บทที่ 476 เขานั้นราวกับว่าคิดอยากจะส่งเธอต่อไปให้ใครแล้วก็รู้สึกไม่วางใจขึ้นมาเสียนี่

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

บ่ายวันนั้น สือมูเฉินพาสือจินหว่านไปโรงพยาบาล

ไปโรงพยาบาลครั้งที่แล้ว สาวน้อยคนนี้ยังเด็กอยู่ เดิมทีก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะกลัวหมอเล็กน้อย แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์มาวิตกกังวลต่อผลได้ผลเสียอะไรทั้งนั้น

ตอนนี้สือจินหว่านเดินเข้าไปที่ห้องตรวจ เมื่อล้มตัวลงนอนตามความประสงค์ของหมอแล้ว มือก็อดไม่ได้ที่จะจับราวจับทั้งสองข้างไว้แน่น

เธอไม่อยากพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมา ครอบครัวของเธอปกป้องดูแลเธอดีเหลือเกิน และดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเจออุปสรรคใดๆเลย

แต่วันนั้นที่ไปสวนสาธารณะด้วยกันกับโอหยางจวิ้น เขาเพียงแค่ไปเข้าห้องน้ำ คาดไม่ถึงว่าเธอจะเกิดปัญหาขึ้น……

เธอไม่อยากให้ตนเองเป็นภาระของคนอื่นตลอดไป ไม่อยากทำให้ญาติพี่น้องต้องเดือดร้อน เธออยากพูดได้เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป หัวเราะได้ ร้องเพลงได้ และใช้น้ำเสียงแสดงความคิดเห็นออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ……

เพียงแค่ 10 กว่านาที สือจินหว่านก็รู้สึกว่าตนเองเหงื่อออกชุ่มไปทั้งตัว

หมอนำเครื่องมือออกมา แล้วพูดกับเธอว่า : “ตรวจเสร็จแล้วค่ะ”

ขณะนี้ คาดไม่ถึงว่าเธอจะกลัวจนฟังอะไรไม่ออก

ไม่นานหมอก็ให้สือมูเฉินเข้ามา จากนั้นก็พูดกับทั้งสองคนว่า : “คุณสือคะ เส้นเสียงของคุณหนูสือเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แล้ว สามารถทำการผ่าตัดได้ และหลังจากอายุ 13 ปีไปแล้ว ก็จะมีผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน”

หัวใจของสือมูเฉินเป็นกังวลขึ้นมาอย่างฉับพลัน : “ก็คือว่า ตอนนี้สามารถผ่าตัดได้แล้วใช่ไหมครับ? แล้วอัตราการประสบความสำเร็จล่ะ?”

“ค่ะ การผ่าตัดตอนนี้กับอีกสองปีข้างหน้า มีอัตราการประสบความสำเร็จเท่ากัน” หมอกล่าวว่า : “การผ่าตัดในตอนที่เด็กเจริญเติบโตมากขึ้นนี้ จึงมีอัตราการประสบความสำเร็จมากถึง 90%ขึ้นไป”

สือจินหว่านกลั้นหายใจไว้ตลอด เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเธออยากจะยิ้ม แต่น้ำตาก็อดไม่ได้ที่จะไหลออกมา

เธอโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉิน เขาตบหลังเธอเบาๆ : “หวันหว่าน อย่างนั้นเราก็จัดการเรื่องการผ่าตัดให้เร็วที่สุดเลยดีไหม!”

เธอพยักหน้าอย่างตื่นเต้น มือทั้งสองข้างกอดเอวสือมูเฉินไว้แน่น

“หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ การผ่าตัดของคุณจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!” สือมูเฉินพูดจบ ก็อุ้มลูกสาวให้ยืนตรงขึ้นมา

และพบว่าเธอสูงขึ้นมากแล้ว เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ : “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว คุณดูสิ หมอจะหัวเราะคุณแล้วนะ!”

