ตอนที่ 471 หยินหยางพลิกสลับ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 471 หยินหยางพลิกสลับ

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางชี้แล้วกล่าวว่า “เดิมทีท้องฟ้าแห่งนี้มันก็ไม่มีเจ็ดธาตุอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีดวงอาทิตย์ได้ ท้องนภาไร้ดวงอาทิตย์ แต่กลับมีในพสุธา มีคนจัดวางดวงอาทิตย์ไว้บนดิน”

หยวนฟางเอ่ยสอดอย่างอดใจไม่อยู่ “จะมีดวงอาทิตย์บนดินได้อย่างไร? พื้นดินไหนเลยจะแอบซ่อนดวงอาทิตย์ไว้ได้?” ว่าพลางมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ

ก่วนฟางอี๋เอ่ยหยาม “เจ้ามันโง่ ความหมายก็ตามนั้นไง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หยินหยางผกผันเวียนวน สองวิถีหวนสู่เก้าวัง มีคนสลับหยินหยาง เอาเจ็ดธาตุมาวางไว้บนดิน”

หยวนกังถาม “มองเห็นแค่หก ดวงอาทิตย์อยู่ที่ใด?”

“นอกแดนความฝันมีอยู่ดวงหนึ่ง…” หนิวโหย่วเต้าพูดๆ อยู่ก็ชะงักไป ใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “หยินหยางสลับฝั่ง ขอบเขคของค่ายกลนี้กว้างใหญ่ เกรงว่าจะเหนือกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มากนัก ยามที่ด้านนอกเกิดสุริยุปราคา ทางเข้าแดนความฝันจะเปิดออก มีความเป็นไปได้สูงที่การเปิดตัวของทางเข้าจะเกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้ เจ็ดธาตุอยู่บนพื้นก็แปลว่าธรณีต่างนภา ค่ายกลนี้อาจจะเป็นค่ายกลที่อาศัยยืมพลังจากดวงดาวอย่างที่เล่าขานกันไว้ หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วยการขัดขวางของพลังดวงดาว เกรงว่าอวิ๋นจีอาจจะมุดดินออกไปไม่ได้เสียแล้ว ”

สายตาของทุกคนที่อยู่บนยอดเขามองไปยังตำแหน่งที่อวิ๋นจีมุดดินหนีไปอย่างพร้อมเพียง

หยวนกังเอ่ยถาม “บนโลกนี้มีค่ายกลที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริงๆ น่ะหรือ?”

“หรือว่าปรากฏการณ์ที่ทางเข้าแดนความฝันเปิดไม่มหัศจรรย์ล่ะ? นั่นดูแล้วเหมือนสิ่งที่พลังธรรมดาสร้างขึ้นได้เหรอ?” หนวิโหย่วเต้าถามกลับ

หยวนกังเงียบไป หลังจากมาถึงโลกใบนี้ มุมมองทางโลกที่มีอยู่แต่เดิมก็ถูกลบล้างไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอขบคิดลึกลงไป บางทีอาจเป็นเพราะตนไร้ความรู้เอง

ก่วนฟางอี๋อดเอ่ยสอดไม่ได้ “อย่ามัวแต่พูดไร้สาระเลย จริงจังกันหน่อยเถิด พวกเราจะออกไปจากที่นี่อย่างไรต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ เหลือเวลาไม่มากแล้ว อย่าโอ้เอ้เลย”艾琳小說

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองผิวทะเลสาบพลางเอ่ยว่า “ดวงตะวันด้านนอกเป็นของจริง ส่วนดวงตะวันของที่นี่เป็นมายา”

หยวนกังถาม “ดวงตะวันที่หายไปดวงนั้นอยู่ที่ใด?”

หนิวโหย่วเต้าเพ่งพิศดูรอบข้าง “ถูกซ่อนเอาไว้”

“ซ่อนเอาไว้หรือ?” หยวนกังฉงน

“เมื่อดูจากภูเขาที่อยู่รอบข้างแล้ว มีคนปรับแต่งตำแหน่งขุนเขาธารา จัดไว้ในรูปแบบค่ายกลเก้าวังแปดทิศ” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังผิวทะเลสาบอีกครั้ง “ตามหลักสามประสาน นภาต่างจานฟ้า ภาพสะท้อนในทะเลสาบคือประตู หยินหยางทะลุผ่าน ทะเลสาบคือจานคน ปฐพีต่างจานดิน หยินหยางผกผันเวียนวนน่าอัศจรรย์ สองวิถีหวนคืนเก้าวัง มีคนพลิกหยินสลับหยาง กลับหัวหางฟ้าดิน นภากลายเป็นธรณี ธรณีกลายเป็นนภา ทะเลสาบยังเป็นจานคนเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ดาวเจ็ดธาตุจึงอยู่บนพื้น มองเห็นได้ผ่านประตู หนึ่งในเจ็ดธาตุถูกซ่อนไว้ ที่ซ่อนไว้คือดวงตะวัน จานฟ้าอยู่บนพื้น มีคนจัดวางผังตามหลักฉีเหมินตุ้นเจี่ยเอาไว้”

ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ประเด็นสำคัญคือด้านคำศัพท์ ล้วนแต่เป็นคำศัพท์ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

หยวนกังพอจะฟังเข้าใจบางส่วน เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ฉีเหมินตุ้นเจี่ย?”

แววตาหนิวโหย่วเต้าทอประกายวาววาม ทอดสายตามองออกไปพลางพยักหน้ารับ “ตุ้นเจี่ยคือตำแหน่งสูงสุดในสิบราศีบน ซ่อนเร้นไม่เผย ดวงตะวันในเจ็ดธาตุก็น่าจะถูกซ่อนเร้นไว้ในนั้นเช่นกัน เมื่อพบดวงตะวันก็จะพบดวงตาของค่ายกล แล้วก็จะสามารถเปิดประตูเกิดออกจากค่ายกลนี้ได้ ตามหลักแล้วมันน่าจะคล้ายคลึงกับดวงตะวันที่อยู่ด้านนอก เมื่อมีบางสิ่งเข้าบดบังดวงตะวันก่อให้เกิดสุริยุปราคา แดนความฝันจะเปิดประตูเกิด ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่ผนึกแดนความฝันไว้เมื่อในอดีตนั้นมองข้ามการมีอยู่ของสุริยุปราคาหรือว่าตั้งใจกันแน่”

ในที่สุดก็ฟังเข้าใจแล้วเขากำลังพูดอะไร ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความสนใจ “ข้าฟังไม่รู้เรื่อง แต่เท่าที่ฟังเจ้าพูดๆ มาดูสมเหตุสมผลมีหลักการ น่าจะไม่ใช่แค่พูดจาดูดีไปอย่างนั้น รีบค้นหาเถอะ รีบหาดวงตะวันให้พบ!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ ชี้ไปที่ทะเลสาบ “ทะเลสาบคือจานคน ประตูที่ต้องผ่านเข้าไปอยู่ในทะเลสาบ”

ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “ต้องดำลงไปที่ก้นทะเลสาบหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า จากนั้นเอ่ยกับหยวนกังว่า “เจ็ดธาตุชี้ตำแหน่ง!”

หยวนกังพยักหน้าเล็กน้อย คล้ายจะเข้าใจแล้ว

แต่ในเวลานี้เอง ริมทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงดังขึ้นมา จากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา ร่างใครคนหนึ่งพุ่งแหวกออกมาจากพื้นดิน ร่างส่ายโงนเงน ทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน ผมเผ้าสยายรุ่ยร่าย อาภรณ์ขาดวิ่น สภาพดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างยิ่ง มีคราบเลือดตรงมุมปากด้วย

ผู้ที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นมิใช่ใครอื่น เป็นอวิ๋นจีนั่นเอง แพรโปร่งคลุมหน้าหายไปแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าเปรอะเปื้อนมอมแมม

อวิ๋นจีที่หอบหายใจเหลียวมองไปรอบๆ พอมองเห็นหลุมศพเรียบง่ายที่ตนสร้างไว้ก็มีท่าทางโล่งใจเป็นอย่างมาก

แต่จากนั้นก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ พวกหนิวโหย่วเต้าล่ะ? อวิ๋นจีมองกวาดมองไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มองเห็นทั้งสี่คนยืนบนยอดเขาภายใต้แสงดารา นางทะยานกายขึ้นทันที เหินร่อนลงบนยอดเขาเดียวกับทั้งสี่คน พอพบหน้าก็เอ่ยว่า “ผ่านใต้ดินออกไปไม่ได้!”

ทั้งสี่อดไม่ได้ที่จะมองพินิจนางหัวจรดเท้า พบว่ากระทั่งรองเท้าของคนผู้นี้ก็หายไปแล้ว ยืนด้วยเท้าเปลือยเปล่า แม้แต่ต้นขาขาวผ่องที่เปรอะคราบโคลนก็เผยออกมาเช่นกัน แผ่นหลังและหน้าอกก็โผล่ออกมาไม่น้อย โดยเฉพาะเนินอกอวบอิ่มที่เผยออกมาเสี้ยวหนึ่งดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง

พอสังเกตเห็นสายตาของทุกคน อวิ๋นจีจึงก้มหน้ามอง ก่อนจะยกสองมือขึ้นมากอดอกทันที เอ่ยด้วยความโมโห “มองอะไร?”

