ตอนที่ 438 ‘ประหารก่อน รายงานทีหลัง’ และ ‘คิดบัญชีย้อนหลัง’

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 438 ‘ประหารก่อน รายงานทีหลัง’ และ ‘คิดบัญชีย้อนหลัง’

ฉิงจิ้งหยูคิดในใจว่า ‘ที่เจ้าอ้วนหลู่มาเยือนหมู่บ้านฉือหลี่โกวได้ในครั้งนี้ก็เป็นเพราะใช้กลยุทธ์ประหารก่อน รายงานทีหลัง1 เมื่อกลับบ้านไปแล้วก็ไม่รู้ว่าพี่ชายจะจัดการเขาอย่างไร ! วันหยุดหน้ายังคิดจะมาอีกหรือ ? ไม่กลัวพวกพี่ชายถลกหนังหรือไร ? ’

หลู่ซวนทำหน้าประมาณว่า ‘พี่สาวของหลินจื่อถิงทำของอร่อยได้มากมายขนาดนี้ แม้จะโดนถลกหนัง ข้าก็จะมาอีก! พี่รองหลินบอกแล้วว่าคราวหน้าจะทำเนื้อย่างกระทะร้อนให้กิน…เนื้อย่างน่ะเคยกินอยู่หรอก ส่วนเนื้อย่างกระทะร้อนยังไม่เคยลอง แต่ก็มั่นใจว่ามันจะต้องอร่อยมากแน่นอน ! ’

ต่อจากนั้นเด็กทั้งสี่คนก็ล้มตัวพิงกับผนังรถม้าเพื่อนอนต่อจนมาถึงสำนักศึกษา ขณะที่หลู่ซวนกำลังจะลงจากรถม้า เขาก็หดศีรษะกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง…สวรรค์ พี่ชายทั้งสามของตนเป็นเหมือนเสาสัญญาณบางอย่างที่กำลังยืนเรียงหน้ากระดานรอเขาอยู่หน้าสำนักศึกษา !

“หลินจื่อถิง ประเดี๋ยวพอเจอพี่ชายข้าแล้วก็ช่วยบอกว่าเจ้าบังคับให้ข้าไปเล่นที่บ้านเองนะ ! ข้าลำบากใจมาก ๆ ก่อนจะตัดสินใจไปเป็นเพื่อนฉิงจิ้งหยู ร่างกายผอมแห้งของเขาไม่แข็งแรงมาโดยตลอด ข้าจึงต้องตามไปดูแล…ขอร้องละ ข้าไหว้เลย” หลู่ซวนยกมือขึ้นพนมราวกับพระโพธิสัตว์กวนอิม ดวงตาที่ไม่ใหญ่มากคู่นั้นจับจ้องมายังเจ้าหนูน้อยด้วยความอ้อนวอน

ฉิงจิ้งหยูมองด้วยความดูถูก…กล้าทำ ไม่กล้ารับ ! เขากระโดดลงจากรถม้าแล้วเข้าไปคารวะพี่ชายหลู่ทั้งสามอย่างสุภาพ

พี่ชายทั้งสามของหลู่ซวนพยักหน้าให้เขา ก่อนจะถามว่า “เจ้าสี่เป็นอะไร ? เมื่อครู่เพิ่งโผล่หัวออกมาจากรถม้าแล้วเหตุใดจึงกลับเข้าไปใหม่ ? จงไปบอกเขาว่าหลบได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ! ”

หลินจื่อถิงนึกถึงสภาพน่าอนาถหลังการโดนตีของหลู่ซวน เมื่อลงจากรถม้าแล้ว เขาก็มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าพี่ชายหลู่ทั้งสามด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อยพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คารวะพี่ชายหลู่ทั้งสาม คือ…คือข้าเชิญหลู่ซวนไปเป็นแขกที่บ้านเอง พวกท่านอย่าตำหนิเขาเลย ถ้าจะโทษ…ก็โทษข้าเถิดขอรับ ! ”

ท้ายที่สุดหลู่ซวนก็ลงจากรถม้า หลังได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาทันที…สหายรัก ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริง ๆ ต่อไปนี้หลินจื่อถิงจะเป็นเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของข้า และข้าจะคอยปกป้องเจ้าเอง !

