ภาค 3 บทที่ 106

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 106 คุยเล่นก็มีปรัชญา
โดย
Ink Stone_Romance
สาวน้อยชงชา!

เด็กหนุ่มในห้องล้วนอึ้งไปจากนั้นสีหน้าตื่นเต้น

นี่เป็นข่าวใหญ่เหนือความคาดคิดอันหนึ่งจริงๆ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? สานต่อรักเก่าหรือแรกพบชมชอบ?”

“ข้ารู้สึกว่าเป็นรักเก่า หัวหน้ากองพันลู่คนนี้ฐานะไม่ใช่ยากจนหรือ? ไม่แน่อาจเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับสาวน้อยชงชาก็ได้”

“ใช่ใช่ใช่ เป็นไปได้ หัวหน้ากองพันลู่คนนั้นเพื่ออนาคตการงานไม่อาจไม่สู่ขอองค์หญิงจิ่วหลิง ตอนนี้องค์หญิงจิ่วหลิงไม่อยู่ก็ไม่มีใครขวางพวกเขาได้แล้ว”

“ไม่ใช่ยังมีองค์หญิงจิ่วหลีหรือ?”

“พูดว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง เฮ้อ ก็ไม่นับว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่งแล้ว”

“แต่ไม่ว่าอย่างไร ทำเรื่องเช่นนี้เวลานี้ตอนที่กำลังจะแต่งงานก็เหิมเกริมเกินไปแล้วเหมือนกัน”

“เดิมทีก็เหิมเกริมอยู่แล้วไหม”

ในห้องพากันถกเถียง ไม่ว่าพูดอย่างก็ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีที่ตรากตรำอ่านหนังสือบ้าคลั่งเพื่อการสอบใหญ่ปีหน้า ยากนักจะออกมาพักผ่อนสักวัน ทั้งยังเกี่ยวข้องไปถึงขุนนางทรงอำนาจในราชสำนัก ความรักชายหญิงย่อมสนใจอย่างยิ่ง

“พวกเจ้าระวังหน่อย” เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นท่ามกลางความคึกคัก

ผู้คนหันหน้ามองไป เห็นหนิงอวิ๋นเจากำลังชงชาอยู่ เวลานี้กำลังนำผงชาร่อนลงในน้ำ สีหน้าผ่อนคลาย

“ข้ารู้สึกว่าเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ยังไงถกเถียงน้อยไว้ดีกว่า หลีกเลี่ยงนำปัญหามา” เขาเอ่ยขึ้น “อย่าโชคร้ายเหมือนกัวเหล่าหนูคนนั้น”

ท่านอาของหนิงอวิ๋นเจาคือหนิงเหยียน ฐานะตำแหน่งไม่ธรรมดา คำพูดที่เขาพูดมักจะมีความนัยมากมายเสมอ

บรรดาสหายสบตากันทีหนึ่ง

“อวิ๋นเจา ควาหมายของเจ้าคือเรื่องนี้หัวหน้ากองพันลู่ทำจิรงๆ?” สหายคนหนึ่งเอ่ยถาม

หนิงอวิ๋นเจารินชาออกมาทีละถ้วยๆ

“ข้าเพียงรู้สึกว่า” เขาเงยหน้ายิ้มเอ่ยขึ้น “ต่อให้เป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่งก็ไม่มีทางกัดคนผู้หนึ่งโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่คนผู้นี้หาเรื่องเขา ไม่เช่นนั้นก็เบื้องบนมีคำสั่ง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนผู้นี้เดินไปถึงตรงหน้าเขา หรือกล่าวได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีความรักที่ไร้ต้นสายปลายเหตุและไม่มีความแค้นที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลอยู่เสมอ”

บรรดาสหายพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นตามที่เจ้าว่า หัวหน้ากองพันลู่คนนี้เวลานี้เลี้ยงเมียเก็บไว้คนหนึ่ง สาเหตุคืออะไรอีกเล่า?” มีคนยิ้มเอ่ยถาม

“ไม่ว่าสาเหตุอะไร เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่ต้องเข้าใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเหล่าสหายสลายไป

“ถ้าอย่างนั้นตามที่พี่หนิงพูดเช่นนี้” เขาอ่ยขึ้น วางถ้วยชาในมือลง “พบพานเรื่องลำบากไม่เกี่ยวข้องกับตนจะชักภัยสู่ตนก็ต้องมองเห็นแสร้งไม่เห็นได้ยินแสร้งไม่ได้ยินรึ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราร่ำเรียนหนังสือเพิ่มพูนความรู้สอบเข้าเป็นขุนนางยังจะเพื่ออะไรเล่า?”

