ตอนที่ 468 สู้เขาไม่ได้

เหอโหย่วเจี้ยนที่ศีรษะบิดหมุนไปด้านหลังเบิกตากว้าง สายตามองไปที่หนิวโหย่วเต้า สีหน้าคับข้องโศกศัลย์คล้ายอยากจะบอกว่าหนิวโหย่วเต้าพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น

แต่หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่อยู่เบือนหน้าไปด้านข้าง ไม่มองเขาแม้แต่น้อย จ้องมองทิวทัศน์งดงามนอกปราการพฤกษาอย่างเฉยเมย สีหน้าราบเรียบไม่ตกใจเลยสักนิด ดูโหดเหี้ยมเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด

นับตั้งแต่รู้ว่าเฉาเซิ่งไหวคือหลานชายของเฉาจิ้ง เขาก็ไม่คิดจะฆ่าเฉาเซิ่งไหว การสังหารเฉาเซิ่งไหวไม่มีประโยชน์อะไร ที่เขายังคงเข้ามาในแดนความฝันทั้งๆ ที่รู้ว่าทั้งสามคนต้องการทำร้ายเขา ก็เพราะว่าพุ่งเป้าไปที่เฉาเซิ่งไหว ใครใช้ให้เฉาเซิ่งไหวมีที่พึ่งอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ล่ะ ชีวิตของคนประเภทนี้มักจะมีค่าอยู่นิดหน่อย จะสังหารทิ้งง่ายๆ ได้อย่างไร

เหอโหย่วเจี้ยนค่อยๆ ล้มทรุดลงตรงแทบเท้าหยวนกัง โลหิตไหลออกมาจากปากและจมูก ร่างกายกระตุกบิดเกร็ง

หยวนกังเตะมีดพระสองเล่มที่หล่นอยู่บนพื้นลอยออกไปทางหยวนฟาง หยวนฟางรับมีดพระคู่นั้นไปถือไว้ มองดูเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง

ก่วนฟางอี๋ก็มองหนิวโหย่วเต้าที่ยันกระบี่เดินเข้ามาด้วยความตกใจ

ยามที่เดินผ่านนาง หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าแต่อย่างใด กลับเอ่ยอย่างเฉยเมยประโยคหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรน่าดูแล้ว ไปเถอะ!” ส่วนตนก็เดินนำออกไปก่อน

ก่วนฟางอี๋ละสายตาแล้วหันหลังตามเขาไป

หยวนกังหิ้วเฉาเซิ่งไหวที่สลบอยู่ขึ้นมา ส่งสัญญาณให้หยวนฟางจัดการทำลายซากศพสองร่างที่อยู่บนพื้น…

….

ป่าโบราณงามตระการตาทอดตัวอยู่ใต้นภากว้างพร่างพราวมวลดารา

บนหน้าผา ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยมาถึงอย่างต่อเนื่อง คนสุดท้ายที่มาถึงเป็นชายชราคนหนึ่ง เขาเหินร่อนลงมาจากวิหคยักษ์ สองฝั่งซ้ายขวามีคนท่าทางองอาจขึงขังคอยตามประกบ เหล่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่มาถึงก่อนพากันทำความเคารพ ยืนหลบเป็นสองฝั่งเพื่อเปิดทางให้

ชายชราฟังรายงานจากศิษย์สี่คนที่รอดชีวิตมาได้ ยืนยกไพล่หลังอยู่ริมผา ทอดสายตามองป่าโบราณผืนนั้น ผมเผ้าหนวดเคราดำดุจน้ำหมึก สีหน้าตึงเครียด ดูทรงอำนาจโดยไม่ต้องแสดงโทสะออกมา แผ่นหลังเหยียดตรงงามสง่า

คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เป็นเฉาจิ้งผู้อาวุโสสำนักหมื่นสรรพสัตว์ พอได้ยินว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นกับศิษย์ในสายของตน เขาก็เร่งเดินทางมาโดยเร็ว

“คนอื่นๆ ที่ไปปลูกหญ้าขับแสงล่ะ?” เฉาจิ้งเอ่ยถามเสียงขรึม

ศิษย์ทั้งสี่ที่รอดมาได้สบตากันเล็กน้อย มีคนหนึ่งเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาจากคลื่นอสูรเลยขอรับ น่าจะ…เผชิญเหตุร้ายไปหมดแล้ว”

