครับ” เสี่ยวจิ่วฉลาดและเข้าใจสถานการณ์ดี เขารีบแสดงตัวออกมา

เมื่อได้ยินคำยืนกรานของหลาน ชายชราไม่ได้พูดอะไรแล้ววางแผนกับภรรยาต่อทันที

เพราะไม่เคยต้อนรับหัวหน้าที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาก่อน และตอนนี้เขากำลังตื่นตระหนก กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี

“ปู่ ถ้าเขามา เขาไม่มีทางรังเกียจเราหรอกนะ ย่าทำอาหารเก่ง ทำอะไรง่าย ๆ ก็พอแล้วครับ!” คราวนี้เสี่ยวปาแนะนำ

ชายชราไม่พอใจ เขาจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ่วจากนั้นก็เสี่ยวปา

มีหลานชายจะไปมีประโยชน์อะไร? พูดจาไม่เข้าท่าสักคน!

เรื่องนี้ต้องให้หลานรักช่วยคิดหาวิธีแล้ว

สองสามีภรรยาคิดเหมือนกันเลย

“หลานรักเอ้ย มาช่วยแนะนำปู่กับย่าทีว่าควรเตรียมอาหารอะไรถึงจะเหมาะ”

คุณย่าซูเรียกเสี่ยวเถียนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลมาหาตน

คุณปู่ซูพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เสี่ยวเถียนมีลูกเล่นเยอะ จะต้องมีความคิดที่ทำให้ผู้นำเขาประทับใจแน่นอน

ที่จริงเสี่ยวเถียนเองก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร ถ้าเขามาก็นับว่าเป็นเพื่อนคนนึงไปสิ

“คุณปู่คุณย่า อาหารบ้านเราอร่อยทุกอย่างนะ”

“อร่อยก็คืออร่อย แต่จะทำให้มันดีขึ้นหน่อยไม่ได้หรือ?” หญิงชราเคาะโต๊ะเบา ๆ

เสี่ยวเถียนเข้าใจความหมายของพวกเขาทั้งสองจึงคลี่ยิ้มออกมา

“ไม่งั้นไปดูที่ตลาดไหมคะ ถ้าเจอวัตถุดิบดี ๆ ก็ซื้อกลับมาค่ะ ถ้าเตรียมของพร้อมแล้วก็คิดว่าจะทำอะไรกินพรุ่งนี้ดี ปู่ย่าว่าดีไหมคะ?”

เพราะพวกท่านอยากได้คนสนุบสนุนความคิด เธอจึงทำอย่างเต็มที่

ของอื่น เธอยังขาดอยู่ก็จริง แต่ของในระบบร้านค้าเธอไม่ขาดนะ!