แม้เป็นสหาย แต่เด็กหนุ่มนั่งถกเถียงกันก็เป็นเรื่องที่มีเป็นประจำ

ทุกคนค่อนข้างสนใจคำตอบของหนิงอวิ๋นเจา

แม้บรรยากาศไม่ได้เคร่งเรครียด แต่คำตอบของหนิงอวิ๋นเจาก็ส่งผลกับมุมมองและความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อเขาเช่นกัน อย่างใกล้ก็ส่งผลกับความใกล้ชิดห่างเหินในความสัมพันธ์กับเขา

หลักการต่างกันไม่คบหากันก็คือหลักการนี้ กรีดเสื่อตัดสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่คนหนุ่มมักจะมีเช่นกัน

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม วางอุปกรณ์ชงชาในมือลง สีหน้าจริงจังเอ่ยตอบ

“แน่นอนว่าไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น “ความหมายของข้าคือพบพานความลำบากก็คิดวิธีการคลี่คลายความลำบาก แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องปกป้องตนเองด้วย อย่าได้ปณิธานแรงกล้าแต่ไร้ผลตัวตายเสียก่อน เช่นนี้ไม่อาจคลี่คลายปัญหาได้”

“ข้าเข้าใจแนวคิดของเจ้า ข้าก็รู้ว่าวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีที่คนมากมายขุนนางมากมายล้วนยอมรับ แต่ข้าก็นับถือคนเหล่านี้ผู้รู้ชัดว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ ยินดีใช้ความตายของตัวเป็นเครื่องเตือนคนบนโลก” สหายเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม

หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า

“ข้าก็นับถือ” เขาเอ่ยจึ้น “วิธีการของข้าเป็เพียงวิธีการของข้า ข้าไม่ได้มองว่าวิธีการของข้าถูก แล้วก็ไม่ได้มองว่าวิธีการของคนอื่นก็คือผิด ถูกผิดปราชญ์เท่านั้นถึงตัดสินได้ ข้าหาใช่ปราชญ์ไม่”

เขายิ้ม

“ความหมายของข้าคือ หัวหน้ากองพันลู่จะคะนึงถึงรักเก่าเพื่อนสมัยเด็กก็ดี ละโมบหญิงงามมัวเมาโลกีย์ก็ดี นี่สุดท้ายก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านเมือง”

เขาเอ่ยต่อ

“ในเมื่อเขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาย่อมต้องไม่กลัวถูกคนรู้ ส่วนฮ่องเต้เห็นได้ชัดว่าก็ไม่สนพระทัย พวกเรานำคุณธรรมส่วนตัวเรื่องนี้มาโจมตีเขาก็ไม่ได้ทำร้ายเขาได้อย่างใด ตรงกันข้ามกลับจะทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย ข้ารู้สึกว่านี่น่าเสียดายและไม่คุ้มค่าไปอยู่บ้าง”

“ไม่เพียงข้าจะคิดเช่นนี้ หัวหน้ากองพันลู่คนนี้เห็นได้ชัดว่าเข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าลองคิดดู ตลอดมาจัดการกับใครเขาก็ไม่เคยเอาศีลธรรมส่วนบุคคลบกพร่องของคนผู้นั้นมาใช้”

“อย่างเช่นกัวเหล่าหนู กัวเหล่าหนูเพราะทำเรื่องละเลยหน้าที่ผิดกฎ ตอนนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้เป็นจริงหรือหัวหน้ากองพันลู่สร้างขึ้น อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมศีลธรรมส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับกฎความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงถูกฮ่องเต้ลงโทษ”

หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้ว

“ยังคงเป็นประโยคนั้น นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของข้า ไม่ใช่ว่าจะถูก” เขาหยุดไปชั่วครู่อีกครั้ง แม้ยิ้มแย้มแต่ในดวงตาล้วนเป็นความเคร่งขรึม “แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าข้ากลัว”

เสียงของเขาเงียบไป สหายด้านข้างหัวเราะแล้ว

“นี่ก็คือทำไมวิญญูชนหลอกลวงด้วยคุณธรรมได้” เขาลูบพัดพับ “ใจกว้างเช่นนี้ ต่อให้เป็นขุนนางกลิ้งกลอก พวกเราก็ไม่มีทางใช้วิธีการลับหลังต่ำช้ากับเขา”