เฉาจิ้งค่อยๆ หันกลับมามอง สายตาเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มิใช่ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ผู้นำกลุ่มเป็นโฉมงามนางหนึ่ง ทำให้เขาอดมองซ้ำไม่ได้

คนกลุ่มนี้มิใช่ใครอื่น เป็นคณะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เมื่อศิษย์กลุ่มใหญ่ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาถึง พวกเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในชะง่อนหินบริเวณนี้ก็ไม่อาจหลบซ่อนต่อไปได้ ถูกบีบให้เผยตัวออกมา

สายตาของเฉาจิ้งหันกลับมายังร่างศิษย์ผู้ตอบคำถามอีกครั้ง “เหตุใดพวกหม่าจินถึงทำให้เกิดคลื่นอสูรได้?

ศิษย์คนนั้นยังคงตอบอย่างระมัดระวัง “ศิษย์ก็ไม่ทราบขอรับ เฉาเซิ่งไหวมาหาอาจารย์ เหมือนจะ…เหมือนจะบอกว่าพบศัตรูคู่แค้นเข้า ดังนั้นอาจารย์จึงระดมกำลังคนส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไป ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดถึงทำให้เกิดคลื่นอสูรขึ้นได้ พวกศิษย์สี่คนรอดชีวิตมาได้เพราะอยู่เฝ้าวิหคยักษ์ขอรับ พอเห็นว่าเกิดคลื่นอสูรขึ้นก็ล่าถอยกลับมาในทันที จึงโชคดีรอดชีวิตมาได้”

ศัตรูหรือ? เฉาจิ้งถามทันที “ศัตรูอันใดกัน?”

ศิษย์คนนั้นส่ายหน้า “ศิษย์ไม่ทราบขอรับ เฉาเซิ่งไหวและอาจารย์หลบไปคุยกันเป็นการส่วนตัว พวกเราไม่ได้ฟังด้วย หลังจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้พูดอะไร พวกศิษย์ก็ปฏิบัติไปตามคำสั่ง แต่ไม่พบศัตรูอันใดเลย คาดว่าศัตรูก็น่าจะไม่รอดจากคลื่นอสูรเช่นกันขอรับ”

เฉาจิ้งหันไปสอบถามศิษย์คนหนึ่งของตนที่มาถึงก่อน “เข้าไปหาหรือยัง?”

ศิษย์คนนั้นประสานมือเอ่ยตอบ “เรียนอาจารย์ ไปหามาแล้วครับ แต่ก็ไม่พบอะไร อีกทั้งไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปลึกเกินไป แล้วก็ยิ่งไม่กล้าค้นหาเป็นวงกว้าง ด้วยกลัวว่าจะไปกระตุ้นให้เกิดคลื่นอสูรได้ขอรับ”

“คนร้อยกว่าชีวิตตายไปแบบนี้ อีกทั้งไม่ใช่คนที่เพิ่งเข้ามาในแดนความฝันเป็นครั้งแรกด้วย สมควรต้องระวังสิ่งใดยังไม่รู้กันอีกหรือ? หม่าจินทำบ้าอะไรลงไป?” เฉาจิ้งด่าออกมา เสียกำลังคนไปมากขนาดนี้ ซ้ำยังเป็นศิษย์ในสายเขาทั้งสิ้นด้วย

แต่ในความโชคร้ายก็มียังความโชคดีอยู่ เพราะเป็นการเผชิญกับคลื่นอสูรเข้า สามารถอธิบายว่าเป็นอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงได้ มิเช่นนั้นเขาคงหาทางแก้ตัวกับสำนักไม่ได้

เหล่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ต่างเงียบงัน ไม่กล้าเปล่งเสียง艾琳小說

เฉาจิ้งเบนสายตามองไปทางป่าเรืองแสงผืนนั้นอีกครั้ง ก็เหมือนอย่างที่ศิษย์คนนั้นว่ามา พวกเขาไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปลึกเกินไป แล้วก็ไม่กล้าทำการค้นหาเป็นวงกว้าง หากกระตุ้นให้เกิดคลื่นอสูรขึ้นมาอีก นั่นจะทำให้สูญเสียกำลังคนไปอีกครั้ง ถึงแม้จะคาดเดาได้ว่าโอกาสรอดชีวิตของกลุ่มคนก่อนหน้านี้จะมีน้อยมาก แต่ก็ไม่สามารถทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้ เขาสงบอารมณ์ที่ตึงเครียดลง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ทิ้งกำลังคนไว้ส่วนหนึ่ง เข้าไปสืบหาร่องรอยอย่างระมัดระวังอีกหน่อย หากพบสถานการณ์ผิดปกติให้ถอนกำลังทันที ห้ามเสี่ยงเข้าไป!”

“ขอรับ!” ศิษย์ในบริเวณนี้ขานตอบรับ

เฉาจิ้งหันไปมองคณะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกครั้งพลางเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นใคร?”

ศิษย์เอ่ยตอบว่า “เห็นบอกว่าเป็นคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขอรับ เห็นพวกเขาหลบซ่อนทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในละแวกนี้ จึงรั้งตัวไว้สอบถามขอรับ”

“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์? สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งแคว้นเยี่ยนน่ะหรือ?”

“ขอรับ”

เฉาจิ้งค่อนข้างแปลกใจ ใต้หล้านี้มีสำนักขนาดเล็กอยู่มากมาย อาจจะมีสำนักขนาดเล็กมากมายที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต่างออกไป ถึงแม้ยามนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะตกต่ำจนไม่อาจนับเป็นอันใดได้แล้ว แต่ในด้านชื่อเสียงยังคงมิใช่สิ่งที่สำนักขนาดเล็กทั่วไปจะเทียบเคียงได้ ถึงอย่างไรก็เคยเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ยนมาก่อน ทั้งยังเคยมีตำแหน่งในหอเลือนสลัวเช่นกัน

เฉาจิ้งพยักเพยิดหน้าเล็กน้อย มีศิษย์ไปเรียกกลุ่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้ามาทันที

หลังจากมาถึง ถังอี๋เป็นตัวแทนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ประสานมือเอ่ยทักทาย “ถังอี๋เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ คารวะผู้อาวุโสเฉา”

เฉาจิ้งประหลาดใจอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะเป็นโฉมงามที่ยังสาวคนหนึ่ง เขามองเพ่งพิศพลางเอ่ยถาม “เจ้าคือเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนปัจจุบันหรือ?”

ถังอี๋ไม่รู้ว่าควรจะชี้แจงกับผู้อาวุโสคนนี้อย่างไร อีกทั้งรู้สึกอยู่เสมอว่าสายตาของผู้อาวุโสคนนี้ไม่ค่อยสุภาพ มองจนนางรู้สึกอึดอัด แต่ยังคงตอบไปอย่างสุภาพว่า “ใช่แล้ว”

เฉาจิ้งกวาดตามองกลุ่มคนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เล็กน้อย เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์พาคนเข้ามาชมทิวทัศน์ในแดนความฝันผีเสื้อหรือ?”

ถังอี๋กล่าวว่า “ข้าไม่เคยมาเยือนเลย ตั้งใจมาเยี่ยมชมโดยเฉพาะ ศิษย์ในสำนักเป็นห่วง จึงติดตามมาคุ้มกัน”

เฉาจิ้งเอ่ยว่า “ในเมื่อมาชมทิวทัศน์ ไยต้องแอบซ่อนทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย?”

ถังอี๋ตอบว่า “ผู้อาวุโสเฉาเข้าใจผิดแล้ว บังเอิญพบคลื่นอสูรกะทันหัน ทำเอาพวกเราตกใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะมีอันตราย จึงเสาะหาที่กำบังหลบอันตราย นับเป็นเรื่องปกติยิ่ง ไฉนจึงเรียกว่าทำตัวลับๆ ล่อๆ เล่า?”