สือจินหว่านรีบนำศีรษะไปวางบนไหล่ของสือมูเฉิน กอดคอของเขาไว้ แล้วนำตนเองไปหลบซ่อนไม่ให้ใครเห็น

หมอยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณหนูสือคะ คุณอย่ากังวลเลยค่ะ ฉันจะดำเนินการผ่าตัดให้เอง อาทิตย์หน้าอาจารย์ของฉันจะกลับมา ถึงเวลานั้นเขาจะทำการผ่าตัดด้วยตนเอง การผ่าตัดของคุณหนูสือจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ!”

สือมูเฉินพยักหน้า : “อย่างนั้นก็ฝากด้วยนะครับ ฉันจะได้พาลูกสาวของฉันกลับบ้านเลย แล้วช่วงนี้มีอะไรที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษไหมครับ?”

หมอกล่าวว่า : “ควรทานอาหารรสชาติอ่อนๆ อย่าทานอาหารเผ็ดๆรสชาติจัดจ้าน แล้วก็อย่าให้เป็นหวัดค่ะ”

“โอเคครับ” สือมูเฉินอุ้มสือจินหว่านออกไป

เมื่อเดินไปถึงหน้าลิฟต์ สือจินหว่านก็ได้สติกลับมา ตนเองโตขนาดนี้แล้วยังถูกสือมูเฉินอุ้มอยู่เลย คนรอบๆข้างจะต้องหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอน!

เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของสือมูเฉิน แล้วแอบมองไปรอบๆ เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ทุกๆคนกำลังมองเธออยู่

เธอเขย่าไหล่ของสือมูเฉิน แสดงเจตนาว่าให้วางเธอลง

แต่เขากลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วอุ้มเธอเข้าไปในลิฟต์แบบนั้น

ด้วยเหตุนี้สือจินหว่านจึงจนปัญญา ได้แต่มุดหน้าลงเหมือนนกกระจอกเทศต่อไป

จนกระทั่งมาถึงโรงจอดรถชั้นใต้ดิน สือมูเฉินจึงวางลูกสาวลง

เธอหน้าแดงไปหมด แล้วแสดงท่าทางอย่างหงุดหงิดใจว่า : “พวกเขาต้องหัวเราะฉันแน่ๆเลย!”

สือมูเฉินหยุดเดิน แล้วจับไหล่ของสือจินหว่าน : “หวันหว่าน อันที่จริงเราไม่ต้องสนใจสายตาของคนอื่นมากเกินไปก็ได้นะ คุณเป็นลูกสาวของฉัน ฉันจะรักใคร่เอ็นดูอย่างไร เมื่อคนอื่นเห็น ก็สายเกินไปแล้วที่จะอิจฉา! คุณดูสิ คุณอายุ 11 ปีแล้ว ผ่านไป 11 ปี คุณไม่สามารถพูดได้ แน่นอนว่าจะต้องมีคนโดยรอบรอคอยนินทาอยู่ไม่น้อย ถ้าคอยฟังแต่คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นอยู่ตลอด ตนเองจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ?”

ในฉับพลันเธอก็ตระหนักได้ว่า ที่ผ่านมาเธอเชื่อมั่นในตนเองมาตลอด แต่ตอนนี้กลับสนใจคำวิจารณ์ของคนอื่นมากขึ้น

สือมูเฉินพูดต่ออีกว่า : “หวันหว่าน อันที่จริงสำหรับคนแปลกหน้าเหล่านั้นพูดได้ว่า คุณเพียงแค่เดินผ่านไปก็จะถูกลืมไปในชั่วพริบตาแล้ว แต่สำหรับตัวคุณเอง คุณคือทั้งหมดทุกอย่างของตัวคุณเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลกับสายตาและการประเมินค่าของคนอื่น ความสุขของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วแสดงท่าทางว่า : “พ่อ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ว่าการผ่าตัดจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ฉันก็จะไม่เป็นกังวล ฉันจะพยายามทำตัวเองให้ดียิ่งขึ้น”