เจ้าปกป้องตัวเองให้ดีก่อนเถิด…

ใบหน้าของหลู่โจวบุตรชายคนโตของสกุลหลู่มีรอยยิ้มแสนอบอุ่นแต้มอยู่ เขาพยักหน้าให้หลินจื่อถิง “การที่เจ้าชวนเจ้าสี่ไปที่บ้านก็บ่งบอกได้ว่าเจ้าชอบและอยากเป็นสหายกับเจ้าสี่ของพวกเรา แล้วข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร ? ”

“ใช่ ใช่ ใช่ ! ข้ากับหลินจื่อถิงเป็นสหายที่รักกันมาก สายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าทองคำที่ไม่อาจทำลายได้…” หลู่ซวนที่เอาแต่ทำตัวเป็นนกกระทาคอยซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหนูน้อยเมื่อครู่ก็เริ่มพูดไม่หยุดปาก แต่หลังจากโดนพี่ชายทั้งสามถลึงตาใส่ เขาก็รีบหดคอกลับเหมือนนกกระทาอีกรอบ

หลู่หานบุตรชายคนรองสกุลหลู่ก็กวาดตามองเขาเบา ๆ “หากเจ้าทำเหมือนฉิงจิ้งหยูคือบอกให้ที่บ้านรับรู้ก่อน พวกเราจะยังไม่ให้เจ้าไปหรือ ? ก่อนออกจากเขตเริ่นอัน เจ้าก็ไล่เด็กรับใช้กลับมา คิดว่าประหารก่อน รายงานทีหลังก็จะจบเรื่อง ? หรือเจ้าไม่รู้ว่ายังมีคำที่เรียกว่า ‘คิดบัญชีย้อนหลัง’ ? ”

หลู่ซวนเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก “ขะ…ข้าก็แค่กลัวว่าพวกท่านจะไม่ให้ไป ถ้าแม้แต่ฉิงจิ้งหยูยังไปได้ แต่ข้าไปไม่ได้ก็ไม่เสียหน้าเลยหรือ ? ใครใช้ให้พวกท่านเข้มงวดกับข้าถึงเพียงนี้…อ้อ จริงสิ ข้าทำการบ้านเสร็จหมดแล้วด้วย แถมยังได้นั่งฟังเจียงอั้นโฉ่วสอนหนังสืออีกสองสามบทเรียนพร้อมหลินจื่อถิง…ได้ความรู้กลับมาไม่น้อยเลย ! ”

“เจียงอั้นโฉ่ว ? คนที่สอบเยวี่ยนซื่อของเมืองจงโจวได้อันดับหนึ่งน่ะหรือ ? ” สีหน้าของหลู่โจวพี่ชายคนโตดูผ่อนคลายขึ้นมาทันที เจียงอั้นโฉ่วทะยานขึ้นฟ้าในการสอบเยวี่ยนซื่อ แม้แต่เด็กสามขวบในเขตเริ่นอันก็รู้จักชื่อ หลู่โจวก็เรียนหนังสือมาหลายปีจึงมีใจชื่นชมคนเก่ง

หลู่ซวนพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก “พี่รองของหลินจื่อถิงเป็นคู่หมั้นของเจียงอั้นโฉ่ว สองบ้านอยู่ติดกัน…อ้อ ใช่ ที่พี่ชายของหลินจื่อถิงได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุ 14 ปีก็เพราะมีเจียงอั้นโฉ่วคอยชี้แนะ หลินจื่อถิงเองก็รู้แจ้งเพราะเขาเหมือนกัน เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาจารย์ในสำนักศึกษาชื่นชมเขาบ่อย ๆ ! จริงสิ พี่รองของหลินจื่อถิงยังทำขนมให้พวกเราด้วย ข้าเอากลับมาเป็นกล่องเลย ตั้งใจว่าจะให้ท่านพ่อท่านแม่กับพวกท่านได้ชิม…ฝีมือของพี่รองหลิน แม้แต่ขนมของร้านหนิงจี้ก็ยังเทียบไม่ติด…”

หลู่ฮุยบุตรชายคนที่สามของสกุลหลู่รับกล่องอาหารมาจากมือน้องชายคนเล็กและพูดกับเขาว่า “ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว เจ้าไปเรียนก่อนเถิด ส่วนจะจัดการเจ้าหรือไม่ก็รอเย็นนี้กลับบ้านแล้วดูท่าทีของท่านพ่อท่านแม่เองแล้วกัน ! ”

ตกเย็น เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วหลู่ซวนก็ถูก ‘ผู้พิพากษาทั้งสาม’ พิจารณาคดี หลังฟังเรื่องที่เขาได้พบเจอในหมู่บ้านฉือหลี่โกวและเนื้อหาที่ได้เรียนจากเจียงอั้นโฉ่ว ท้ายที่สุดคนในสกุลหลู่ก็ยอมปล่อยเขาไป

หลู่ซวนที่รอดพ้นมาได้ก็มองกล่องขนมอันว่างเปล่าพร้อมน้ำตานองหน้า…พวกพี่ชายทำเกินไปแล้ว ไม่เหลือคุกกี้เมล็ดต้นเจินที่เขาเอากลับมาเลยสักชิ้นเดียว ฮือฮือฮือฮือ…คุกกี้เมล็ดต้นเจินของข้า…

โชคดีที่ตอนมื้อเที่ยงได้กินจากหลินจื่อถิงสองสามชิ้น คุกกี้เมล็ดต้นเจินอร่อยมากจริง ๆ เหตุใดพี่รองของหลินจื่อถิงไม่เปลี่ยนมาเป็นพี่รองของตนบ้างเล่า ?