บุรุษทั้งสามกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที พากันเบือนหน้าหันมองไปทางอื่น

ก่วนฟางอี๋เป็นสตรีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความแปลกใจ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไปตามที่หนิวโหย่วเต้าคาดการณ์ไว้ หนีออกไปไม่ได้จริงๆ

“ไม่ได้พกเสื้อผ้าติดมาด้วย พอจะมีผู้ใดให้ยืมเสื้อคลุมได้หรือไม่?” อวิ๋นจีเองก็ขอความช่วยเหลืออย่างเก้อกระดากเช่นกัน

หนิวโหย่วเต้ากระแอมเล็กน้อย “เจ้าลิง ไปยืมของเฉาเซิ่งไหวมาให้ใช้ก่อนเถอะ”

หยวนกังเดินลงจากเขาไปหาเฉาเซิ่งไหวที่มีอสูรโลหิตคอยเฝ้าอยู่ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกกับรองเท้าแล้วถือกลับมาโยนให้อวิ๋นจี

อวิ๋นจีหันหลังสวมอาภรณ์ แต่สุดท้ายก็พบว่าอาภรณ์ของเฉาเซิ่งไหวก็ขาดเช่นกัน แต่สภาพดีกว่าของนางมาก แค่บดบังส่วนเปลือยเปล่าที่เผยต่อสายตาคนได้ก็พอ เมื่อไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ต้องใช้ไปก่อน

“เรียบร้อยแล้ว!” อวิ๋นจีร้องบอก

บุรุษทั้งสามถึงได้หันกลับมา แววตายังคงดูแปลกพิกล สภาพของสตรีเบื้องหน้าแตกต่างกับภาพลักษณ์สูงส่งหยิ่งทะนงก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว เปรียบเป็นผู้ดีกับยาจกก็คงได้กระมัง? ในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว ซ้ำยังมอมแมมเล้กน้อยด้วย

หนิวโหย่วเต้าถาม “เหตุใดผู้อาวุโสถึงอยู่ในสภาพนี้เล่า?”

อวิ๋นจีเอ่ยว่า “ใต้ดินมีพลังประหลาดหมุนวน แปลกประหลาดอย่างมาก ข้าพยายามทุกวิถีทางแล้วก็ยังทะลุออกไปไม่ได้ เกือบตายอยู่ใต้ดินแล้ว โชคดีที่ข้าเชี่ยวชาญวิชาดำดิน มิเช่นนั้นคงยากจะรอดพ้นเคราะห์ได้ นับว่ารอดมาได้เพราะโชคช่วย”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย เหตุการณ์ที่อีกฝ่ายเผชิญช่วยยืนยันการวิเคราะห์ของเขาไว้ ค่ายกลนี้อาศัยพลังจากดวงดาวจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เขากลับมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

พอคนอื่นๆ ได้ยินก็คิดในใจว่าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ไปกับนางด้วย หาไม่แล้วแม้แต่ดำดินยังกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หากติดตามไปไหนเลยจะยังมีชีวิตรอดออกมาได้

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความโล่งใจ

อวิ๋นจีไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้ “ออกไปทางใต้ดินไม่ได้ เห็นทีจะต้องลองทางอากาศดูแล้ว เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเราไม่นึกถึงการใช้ประโยชน์จากอสูรผีเสื้อให้พาพวกเราบินออกไปเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ถึงบินหนีทางอากาศก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน ท่านไม่เห็นหรือว่าอสูรผีเสื้อในแถบนี้ล้วนสูงใหญ่กว่าปกติ? สาเหตุน่าจะเป็นเพราะติดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน แต่สำหรับผีเสื้อสูรแล้ว สถานที่แห่งนี้มีอาหารที่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของพวกเขา ถึงติดอยู่ที่นี่ก็ใช้ชีวิตต่อได้ พอเป็นเช่นนี้ อสูรผีเสื้อที่หลงเข้ามาที่นี่กลับกลายเป็นผู้พิทักษ์ของสถานที่แห่งนี้”

อวิ๋นจีกล่าวว่า “เจ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” นางได้สมบัติล้ำค่ามาจึงอยากออกไปโดยเร็ว