สือมูเฉินลูบหัวของลูกสาว : “ตนเองชอบทำอะไร ขอเพียงแต่ไม่ไปทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น จงไปทำอย่างกล้าหาญ และรับผิดชอบต่อหัวใจของตัวเอง ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ดี พ่อกับแม่จะช่วยสนับสนุนคุณทุกอย่าง”

เธอพยักหน้า และโผเข้าไปในอ้อมกอดของสือมูเฉิน และออดอ้อนไปมา

ในคืนนั้น สือมูเฉินได้รับโทรศัพท์ ว่าการผ่าตัดของสือจินหว่านมีกำหนดการอีกสองสัปดาห์ เขาจึงนำข่าวนี้ไปบอกกับหลานเสี่ยวถาง หลานเสี่ยวถางก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเล็กน้อย

เพียงแต่อารมณ์ที่ตึงเครียดของทุกคน ก็ผ่อนคลายลงเพราะการรวมตัวกันไปเที่ยวอีกครั้ง

หาได้ยากที่สือมูเฉิน ฟู่สีเกอ หยานชิงเจ๋อช่วงนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์จะมีเวลาว่าง ฉะนั้นการวางแผนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวกันทั้งสามครอบครัวจึงได้ถูกนำมาใช้ในที่สุด

ทุกๆคนเดินทางไปยังประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้

หลังจากที่บินมาเป็นเวลานาน ในที่สุดทุกๆคนก็มาถึงประเทศที่มีความอบอุ่นตลอดทั้งปีแห่งนี้

เมื่อออกมาจากสนามบิน ทุกคนมาถึงท่าเรือ นั่งเรือที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ และเดินทางมาถึงเกาะเล็กๆลูกหนึ่งที่ได้จองเอาไว้ล่วงหน้า

โรงแรมบนเกาะคือโครงการที่Times Groupเพิ่งเริ่มพัฒนาเมื่อสองปีที่แล้ว ขณะนี้เจ้านายได้พาคนเข้ามา เป็นธรรมดาที่วิลล่าสามหลังและบริเวณใกล้เคียงจะถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี

เดิมทีตามลำดับคือสือมูเฉิน ฟู่สีเกอ หยานชิงเจ๋อ สุดท้าย หยานโม่หานโวยวายอยากจะอยู่ใกล้สือจินหว่าน ดังนั้น เขาจึงต้องเปลี่ยนวิลล่าหลังของเขากับฟู่สีเกอ

ทุกคนจัดการกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ก็อยากจะให้บรรดาเด็กๆที่นั่งเครื่องบินมาเหนื่อยได้พักผ่อนสักเล็กน้อย แต่เด็กๆเหนื่อยซะที่ไหนกัน ทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจจนตาเป็นประกาย อดใจไม่ไหวที่จะกระโดดลงทะเลทันที

สือจินหว่านเคยเรียนว่ายน้ำ แต่หลานเสี่ยวถางไม่วางใจ ยังให้เธอสวมเสื้อชูชีพให้ดี ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำของเธอ กลุ่มเด็กๆจึงมาถึงริมทะเลด้วยกัน แล้วพายเรือเล่นก่อน

เรือยางจอดอยู่บนชายหาด เด็กๆทั้งหลายพยายามลากมันไปยังริมน้ำ เรือหนึ่งลำบรรทุกได้สองคน

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงแบ่งเป็นกลุ่มละสองคน: สือจินหว่านกับหยานโม่หาน ฟู่อวี้เฉินกับฟู่หยู่ปิง

และสุดท้าย สือจิ่งเหยียนเห็นหยานมู่จิ่นน้องสาวที่ค่อนข้างเด็กกว่าตนเองมาก ก็แทบจะหมดหนทาง ดูเหมือนว่า พวกเขาได้ถูกลิขิตให้แพ้แล้วใช่ไหม?