พอกลับถึงบ้านแล้ว ฉิงจิ้งหยูก็หยิบบันทึกคำอธิบาย ‘ตำราพันอักษร’ ที่ยืมมาจากเจียงอั้นโฉ่วออกมาแล้วเริ่มอ่านมันอย่างตั้งใจ นางฉิงยกขนมหวานมาให้บุตรชายที่ห้องหนังสือพร้อมเอ่ยถามว่าไปนอนค้างบ้านสหายมาเป็นอย่างไรบ้าง

ฉิงจิ้งหยูอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับปอด ไม่ว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงหรือลมพัดก็ทำให้เขาป่วยหนักและไอไม่หยุดได้เลย ส่งผลให้เขากลายเป็นสหายกับยาตั้งแต่ยังเล็กและนอนป่วยติดเตียงจนเป็นเรื่องปกติ

พอโตขึ้นอีกหน่อยก็บังเอิญพบกับหมอยาพเนจรและได้สูตรยารักษามาแขนงหนึ่ง ร่างกายจึงค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่า จะออกกำลังกายหนักหรือทำอะไรที่เหนื่อยจนเกินไปไม่ได้ เวลาจะกินอะไรก็ต้องคอยระวัง

เดิมทีนายท่านฉิงและนางฉิงไม่อยากให้บุตรชายไปบ้านสหายในครั้งนี้สักเท่าไร แต่บุตรชายยืนกรานจะไปให้ได้และตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากสหายเก่าของสกุลฉิงอย่างหลู่ซวนแล้วก็แทบไม่มีสหายคนอื่นเลย ยากนักที่เขาจะผูกสัมพันธ์กับสหายในชั้นเรียน แม้นายท่านฉิงและนางฉิงจะเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม เพียงกำชับเขาอีกรอบว่าจะกินอะไรให้ระวังและอย่าฝืนทำสิ่งเกินตัว…

ฉิงจิ้งหยูรู้ว่าบิดามารดาเป็นห่วง แต่พอนึกถึงช่วงเวลาสองคืนที่ได้อยู่บ้านสกุลหลิน เขาก็อดรู้สึกผิดต่อพวกท่านไม่ได้ เนื่องจากของอะไรที่เมื่อก่อนกินไม่ได้ เขาก็กินจนหมด โดยเฉพาะหม้อไฟรสเผ็ดร้อนที่เขาพยายามควบคุมตัวเองแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ทนต่อแรงปรารถนาไม่ไหว สิ่งใดที่เมื่อก่อนไม่เคยเล่น เช่น ไปปีนเขา ขึ้นต้นไม้ เขาก็ทำจนหมด แถมยังลงมือเก็บฝักต้นอวี๋ไม่น้อยเลย…

ทว่าเพื่อไม่ให้บิดามารดากังวล เขาจึงชี้ไปที่บันทึกคำอธิบายซึ่งยืมมาแล้วพูดอย่างอ้อม ๆ ว่า “เจียงอั้นโฉ่วมีพรสวรรค์เหนือผู้ใด หลังได้รับคำชี้แนะจากเขาแล้ว ข้าก็ได้ความรู้กลับมามากมายขอรับ แต่น่าเสียดายที่เจียงอั้นโฉ่วไม่คิดจะเปิดสำนักศึกษา…”

หลังนางฉิงได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจผิดว่าบุตรชายแค่นั่งเรียนหนังสือกับเจียงอั้นโฉ่วที่บ้านสกุลหลิน นางจึงมองเขากินขนมหวานแล้วถอยออกมาด้วยความสบายใจ

ฉิงจิ้งหยูอ่านบันทึกคำอธิบายด้วยความหลงใหลจนไม่ทันสังเกตว่าลืมปิดหน้าต่างตรงหน้าโต๊ะหนังสือ สายลมยามเย็นจึงพัดเข้ามาจนทำให้เขาไอและมีไข้ในคืนนั้นทันที

สาวใช้ที่คอยดูแลเขาก็รีบไปตามนายท่านฉิงและนางฉิงมาดู จากนั้นก็ออกไปตามท่านหมอมาตรวจอาการและยังต้องคอยนั่งต้มยา ทนทรมานอยู่ค่อนคืน วันรุ่งขึ้น ไข้ลดลงแต่อาการไอยังไม่หายไป ฉิงจิ้งหยูรู้ตัวดีว่าพอตัวเองเริ่มไอแล้วอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนหรืออย่างมากก็เดือนสองเดือนถึงจะหาย ในบางครั้งยังไอจนเป็นเลือดออกมาด้วย…ทำให้นางฉิงตกใจคิดว่าเขาเป็น ‘วัณโรค’ จึงคอยอยู่เฝ้าพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า
[i]
1ประหารก่อน รายงานทีหลัง หมายถึง ทำลงไปก่อนโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตแล้วค่อยรายงานในภายหลัง