หนิงอวิ๋นเจายิ้มส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น จริงจังอยู่บ้างแล้วก็ขำขันอยู่บ้าง “ไม่ใช่ไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ แต่เป็นวิธีการเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ หากมีประโยชน์”

เขายักคิ้ว

“ข้าจะไปประกาศบนถนนใหญ่ด้วยตนเอง”

พูดจบก็ยื่นแขนเสื้อข้างหนึ่ง ทำท่านักเล่านิทาน

“จะบอกว่าหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ฉุดสาวชาวบ้าน มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม หยามหมิ่นองค์หญิงเป็นความชั่วช้ายิ่งใหญ่ไม่อาจละเว้น”

บรรดาสหายหัวเราะประสานเสียงขึ้นมา สหายที่ตั้งคำถามคนนั้นก็ยิ้มส่ายศีรษะเช่นกัน ความบาดหมางในดวงตาสลายหมดสิ้น

“ไม่พูดไม่ได้ อวิ๋นเจา” เขาเอาคำเรียกกลับคืนอีกครั้ง “เลียนแบบท่าทางนักเล่านิทานนี้ได้พอตัว ทำได้สบายเชียวนะ”

บรรดาสหายคนอื่นล้วนหัวเราะด้วย

“ใช่แล้ว ไม่เคยเห็นเจ้าไปฟังเล่านิทานเลย”

พวกเขาเหมาห้องดื่นชาร่ำสุราสรรหาความเงียบสงบ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยไปโถงใหญ่ร่วมความคึกคัก ดังนั้นแทบไม่เคยดูการแสดงเล่านิทานเหล่านั้น

ในดวงตาหนิงอวิ๋นเจาทอประกายลำบากใจผิดคาดบางๆออกมา แล้วก็ขำอยู่บ้าง

นั่นเป็นเพราะที่เขียนในจดหมายที่อ่านพักนี้พูดถึงนักเล่านิทานมากเหลือเกินเป็นเหตุละมั้ง

คิดถึงตรงนี้สายตาก็อดไม่ได้มองไปด้านนอกหน้าต่าง แววตาสว่างวูบ

“ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน” เขาเอ่ยขึ้น

พูดพลางคนพูดก็เดินออกไปข้างนอก ดึงประตูเปิดก้าวไวๆไปไม่เห็นแล้ว

บรรดาสหายในห้องล้วนยังไม่ทันตอบสนองทัน

“นี่ทำอะไร?”

สหายที่อยู่ใกล้หน้าต่างมองออกไปข้างนอก มองเห็นหนิงอวิ๋นเจาเดินออกจกโรงน้ำชายืนอยู่บนถนนใหญ่

“คงไม่ใช่จะไปประกาศเรื่องหัวหน้ากองพันลู่ฉุดสาวชาวบ้านจริงๆใช่ไหม?” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น

ทุกคนล้วนหัวเราะขึ้นมา

“แน่นอนว่าไม่ใช่ จดหมายภรรยาบนเมฆมาอีกแล้ว” คนหหนึ่งชี้เด็กรับใช้คนหนึ่งที่เดิมมาท่ามกลางฝูงชนไม่ไกลออกไปบนถนน

ทุกคนล้วนจำได้ นั่นเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวของหนิงอวิ๋นเจา

หลายวันนี้ ก็เป็นเขาส่งต่อจดหมายจากบ้านหนิงอวิ๋นเจามาถึงเมือนหลวงไม่ขาด

หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ตรงกรอบประตูกวักมือให้เด็กรับใช้ เด็กรับใช้ที่อยู่ในหมู่คน ส่ายศีรษะตามหาว่าโรงน้ำชาร้านไหนในที่สุดก็มองเห็นเขา ดีใจเพิ่มความเร็วฝีเท้า

และในเวลาเดียวกันนี้คุณหนูจวินที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองเมืองหลวงกลับหยุดชะงัก

“คุณหนู พวกเราไม่เข้าไปหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม

คุณหนูจวินมองรอบด้าน

“อย่าเพิ่งเข้าเมือง บนแผนที่บอกว่านอกเมืองมีโรงเตี๊ยมสะอาดและสงบ นอกจากนี้อยู่ข้างร้ายเลกเงินถนนใหญ่” นางเอ่ยขึ้น พลางหันม้า “พวกเราไปพักที่นั่น”

……………………………………….