เพียงแต่ อันที่จริงเด็กๆประเมินตัวเองสูงเกินไป เพราะเพียงแค่ขึ้นเรือก็ต้องเจออุปสรรคนานัปการแล้ว

ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดสือจินหว่านก็ขึ้นนั่งบนเรือได้ จึงเริ่มออกสตาร์ตก่อน และหยานมู่จิ่น เธอถูกสือจิ่งเหยียนประคองขึ้นไปก่อน แต่เมื่อสือจิ่งเหยียนปีนขึ้นไปจากด้านข้าง เธอก็ตกใจจนร้องไห้โฮ

ทางด้านฟู่อวี้เฉินเห็นเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะยกใหญ่ แล้วพูดว่าไม่กลัวคู่ต่อสู้ที่เป็นเทพเจ้าหรอก แต่กลัวเพื่อนร่วมทีมที่เป็นหมูต่างหาก

คาดไม่ถึงว่าเมื่อหยานมู่จิ่นได้ยินว่าตนเองถูกว่าเป็นหมู ก็ไม่ยินยอมในทันที เธอมองสือจิ่งเหยียนด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า: “พี่เหยียน ไอ้บ้าฟู่อวี้เฉินรังแกฉัน!”

สือจิ่งเหยียนกลัวการร้องไห้นี้ของหยานมู่จิ่นเป็นที่สุด เขาจนปัญญาที่จะกล่าวปลอบโยน: “งั้นคุณก็ต้องกล้าหาญสักหน่อย ปีนขึ้นไปอีกด้านหนึ่งของเรือแล้วคว้าขอบเอาไว้ หลังจากที่ฉันขึ้นไปแล้ว พวกเราแซงหน้าพวกเขาได้ คุณก็สามารถหัวเราะเยาะว่าเขาเป็นหมูได้แล้ว”

เพียงหยานมู่จิ่นได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย อดทนต่อความกลัว แล้วปีนขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อยว่า: “พี่เหยียน รีบขึ้นมาเร็วเข้า ฉันจะนั่งไม่อยู่แล้ว!”

สือจิ่งเหยียนรีบปีนขึ้นเรือ จากนั้นก็มายังตรงกลางอย่างรวดเร็ว แล้วดึงหยานมู่จิ่นที่อยู่บนขอบด้วยความตกใจเข้ามา: “เอาล่ะ พวกเราเริ่มกันได้แล้ว!”

เวลานี้ ฟู่อวี้เฉินก็ได้เริ่มสตาร์ตแล้ว เรือทั้งสามลำ นอกจากสือจินหว่านที่ค่อนข้างจะนำหน้าไปแล้ว ทั้งสองลำของสือจิ่งเหยียนและฟู่อวี้เฉิน ก็แทบจะเสมอกัน

บนฝั่ง บรรดาผู้ใหญ่เห็นฉากนี้แล้ว ในทันใดก็ทอดถอนใจเล็กน้อย

สือมูเฉินกล่าวกับหลานเสี่ยวถางว่า: “จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่พวกเรารวมตัวกัน เป็นตอนที่อยู่มาเลเซียใช่ไหม?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “ใช่ค่ะ ตอนนั้น ในบรรดาพวกเรา ก็มีสือจิ่นที่ไม่ได้มา

นึกถึงในตอนนั้นแล้ว ฟู่สีเกอก็เข้ามาใกล้ข้างหูของเฉียวโยวโยว: “นั่นเป็นครั้งแรกของพวกเราจริงๆ”

เฉียวโยวโยวรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว ครั้งนั้น ถือว่าเมาเละเทะจริงๆ

เธอทำท่าจุ๊ปาก: “ห้ามบอกพวกเขานะ!”

หลานเสี่ยวถางเห็นคนทั้งสองกระซิบกระซาบ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าวว่า: “โยวโยว ครั้งนั้นฉันคาดไม่ถึงจริงๆว่า คุณกับฟู่สีเกอจะเดินทางมาถึงจุดนี้ด้วยกัน…..เพียงแต่ตอนนี้เห็นแล้ว ก็รู้สึกมหัศจรรย์จริงๆ พวกเด็กๆโตขนาดนี้แล้ว…..”

เฉียวโยวโยวยังไม่ได้พูดอะไร แต่ซูสือจิ่นก็มีปฏิกิริยาเข้ามาก่อน เขย่าแขนของหยานชิงเจ๋อแล้วกล่าวว่า: “ชิงเจ๋อ ฉันแก่แล้วใช่ไหม?”