หนิวโหย่วเต้าไม่มีเวลาว่างมาอธิบายเรื่องผังค่ายกลกับนางเหมือนที่ชี้แนะหยวนกังไปก่อนหน้านี้ “ไม่สามารถอธิบายกับท่านให้กระจ่างในระยะเวลาสั้นๆ ได้ เอาเป็นว่าข้าพอจะรู้วิชาค่ายกลเล็กน้อย เมื่อครู่ตรวจสอบดูเล็กน้อยพบว่าค่ายกลนี้คือการพลิกสลับฟ้าดิน หนุนนำด้วยพลังของดวงดาว พสุธาไม่ต่างไปจากนภาดาษดารา ท้องนภากว้างไพศาล อาศัยเพียงสองปีกของอสูรผีเสื้อต่อให้บินจนปีกหักก็ไปได้ไม่ไกล ประกอบกับมีการบิดเบือนของพลังดวงดาว บินไปบินมาก็ไม่น่าจะบินออกไปได้ คาดว่าคงวนเวียนอยู่ในจุดเดิมอยู่ดี”

อวิ๋นจีไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดบ้าอะไรอยู่ เพียงแต่มีจุดหนึ่งที่นางฟังเข้าใจ “เจ้ามองความลับของค่ายกลนี้ออกหรือ? หาวิธีออกไปได้งั้นหรือ?”

“สามารถลองดูได้” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ หันไปเอ่ยกับหยวนกังว่า “หยินหยางพลิกสลับ เจ็ดธาตุชี้ทาง ลองย้อนทวนตำแหน่งดู”

หยวนกังพยักหน้า วิ่งไปหิ้วตัวเฉาเซิ่งไหวที่สลบอยู่ตรงตีนเขาขึ้นมาก่อน ครั้งนี้ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากอสูรผีเสื้อ หากแต่โยนตัวเฉาเซิ่งไหวไปให้หยวนฟางแบก ส่วนตนก็ไปหาก่วนฟางอี๋ “ช่วยที”

ก่วนฟางอี๋จับแขนเขาไว้ทันที ทั้งสองทะยานลงเขาไป หยวนกังชี้ทิศทางคอยนำทางอยู่ด้านหน้า ส่วนคนอื่นๆ ตามหลังไป

หนิวโหย่วเต้าก็เฝ้ามองอยู่ด้านหลัง ไม่ใช่ว่าส่งหยวนกังไปเสี่ยงอันตรายในแนวหน้า แต่เป็นความเคยชิน เขาตั้งใจจะสอนหยวนกัง ให้หยวนกังได้ทำความคุ้นเคยด้วยตัวเอง

หยวนกังชี้ทางให้ก่วนฟางอี๋พาเขาไปตามหาตำแหน่งของดวงตะวันท่ามกลางจุดแสงหกดวงในทะเลสาบ หากเรียงตามลำดับเดิมจะต้องเริ่มจากหัวไปท้าย เริ่มจากดวงตะวัน แต่จากคำแนะนำของหนิวโหย่วเต้า เขาต้องย้อนทวนสลับหยินหยาง ดังนั้นจะต้องสลับตำแหน่งดวงอาทิตย์ ย้อนทวนลำดับขึ้นไป

ก่วนฟางอี๋พาหยวนกังเหินทะยาน ร่อนลงในตำแหน่งของดวงตะวันบนผิวทะเลสาบ

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือนหยวนฟางที่อยู่ด้านหลัง “เหยียบตำแหน่งเดียวกับเขา ห้ามเหยียบตำแหน่งอื่นส่งเดช” นี่เป็นการเอ่ยเตือนคนอื่นๆ ด้วย

หยวนฟางที่แบกเฉาเซิ่งไหวอยู่พยักหน้าหงึกๆ เหินทะยานตามตำแหน่งของหยวนกังไปติดๆ

ทั้งกลุ่มเหินอยู่บนทะเลสาบ ทะยานไปทางนั้นทีทางนี้ที โฉบลงในจุดสุดท้ายที่ชี้ตำแหน่งไว้ จนทยอยร่อนลงริมฝั่ง

หนิวโหย่วเต้ากับหยวนกังยังพอว่า แต่คนอื่นๆ ล้วนประหลาดใจอย่างยิ่งในตอนที่ร่อนลงพื้น รีบเหลียวมองดูรอบข้างในทันใด พบว่าตนยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง

นี่เป็นหน้าผาบนเขาลูกไหนริมทะเลสาบกัน? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

เมื่อทุกคนมองย้อนกลับไปก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม ทะเสลาบกว้างใหญ่แห่งนั้นหายไปแล้ว ด้านหลังคือป่าผืนหนึ่ง

เวลานี้หนิวโหย่วเต้าเดินไปข้างหน้า มองหน้าผาไร้ทางออกที่ทอดตัวขวางอยู่ด้านหน้า พึมพำประโยคหนึ่ง “น่าเสียดายที่ไม่มีจานเข็มทิศ”

เมื่อไม่มีจานเข็มทิศ เขาก็ทำได้เพียงนับนิ้วคำนวณเทียบกับภูมิประเทศรอบข้าง อ้างอิงตัวเลขจากผังแปดทิศมาคำนวณอนุมานตำแหน่ง

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง หนิวโหย่วเต้าหันกลับมาอีกครั้ง “เดินตามตำแหน่งของข้า”

ทุกคนพยักหน้ารับพร้อมกัน หน้าผาที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคือเครื่องพิสูจน์แล้ว ทุกคนล้วนยอมรับเชื่อถือ จึงปฏิบัติตามแต่โดยดี

หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองแล้วเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าเยื้องไปทางด้านซ้าย แรกเริ่มตอนที่เดินนำหน้าไปไม่กี่ก้าว คนด้านหลังที่ตามมาติดๆ นั้นยังไม่มีอะไร แต่คนด้านหลังสุดที่ยังไม่เริ่มเคลื่อนที่กลับเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็อันตรธานหายไปแล้ว พลันตกใจขวัญหาย โชคดีที่คนด้านหน้ายังอยู่ จึงเร่งตามไปติดๆ

ทั้งคณะเดินเรียงตามกันไปติดๆ ก้าวเท้าตามรอยคนด้านหน้าไปก้าวต่อก้าว เดินหน้าไปได้ไม่กี่ก้าวจู่ๆ ก็เลี้ยวเดินออกไปทางขวาอีกสองสามก้าว เดินย้อนวนเวียนกลับไปกลับมาซ้ำๆ

สุดท้ายทุกคนก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตนอีกครั้ง ทั้งกลุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าผา

หนิวโหย่วเต้าที่นับนิ้วคำนวณอยู่สักพักจ้องมองไปรอยแยกเล็กๆ เส้นหนึ่งบนหน้าผา จากนั้นก้าวเท้าทะยานออกไป อันตรธานหายไปต่อหน้าทุกคน

หยวนกังกระโจนตามไป หายตัวไปเช่นกัน

เมื่อมีประสบการณ์จากก่อนหน้านี้แล้ว คนที่เหลือจึงทยอยพุ่งเข้าหาหน้าผา แต่ไม่ได้ชนเข้ากับหน้าผา เพราะจู่ๆ พื้นที่ด้านหน้าก็เปิดโล่ง เข้ามายังหุบเขากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

“ทุกคนไม่ต้องกลัว เมื่อมาถึงตรงนี้ก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระแล้ว” หนิวโหย่วเต้าก้าวเดินพล่างเอ่ยแจ้ง

หยวนฟางที่แบกคนอยู่วิ่งไปยืนอยู่ข้างกายเขา ด้วยคิดว่าติดตามเต้าเหยี่ยแล้วค่อนข้างปลอดภัยกว่า เขาหัวเราะแหะๆ เดินตามอยู่ด้านข้างพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย เหตุใดค่ายกลนี้ถึงน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ขอรับ เดินผ่านเข้าไปในรอยแยกช่องหนึ่ง แต่ไฉนมาปรากฏตัวอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งไปได้?”

หนิวโหย่วหัวเราะแล้วเอ่ยไปว่า “หากบอกว่าน่าอัศจรรย์ก็นับว่าน่าอัศจรรย์อยู่ แต่หากบอกว่าไม่น่าอัศจรรย์ก็ไม่น่าอัศจรรย์อันใด ค่ายกลนี้อาศัยพลังจากดวงดาว หลักการก็เหมือนที่อสูรผีเสื้อบินออกไปไม่ได้นั่นแหละ ดูเหมือนจะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่บางทีอาจจะไกลโพ้นเท่าระยะห่างบนฟากฟ้า หากว่าหาทางลัดไม่พบ เจ้าจะเดินอย่างไรก็ไปไม่ถึง แต่หากมองย้อนในอีกมุมหนึ่ง ระยะห่างยังส่งผลต่อสิ่งที่สายตามองเห็นด้วย ต่อให้เจ้าบินไปบินมาอยู่บนฟ้าก็มองไม่เห็นว่ามีหุบเขานี้อยู่ด้านล่าง”

……………………………………………………………………………