บทที่ 310 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (1)

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 310 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (1)

“เจ้าก็เอาแต่คิดถึงสามีเจ้า คิดถึงข้าบ้างหรือไม่? ข้าเลี้ยงเจ้ามามิใช่ง่ายเลย แต่เจ้ากลับทำให้ข้าจะต้องอยู่กับความกังวลและหวาดกลัวเช่นนี้หรือ เจ้าลูกคนนี้ เกิดมาให้ข้าใช้หนี้หรืออย่างไร?”

ขณะที่กล่าว ดวงตาของเหล่าไท่ไท่ก็แดงเรื่อ

หลายปีมานี้ นอกจากโจวต้าไห่แล้ว ผู้ที่นางอยู่ด้วยมากที่สุดก็คือโจวกุ้ยหลานนั่นเอง

สำหรับพวกเขาสองคนนี้นางค่อนข้างที่จะลำเอียง ถึงอย่างไรนางก็รักและทะนุถนอมกว่าลูกคนโตอีกสองคน

โจวกุ้ยหลานมิรู้จะทำเช่นไรดี นางจึงปลอบใจเหล่าไท่ไท่อยู่สักพัก แล้วกล่าวกับเหล่าไท่ไท่ว่า “ท่านแม่ ท่านมิคิดหรือว่าบัดนี้สวีฉางหลินเป็นใครกัน หากว่าเขาอยู่ในเมืองหลวงแล้วแต่งภรรยาเพิ่ม ข้ากับลูกที่อยู่ในหมู่บ้านก็คงต้องรับทนทุกข์ ปล่อยให้สตรีคนอื่นมีความสุขไปเช่นนั้นหรือ?”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ แต่งงานมีภรรยาใหม่หรือ มิใช่แน่ ชื่อเล่นสวีฉางหลินมิใช่คนเช่นนั้น” เหล่าไท่ไท่กล่าวแล้วส่ายหน้า

โจวกุ้ยหลานกะพริบตา “เหตุใดจึงเป็นไปมิได้เล่า คนเราล้วนเปลี่ยนแปลงได้ อีกอย่าง สวีฉางหลินอยู่ที่ชายแดนมาสามปี เขามิเคยชายตามองสตรีอื่น แต่เมื่อเดินทางไปเมืองหลวง รายล้อมไปด้วยสตรีเขาจะอดทนได้หรือ”

เมื่อกล่าวจบ นางก็ถอนหายใจออกมา “ท่านแม่ลองคิดดู ผู้ชายที่ดูปกติรักเดียวใจเดียวในหมู่บ้านเรามีกี่คนเล่าที่มิมีความสัมพันธ์กับจางเสี่ยวจุ๋ย”

“เอ่อ” เหล่าไท่ไท่อ้าปากค้าง

นึกถึงชายหนุ่มที่ดูใจเดียวในหมู่บ้านเหล่านั้น กลับไปมีความสัมพันธ์กับจางเสี่ยวจุ๋ย ทำให้ใจของนางต้องเป็นกังงล

“มิใช่……มิอาจเป็นไปได้กระมัง?” นางส่ายหน้าและเอ่ยถามอย่างมิแน่ใจ

โจวกุ้ยหลานก็รีบใส่ไฟขึ้นว่า “เหตุใดจึงเป็นไปมิได้เล่า มีผู้ชายซักกี่คนกันที่สามารถควบคุมตนเองได้ ลองดูลุงโหยวเกินสิ เขาเองก็ทำเช่นนั้น”

ศักดิ์ศรีและอำนาจของหวังโหยวเกินในหมู่บ้านถือว่าสูงมาก ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรมนิสัยดี แต่บัดนี้เราเขาเองก็ปีนขึ้นเตียงของจางเสี่ยวจุ๋ยด้วยเช่นกัน

“หวังโหยวเกินก็มิใช่คนดีอะไรนัก เหตุใดมิยับยั้งชั่งใจเลย!” เหล่าไท่ไท่กล่าวขึ้นด้วยความเย้ยหยัน

เมื่อนึกถึงเรื่องที่นางช่วยจางเสี่ยวจุ๋ยมาตลอดหลายปีนี้ นางก็อยากจะตบปากและตัดแขนตัวเองทิ้งเหลือเกิน

โจวกุ้ยหลานยกมือขึ้นปิดตาตน “หากว่าสวีฉางหลินทนมิไหวและข้าก็มิอยู่ข้างกายเขา เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะแต่งภรรยาและภรรยาน้อยอีกสองสามคน แต่ล่ะวันใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงเราแม่ลูกเล่า”

“ไปๆ รีบไป! เจ้าพบกับเรื่องเลวร้ายมามากมายพอแล้ว จะยอมให้สตรีคนอื่นมาชุบมือเอาความสุขไปได้อย่างไร มาเร็วเข้า แม่จะช่วยเจ้าเก็บของเอง”

เหล่าไท่ไท่กล่าวจบก็รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วสวมรองเท้าของตนเดินไปจุดไฟ

โจวกุ้ยหลานมิรู้จะขำหรือร้องไห้ดี นางเดินไปตามเหล่าไท่ไท่และจุดตะเกียงไฟด้วย สองแม่ลูกเริ่มจัดการเก็บของท่ามกลางความมืด

เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นโจวกุ้ยหลานหยิบตั๋วเงินออกมา ปากของนางก็อ้างกว้างเสียจนสามารถใส่ไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งสอง นางอดมิได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้แก่โจวกุ้ยหลาน “ลูกสาวแม่ เจ้าช่างร่ำรวยเหลือเกิน!”

คาดว่าเศรษฐีในหมู่บ้านข้างๆ ยังมิมั่งคั่งเท่ากับโจวกุ้ยหลานเลย

โจวกุ้ยหลานหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงและห้าร้อยตำลึงออกมาอย่างละใบ ก่อนจะยื่นให้เหล่าไท่ไท่กล่าวว่า “ท่านแม่ เงินนี้ท่านจงเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น อย่าเอามันออกมาใช้ง่ายๆ หากถูกคนอื่นเห็นเข้าคงมิดี”

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ข้ามิได้โง่สักหน่อย พี่สะใภ้ของเจ้าคนนั้นเห็นแก่ตระกูลของตน ข้าเห็นกับตาว่านางแอบขโมยธัญพืชตั้งหลายถุงให้กับน้องชายของนาง”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เหล่าไท่ไท่ก็เบ้ริมฝีปากด้วยความมิพอใจเป็นอย่างยิ่ง

โจวกุ้ยหลานมิรู้เรื่องราวเหล่านี้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เข้าใจได้ แต่มันจะเกินไปหน่อยกับการที่แอบขโมยอย่างลับๆ โดยมิบอกนาง

แต่เรื่องนี้นางก็ขี้เกียจไปพูดถึง มารดาของนางเก่งกาจเช่นนี้คาดว่าคงจะมีวิธีจัดการ

โจวกุ้ยหลานอธิบายให้เหล่าไท่ไท่ฟังเรื่องของอาหารในถ้ำลับนั้น ทั้งยังกำชับให้เหล่าไท่ไท่คอยระวังภรรยาของต้าไห่ไว้ให้ดี ท้ายที่สุดแล้วนางก็ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องของโจวชิวเซียง

“ท่านแม่ ชิวเซียงกับข้านั้นมิถูกกัน ช่วงนี้ที่นางค่อนข้างจะว่าง่ายก็เพราะต้องการอาหารไปเลี้ยงปากท้องกับลูกของนาง เมื่อข้าจากไปแล้ว ท่านแม่จงระวังอย่าให้นางมาเผาบ้านเรา”

เหล่าไท่ไท่ตบมือขึ้น “วางใจเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจดี แม่นางผู้นั้นมิใช่คนดีอะไร แม่จะเร่งรีบหาผู้ชายที่ภรรยาตายไปแล้วให้แต่งงานกับนาง มิเช่นนั้นนางเดินไปเดินมาทำให้เจ้าหงุดหงิดเปล่าๆ ”

เรื่องก่อนหน้านี้นางจำได้ดี ชิวเซียงแม่นางผู้นั้นกล้าทำเรื่องเหล่านั้นกับนาง นางจะมิรู้สึกหงุดหงิดหรืออย่างไร

“แต่ว่าพี่สาวเจ้า……นางมีลูกมากมายเช่นนั้น ก็ยากที่จะแต่งงานใหม่”

เมื่อกล่าวถึงโจวคายจือ เหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกลำบากใจ

นี่เป็นเสมือนขวากหนามในใจ ทำให้หัวใจของนางดูอึดอัดยิ่งนัก มิอาจข้ามผ่านไปได้

โจวกุ้ยหลานสะกิดไปที่แขนของเหล่าไท่ไท่เบาๆ “ท่านแม่ ท่านมองมิออกหรือ ว่าพี่ใหญ่กับหลิวเกา……”

เมื่อกล่าวจบนางก็ชี้ไปยังห้องนอนของโจวคายจือ

เหล่าไท่ไท่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจำได้ว่าโจวคายจือมักจะซ่อมแซมเสื้อผ้าอาภรณ์ให้แก่หลิวเกาเป็นประจำ