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหนิวโหย่วเต้าผูกไมตรีอยู่กับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แต่ตอนหลังได้ยินคำพูดทำนองว่าศัตรูคู่แค้นอันใดเข้า ทำให้นางไม่กล้าบอกว่ามากับหนิวโหย่วเต้า

เฉาจิ้งเพ่งพิศดวงหน้างามพิลาสของนาง จากนั้นมองทรวงอกอวบอิ่มรวมถึงเอวบางอ้อนแอ้นของนางเล็กน้อย ดวงตาฉายแววแปลกประหลาดเล็กน้อย เอ่ยเนิบๆ ไปว่า “ศิษย์ในสำนักบังเอิญพบศัตรู เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนิดหน่อย คงต้องรบกวนเจ้าสำนักถังหน่อย โปรดตามพวกเรากลับไปที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก่อน”

ถังอี๋ตกใจ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ไยผู้อาวุโสเฉินจึงกล่าวเช่นนี้ ศิษย์ในสำนักท่านพบศัตรู แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของข้าด้วย?”

เฉาจิ้งกล่าวว่า “พวกเจ้าแอบซ่อนทำตัวลับๆ ล่อๆ จะไม่ให้ข้านึกสงสัยเลยก็คงยาก หากไม่มีความผิดติดตัว เจ้าสำนักถังก็ไม่จำเป็นต้องตระหนกไป แค่กลับไปให้ปากคำเท่านั้น เมื่อเรื่องราวกระจ่างแล้ว ย่อมส่งพวกเจ้าลงเขาไปแน่นอน” ว่าแล้วก็โบกมือให้ศิษย์ในสำนัก สื่อว่าให้พาตัวไป

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไหนเลยจะยอมง่ายๆ หลัวหยวนกงกล่าวว่า “สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเจ้าต้อนรับแขกกันเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”

เฉาจิ้งพลันมีสีหน้าขึงขัง “แขกก็มีดีเลวปะปนกันไป ทุกท่านอย่าบีบให้ข้าต้องใช้กำลังบังคับเลย”

พอสิ้นเสียงเขา ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ขยับเข้ามาปิดล้อมคณะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทันที

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งท่าเตรียมพร้อมทันที ถังอี๋รีบยกมือ สื่อว่าไม่ให้คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์บุ่มบ่ามลงมือ “พวกเราไม่มีความผิดใดติดตัว ก็แค่ไปให้ปากคำเท่านั้น ทุกเรื่องล้วนคุยกันด้วยเหตุผลได้!”

พวกซูพั่วมีสีหน้าคับข้องใจ ทราบดีว่าวาจานี้แม้จะฟังดูดี แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะสู้เขาไม่ได้ อีกฝ่ายถึงได้กล้าวางอำนาจเช่นนี้ แต่ก็รู้ดีว่าถังอี๋ไม่มีทางเลือกเช่นกัน หากลงมือปะทะกันขึ้นมา ทางนี้ไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

เฉาจิ้งเอียงศีรษะส่งสัญญาณเล็กน้อย ศิษย์กลุ่มหนึ่งของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เดินเข้ามาทันที ควบคุมตัวพวกถังอี๋ทั้งหมดไว้

ถังอี๋ทั้งตกใจและโกรธเคือง “ผู้อาวุโสเฉา นี่หมายความว่าอย่างไร”

เฉาจิ้งเอ่ยอย่างเฉยเมย “คุมตัวกลับไปก่อน”

“นี่คือวิธีที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเจ้าปฏิบัติต่อแขกอย่างนั้นหรือ?”

หลังหยวนกงเพิ่งจะตวาดออกมาเสียงก็หายไปทันที คนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล้วนเปล่งเสียงไม่ได้อีกต่อไป ทั้งหมดถูกลงผนึกควบคุมตัวไว้อีกครั้ง

พอเห็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกคุมตัวออกไป ศิษย์คนหนึ่งของเฉาจิ้งก็เดินเข้ามากระซิบเตือน “อาจารย์ ศิษย์เคยได้ยินข่าวหนึ่งมา ลือกันว่าหลายปีก่อนมีสำนักแห่งหนึ่งต้องการลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เป็นเหตุให้จ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมารออกโรง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์คุยง่าย แต่จ้าวสยงเกอคนนั้นดูเหมือนจะมิใช่คนที่คุยกันด้วยเหตุผลได้นะขอรับ”

เฉาจิ้งแค่นเสียงเหอะ “คนอื่นกลัวจ้าวสยงเกอ แต่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเราจำเป็นต้องเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือ? ลำดับที่เก้าบนทำเนียบโอสถอะไรนั่น น่าขันนัก!”