หยานชิงเจ๋อชำเลืองตามองเธอ: “แล้วคุณคิดว่าฉันแก่ไหม?”

ซูสือจิ่นเงยหน้าขึ้น มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ

หลังผ่านการตกตะกอนของวันเวลาแล้ว หน้าตาที่งดงามแต่เดิมของเขา ได้เปลี่ยนจากความงดงามเป็นผู้ใหญ่ที่สุกงอม การตกตะกอนแบบนั้น ไม่เพียงทำให้คนไม่รู้สึกว่าแก่ แต่กลับยิ่งมีรสชาติ

เธอส่ายหน้า: “ไม่เลยค่ะ ยังหล่ออยู่เลย!”

หยานชิงเจ๋อหยิกใบหน้าของเธอเล็กน้อย: “คุณอายุน้อยกว่าฉันตั้งหลายปี ฉันยังไม่แก่เลย แล้วคุณจะแก่ได้ยังไง?”

เวลานี้ สือมูเฉินได้รินเหล้า แล้วกล่าวกับทุกคนว่า: “มา ฉลองให้อนาคตด้วยกันสักแก้วเถอะ!”

ทุกคนเงยหน้าขึ้น นำเหล้าดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

จะว่าไปแล้ว หลานเสี่ยวถางและเฉียวโยวโยวก็รู้จักทุกคนมาได้สิบกว่าปีแล้ว และสือมูเฉินกับพวกเขาสองสามคน ก็รู้จักกันมายาวนานมาก

ว่ากันว่าคนที่พอจะรู้ใจสนิทสนมกัน ยากที่เพื่อนทุกคนจะเดินทางผ่านลมฝนมาด้วยกันตั้งหลายปีขนาดนี้ ยามว่างยังสามารถพาครอบครัวออกไปสังสรรค์ด้วยกัน ช่างเป็นการมอบของขวัญแห่งกาลเวลาที่ซาบซึ้งใจ

จากที่ไกลๆ บรรดาเด็กๆพายเรือกันอย่างครึกครื้นรื่นเริง เพราะต่างก็ไม่กล้าออกไปไกล ดังนั้น จึงไม่สามารถแยกการจัดอันดับได้อีก แต่เปลี่ยนเป็นการแข่งขันเรือบั๊มพ์แทน

หยานมู่จิ่นกลัวตกน้ำ จึงร้องไห้โฮด้วยความตกใจ สือจิ่งเหยียนปลอบโยนเธอ บอกว่าจะพาเธอกลับไป แต่สาวน้อยยิ่งกลัวก็ยิ่งอยากเล่น โน้มน้าวยังไงก็ไม่ยอมไป

ทางด้านนั้น ฟู่หยู่ปิงนอนหงายหน้าอยู่ที่หัวเรือ ดูเย็นชาอย่างมาก ก็ไม่รู้ว่าได้รับยีนแฝงมาจากฟู่สีเกอหรือว่าเฉียวโยวโยว

แต่ฟู่อวี้เฉิน ชัดเจนว่าเป็นพิมพ์เดียวกันกับฟู่สีเกอ ในบรรดาทั้งหมดเขามีชีวิตชีวาอย่างมาก และเก่งที่สุดในเกม

ในการแข่งขันทั้งหมดแทบจะเป็นเขาที่เลือกขึ้นมาทั้งนั้น และบนตัวของทุกคน ล้วนเต็มไปด้วยน้ำที่เขาสาดใส่

แน่นอนว่า การกระทำแบบนี้ดึงดูดความแค้นเคืองร่วมของมวลชน ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงร่วมกันจัดการเขา ในทันใดที่เรือพลิกคว่ำ ฟู่หยู่ปิงก็ถูกเขาพัวพันจนตกทะเลไปด้วย

เพียงแต่ทุกคนสวมเสื้อชูชีพ ตกลงไปในน้ำก็ไม่กลัว ฟู่อวี้เฉินกลับรู้สึกว่า แบบนี้ยิ่งสนุก ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน