บทที่ 430 ตอนจบ
บทที่ 430 ตอนจบ
เหยาซูที่กำลังดื่มน้ำแกงหยุดชะงักงันลงฉับพลัน รู้สึกเหมือนชื่อนี้จะไม่ได้เข้าหูของนางมานานมากแล้ว?
หลายวันมานี้นางเอาแต่พะว้าพะวงเป็นห่วงหลินเหรา เรื่องเหล่านี้จึงเหมือนกับผ่านไปแล้วหลายชาติ
หญิงสาวส่ายหน้า
กระทั่งได้ยินเซวียหรงเอ่ยขึ้นอีกว่า “แม้ว่าจักรพรรดิจะทรงพระราชทานตำแหน่งจวิ้นจู่ให้แก่ตู้เหิง ให้นางได้กลับมายังจวนเจ้าอาลักษณ์ แต่ดูเหมือนในจวนดูจะวุ่นวายไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางวิ่งไปขอความเมตตาให้แก่ลู่หัวถึงในวังอย่างคาดไม่ถึง ผลลัพธ์ฝ่าบาททรงรับสั่งโดยตรง พระราชทานงานสมรสให้แก่ทั้งสองคน เรื่องนี้จึงสมเหตุสมผลที่จะปล่อยตัวลู่หัวออกมา…”
เหยาซูตะลึงงันทันใด แล้วเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดนางถึงขอความเมตตาให้แก่ลู่หัว?”
จากเนื้อหาในนิยายต้นฉบับ สุดท้ายแล้วตู้เหิงก็ได้รับสมญานามว่าจวิ้นจู่(1) หลังออกเรือนไปก็ได้กลับมาอยู่ในจวนเจ้าอาลักษณ์อย่างรุ่งเรือง
เห็นได้ว่าหากไม่มีหลินเหรา จุดจบนางเอกในนิยายต้นฉบับก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก…
เซวียหรงคิดว่าเป็นเพราะทั้งสองคนมีมิตรภาพเก่าแก่ต่อกัน ทว่าเหยาซูที่เคยอ่านนิยายต้นฉบับมาก่อน ย่อมรู้ดีว่าตู้เหิงมีความเกลียดชังต่อลู่หัวมากเพียงใด
ในชีวิตชาติก่อนนั้นลู่หัวรังแกตู้เหิงด้วยการโปรดปรานตู้หวู่น้องสาวต่างมารดาของนาง ทรมานตู้เหิงให้ตายทั้งเป็นอยู่ในเรือนหลัง ชีวิตนี้นางจึงได้กลับมาแก้แค้นลู่หัว จะมีใจช่วยเขาได้อย่างไร?
เซวียหรงยังเอ่ยอีกว่า “จะว่าไปก็แปลก น้องสาวแท้ ๆ ของลู่หัวยอมคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนของตู้เหิงหลายวัน นางไม่แม้แต่จะให้เข้าพบ แต่ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ยอม”
พวกนางย่อมไม่รู้ว่าตู้เหิงได้รับคำขู่จากนายท่านลู่ ว่าถ้านางไม่ยอมเข้าวังและรักษาชีวิตลู่หัวไว้ เรื่องที่นางและเหมิงฉิงร่วมมือกันขุดเหมืองแร่เหล็กในวันนั้นจะถูกเปิดเผยออกไป
เหยาซูดื่มน้ำแกงคำสุดท้ายในถ้วยดินเผาจนหมดเกลี้ยง แล้วค่อย ๆ เอ่ยว่า “บุญคุณความแค้นระหว่างคนเหล่านี้ช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนนัก เหตุใดจะต้องนึกถึงมันด้วย”
เซวียหรงยิ้ม “เจ้านี่ก็ใจกว้างตามเคย แต่จวิ้นจู่ผู้นั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก ตระกูลฝ่ายมารดาก็ไม่ชอบ ตระกูลสามีก็มีแต่ความแค้น ได้แต่หวังให้คุณชายลู่เห็นใจ…แต่หลังจากที่คุณชายสูงศักดิ์ผู้มากความสามารถได้ผ่านหายนะแห่งคุกใต้ดิน ได้ยินมาว่าเกิดความผิดปกติหลังออกมาเสียด้วย”
เหยาซูเลิกคิ้วสูง
เซวียหรงพูดเสริมว่า “ได้ยินมาว่าขาก็เดินเหินไม่สะดวกด้วยนะ”
ร่างกายที่พิการ ไม่สามารถเข้ามาดำรงขุนนางในวังได้ เกรงว่าอนาคตของลู่หัวคงจะพังทลายไปแล้ว
ครั้นเซวียหรงเห็นเหยาซูไม่ได้มีท่าทีสนใจ นางจึงพูดเรื่อยเปื่อยสองสามประโยค แล้วก็ถามถึงอาจื้อ
“ได้ยินว่าพรุ่งนี้อาจื้อต้องลงสนาม เพื่อเข้าร่วมสอบคัดเลือกในช่วงวสันต์?”
ความสนใจของเหยาซูจึงได้ถูกดึงกลับมา เพิ่มรสชาติในการพูดคุยไม่น้อย นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นน่ะสิ เดิมทีต้องค่อย ๆ สอบไปทีละขั้น แต่ใต้เท้าไป๋ไปขอเข้าพบฝ่าบาทโดยตรง บอกว่าเชื่อมั่นในความสามารถของอาจื้อ อยากให้ลูกศิษย์ของตัวเองได้ลงสนามในวันพรุ่งนี้ คาดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาต”
เซวียหรงมิวายพูดว่า “เป็นเรื่องแปลก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
บัดนี้จักรพรรดิทรงกำลังหมกมุ่นกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหนือกรอบ พิธีการและกฎระเบียบของบรรพบุรุษ สำหรับเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมือง ก็ล้วนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
เมื่อมีความคิดนี้
เหยาซูก็ได้แต่ยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “ให้อาจื้อได้ออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง ต่อให้สอบไม่ได้ ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
จวนไป๋ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในต้าเยี่ยน แม้แต่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็ยังเคยได้ยิน
ในเมื่ออาจารย์ของอาจื้อเสนอตรงต่อจักรพรรดิเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางหลอกลวงลูกศิษย์ของตัวเองแน่นอน คิดว่าอาจื้อก็คงจะมีความสามารถในการลงสนามโดยแท้จริง ทั้งยังติดอยู่ในลำดับรายชื่อ ตระกูลไป๋ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้
เซวียหรงถามถึงสถานการณ์ทั่วไปของอาซือ จนได้รู้ว่าเด็กหญิงเรียนดีดกู่ฉินและวาดรูปอยู่กับคุณหนูไป๋หรูปิงอย่างเบิกบานใจ ยามปกติก็มักจะไปเล่นกับเถิงเอ๋อในจวนเจี่ยงฉีเสมอ ในใจของนางจึงรู้สึกว่าลูก ๆ ของเหยาซูทำให้นางวางใจลงมากทีเดียว
นางจึงเอ่ยถามอีกว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป? เด็ก ๆ ต่างก็เติบโตกันแล้ว อาเหราก็ฟื้นตัวดีขึ้นมาก เราเปิดร้านเพิ่มอีกสักสองสามร้าน หาเงินเพิ่มดีหรือไม่?”
นัยน์ตาของเหยาซูฉายรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา แม้เห็นได้ชัดว่าสายลมในฤดูสารทนั้นเงียบเหงามากเพียงใด แต่ความรู้สึกของนางกลับอบอุ่นขึ้น
หญิงสาวส่ายหน้าแล้วพูดกับเซวียหรงว่า “เกรงว่าคงทำให้พี่เซวียต้องผิดหวังแล้ว ข้าและอาเหราคุยกันแล้วว่ารอให้เขาเดินเหินได้สะดวกขึ้น เราจะไปจากเมืองหลวง ไปยังสถานที่มีบุปผาเบ่งบานสะพรั่งของทางตอนใต้ รอให้ผืนดินกลับมาอบอุ่น ถึงฤดูร้อนที่แผดเผา ก็ค่อยไปชื่นชมภูเขา แม่น้ำ แสงอาทิตย์ ณ ที่ไกลออกไป…”
ครั้นพูดเช่นนี้ จู่ ๆ นางก็หยุดชะงักลง ดวงตาคู่งามได้เบิกกว้างเล็กน้อยเผยให้เห็นความรู้สึกที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
นางใช้มือปิดปาก เหมือนกับจะร้องอุทานในอึดใจต่อมา
เซวียหรงมองตามสายตาของเหยาซูไป กระทั่งเห็นหลินเหราในชุดคลุมยาวทั้งตัว ยืนอยู่หน้าประตูพลางส่งยิ้มมาให้นาง
เขาใช้มือข้างหนึ่งเกาะกรอบประตูไม้แดง ส่วนมืออีกข้างถือหมอนที่เหยาซูยังปักลายไม่เสร็จและวางมันไว้อยู่ข้างกายเขา ซึ่งบนนั้นถูกปักด้วยดิ้นเงินและทองเป็นประโยคที่ว่า ‘นาวาออกท่าไม่ย้อนกลับ ข่าวคราวหายลับเข้ากลีบเมฆ’
“อาซู เราไปกันเถอะ”
มุมปากของเหยาซูกระตุกขึ้น แล้วมองไปทางเซวียหรงด้วยสายตาขอโทษ ก่อนจะวิ่งไปหาหลินเหรา “ปากก็พร่ำเพ้อตลอดเวลา ว่าแต่เราจะไปที่ใดกันก่อน…”
หลายวันหลังจากนั้น
ถึงคราวที่อาจื้อต้องกลับมาหาบิดาและมารดา กลับพบว่าประตูถูกปิดแน่น…
หลินเหราและเหยาซูในเวลานี้เดินทางลงใต้ไปแล้วอยู่อย่างสุขสมในโลกที่มีแค่พวกเขาสองคน
เหยาซูเอนกายพิงอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มด้วยความเกียจคร้าน เหม่อมองโครงหน้าเป็นสันชัดเจนของเขา และยังคงอยู่ในอ้อมกอดเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “อาเหรา ข้าโชคดีเพียงใดที่ได้พบท่าน”
คนด้านหลังไม่ได้พูดสิ่งใด นอกจากเหม่อมองทิวทัศน์อันงดงามที่ไกลออกไป พร้อมกับกุมมือที่ขาวผุดผ่องนั้นไว้แน่น
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงต่ำทางทิศประจิม เมื่อมองไกลๆ แล้วก็ช่างงดงามดุจภาพวาดยิ่งนัก…
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นังตู้ถือว่าได้รับกรรมแล้วนะคะ จงอยู่อย่างตายทั้งเป็นในจวนลู่ต่อไปเถอะ
นี่คือจบภาคพ่อแม่แล้วใช่ไหมคะ ต่อไปจะเป็นภาคลูกสินะ
ไหหม่า(海馬)