ผู้เป็นศิษย์กล่าวว่า “ประเด็นสำคัญคือความสัมพันธ์ของจ้าวสยงเกอคนนั้นกับพวกนิกายมารยังคงคลุมเครือ อาจารย์ ระวังไว้หน่อยจะดีกว่านะขอรับ”

มุมปากเฉาจิ้งกระตุกเล็กน้อย สุ้มเสียงก็อ่อนลงเช่นกัน “มีปัญหาเพิ่มมิสู้ลดปัญหาลง ระวังเอาไว้หน่อย อย่าให้คนรู้ว่าพวกเราพาตัวคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป”

“ขอรับ”

“ยังมีอีก เรื่องศัตรูอันใดนั่น ไม่มีผู้ใดรู้เห็น ไร้พยานหลักฐาน อย่าเอ่ยเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไป”

“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ!” ศิษย์คนนั้นพยักหน้าตอบรับ เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย หากเฉาเซิ่งไหวก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นเพราะความแค้นส่วนตัว อาจารย์ตนคงยากจะมอบคำอธิบายให้ทางสำนักได้

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว เขาก็หันหลังออกไปจัดการสิ่งที่ได้รับมอบหมายโดยเร็ว

….

ไกลออกไปในความมืดมิด สามารถมองเห็นสถานการณ์บนหน้าผาของผืนป่าเรืองแสงได้ชัดเจน

เมื่อเห็นว่าคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกพาตัวไป เว่ยตัวจึงนั่งไม่ค่อยติดแล้ว ขณะที่คิดจะพุ่งออกไปทวงความเป็นธรรม มือข้างหนึ่งก็กดตัวของเขาเอาไว้

ลุงเฉินกดไหล่เขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง กระซิบเตือนสติ “อย่าวู่วาม!”

ก่อนหน้านี้พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าอาจจะเผชิญอันตรายเข้าแล้ว เว่ยตัวดึงดันจะออกไปขอความช่วยเหลือให้ได้ แต่ไม่มีคนที่รู้จักคุ้นเคยอยู่เลย ในเวลาสั้นๆ จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ได้แต่ออกไปหาลุงเฉินกับสวี่เหล่าลิ่วที่อยู่ด้านนอกแดนความฝัน หวังว่าทั้งสองจะพอมีหนทางช่วยเหลือ

พอลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วทราบเรื่องก็ตกใจมาก แต่ก็ไม่อาจเชื่อทุกอย่างตามที่เว่ยตัวบอกได้ สวี่เหล่าลิ่วจึงรั้งอยู่รอฟังข่าว ส่วนลุงเฉินก็เข้ามาตรวจสอบสถานการณ์กับเว่ยตัว

ผู้ใดจะทราบว่าพอมาถึงก็ได้เห็นภาพที่คนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกจับตัวไปเสียแล้ว เว่ยตัวที่ออกไปตามคนมาช่วยเหลือกลับหลบเลี่ยงภัยนี้ไปได้

“ข้าจะไปสอบถามให้ชัดเจนว่าเหตุใดต้องจับตัวคนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของเราไป” เว่ยตัวพยายามดิ้นรน ด้วยความร้อนใจทำให้พูดจาไหลลื่นไม่ติดขัด

ลุงเฉินเอ็ดใส่ “โง่หรือเปล่า! หากคุยกันด้วยเหตุผลได้จริง สำนักหมื่นสรรพสัตว์คงไม่จับคนไปหรอก เจ้าสำนักของพวกเจ้าไม่มีปากหรือไง? สถานการณ์เป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้แน่ชัด คนติดอ่างอย่างเจ้าจะไปคุยรู้เรื่องหรือ? พวกเขาจะยอมฟังหรือ? ”

เว่ยตัวร้อนใจ “ชะ…เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”

“สำนักหมื่นสรรพสัตว์มิใช่สำนักที่พวกเราจะไปล่วงเกินได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่เป็นอาณาเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ การผลีผลามเข้าไปหาก็เหมือนพาตัวเองไปติดกับดัก ไป กลับไปหาคนมาช่วยจัดการ” ลุงเฉินแทบจะกระชากตัวเว่ยตัวออกไป

…………………………………………………………………..