และยังมีเมื่อคราก่อน ซุนโก่วต้านมาหาโจวคายจือเพื่อต้องการอาหาร กล่าวว่าจะนำไปให้ต้าหู่กิน แต่กลับถูกหลิวเกาด่าทอกลับไป เขาโมโหเสียจน……

“จริงด้วยสิ” เหล่าไท่ไท่แววตาเป็นประกาย

โจวกุ้ยหลานชักมือกลับมาแล้วเก็บของของตนเองต่อไป “ดังนั้นจงวางใจเถิด พี่สาวข้าต้องแต่งงานใหม่ได้แน่ เพียงแต่พวกเขาสองคนต่างเป็นคนขี้อายมิรู้ว่าเมื่อไหร่จะสามารถก้าวผ่านกำแพงบางๆ นี้ไปได้”

นี่ก็สามปีแล้ว ทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่เดิม……

“เอาไว้แม่จะช่วยพวกเขาเอง เจ้าจงไปจัดการธุระของตนเองเสีย” เหล่าไท่ไท่รู้สึกโล่งใจและเก็บของเร็วขึ้นกว่าเดิม

สองแม่ลูกเก็บของและพลางคุยกันไป เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเสื้อผ้า เงินและสิ่งอื่นๆ ก็จัดเตรียมไว้พอประมาณ

หลังจากจัดแจงเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็นอนเอนกายบนเตียงแล้วสนทนากันไปเรื่อยๆ จนเมื่อพวกนางค่อนข้างง่วงแล้วจึงหลับไป

วันต่อมา โจวกุ้ยหลานตื่นขึ้นตอนที่ตะวันขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว นางลุกขึ้นพบว่าเหล่าไท่ไท่กำลังช่วยเด็กทั้งสองคนแต่งตัว

โจวกุ้ยหลานอ้าปากหาวแล้วเข้าไปช่วยเหลือ

หลังจากเก็บข้าวของและรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว โจวกุ้ยหลานก็สะพายกระเป๋าผ้าสองใบ มือแต่ละข้างจูงลูกชายไว้คนหนึ่ง ยืนบอกลาทุกคนที่ปากประตู ก่อนจะกำชับกับเหล่าไท่ไท่แล้วลงภูเขาไป นางเดินทางไปยังบ้านของเหล่าหม่าโถว เพื่อเช่าเกวียนของเขาแล้วเดินทางไปในตำบลอย่างช้าๆ

เมื่อถึงปากประตูตำบล โจวกุ้ยหลานก็ได้ให้เงินแก่เหล่าหม่าโถว นางพาลูกทั้งสองตรงเข้าไปในหน่วยคุ้มกันเมืองท่ามกลางสายตาของเหล่าหม่าโถวอันอาลัยอาวรณ์

บัดนี้ชีวิตในตำบลมิได้มีความรื่นเริงเช่นเมื่อก่อน ทุกทีเต็มไปด้วยความหดหู่ ยังคงมีเพียงร้านขายอาหารธัญพืชเท่านั้นที่มีคนแห่การต่อแถวซื้อหาจำนวนมิน้อย

“ท่านแม่ พวกเราจะไปที่ใดกัน?” รุ่ยอานเอ่ยถามโจวกุ้ยหลานด้วยท่าทางหนักแน่น

โจวกุ้ยหลานเอ่ยตอบเบาๆ ว่า “เราจะไปยังหน่วยงานคุ้มกัน หาคนคุ้มกันเราไปเมืองหลวงเพื่อตามหาบิดาของพวกเจ้า”

“ท่านพ่อมิได้อยู่บนกระดาษหรือ?” รุ่ยหนิงเอ่ยถามอย่างสงสัย

โจวกุ้ยหลานยังคงงุนงงมิทันได้ตอบสนอง “บนกระดาษอะไร?”

“ท่านแม่มักกล่าวว่ามีจดหมายท่านพ่อ ท่านพ่อมิได้อยู่บนกระดาษหรือ?” รุ่ยหนิงตอบรับ

โจวกุ้ยหลานหัวเราะออกมา “นั่นคือจดหมายที่พ่อของเจ้าเขียน แต่พ่อมิได้อยู่บนกระดาษ”

“โง่!” รุ่ยอานเหลือบมองและดูถูกน้องชายของตน

รุ่ยหนิงจึงพูดด้วยความโมโหว่า “หนิงหนิงมิได้โง่!”

“ใช่แล้วลูก หนิงหนิงมิได้โง่ ก็แค่อายุน้อยไปหน่อย รอให้โตขึ้นกว่านี้ก็จะเข้าใจเอง” โจวกุ้ยหลานก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย

เมื่อรุ่ยหนิงถูกมารดาของตนปลอบประโลมใจเขาก็ยิ้มออกมา