บทที่ 314 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (5)

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 314 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (5)

ต่อให้น้ำท่วมไปทั้งจังหวัด ผู้คนโดยมากก็มิยอมเดินทางจากบ้านเกิดตนง่ายๆ เพราะว่าบัดนี้พวกเขาทุกคนล้วนพากันเดินทางออกมา นั่นหมายความว่าใกล้จะอดตาย

หากตามปกติแล้วนั้น คลังอาหารของแต่ละมณฑลควรจะนำอาหารออกมาแจกจ่ายเพื่อประทังชีวิตแก่ทุกคนก่อนมิใช่หรือ แล้วค่อยรออาหารจากราชสำนัก

“คลังของแต่ละเขต เรียกได้ว่าว่างเปล่าสิ้นแล้ว” ไป๋ยี่เซวียนกล่าว

โจวกุ้ยหลานรอฟังประโยคต่อไปของเขา

เขาหยุดลงชั่วคราวแล้วกล่าวต่อว่า “หลายปีมานี้ แคว้นเหลียงของเราสู้รบมาตลอด ใช้กำลังของชาติไปจนสิ้น ประกอบกับ……”

เขาเหลือบมองดูโจวกุ้ยหลานแล้วกล่าวต่อไปว่า “นายอำเภอเหล่านั้นจะมิให้ธัญพืชถูกเก็บไว้โดยเปล่าประโยชน์แน่ มิเช่นนั้นนายอำเภอหลายๆ คนเหตุใดจึงมีภรรยามากมายเล่า คิดว่าอาศัยเพียงเงินเดือนแต่ละเดือนของพวกเขาหรือ?”

สีหน้าของไป๋ยี่เซวียนดูเยาะเย้ย

โจวกุ้ยหลานนิ่งเงียบ นางเดาได้ว่าในอำเภอชางจวี้น พวกเขาคงมิมีคลังเสบียงแล้ว แต่คิดมิถึงว่าเขตอื่นๆ ก็จะคล้ายคลึงกัน

เมื่อมิกี่วันก่อนที่ยังคงอยู่ในอำเภอชางจวี้น พบว่าผู้ลี้ภัยมีมิมากนัก แต่หลังออกจากอำเภอชางจวี้นแล้ว กลับพบว่าเขตของพวกเขายังนับว่ามิเลวร้ายนัก

“งั้นอาหารจากราชสำนัก?” โจวกุ้ยหลานถามต่อ

รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ยี่เซวียนดูลึกล้ำขึ้น เขาเสียดสีอย่างรุนแรง “คาดว่าทางราชสำนักคงมิมีอาหารเพียงพอจะกินแล้ว จะเอาอาหารที่ใดบรรเทาภัยพิบัติเล่า ต่อให้มีก็คงมิมาถึงมือผู้ลี้ภัยเหล่านี้หรอก”

โจวกุ้ยหลานนิ่งเงียบ แล้วก้มหน้าลงมองดูบุตรชายทั้งสองของตนด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน

เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นระดับจังหวัด กำลังคนเพียงแค่คนหนึ่งคงมิอาจช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมดได้ ส่วนคนที่รอก็เท่ากับตาย

บางที……อาจจะยังมีหนทางอื่น นั่นก็คือ เผา ปล้น ฆ่า

“ดูเหมือนพวกเราจะต้องเร่งรีบเดินทางแล้ว ยิ่งช้าจะยิ่งอันตราย” โจวกุ้ยหลานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ไป๋ยี่เซวียนถอนหายใจว่า “ดูเหมือนเจ้าจะคิดถูก พวกเราควรจะไปจ้างหน่วยคุ้มกันมาคุ้มกันเรา มีผู้คุ้มกันเพียงแค่สี่คนน้อยไปเหลือเกิน……”

สำหรับประโยคนี้ของเขา โจวกุ้ยหลานก็เห็นด้วย

รถม้าวิ่งไปอย่างดุเดือด เมื่อพวกเขาพบผู้ลี้ภัยอยู่กลางถนน ก็ทำได้เพียงวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจ้องมองมาที่รถของพวกเขาด้วยแววตาสับสนและมีความโลภผสมปนเป

ระหว่างการเดินทางนั้น พวกเขามิกล้าที่จะพักในโรงเตี๊ยมอีกต่อไป แต่ละวันเมื่อหิวก็กินอาหารแห้ง หากคนขับรถเหนื่อยก็จะเปลี่ยนกันขับ

แม้โจวกุ้ยหลานจะสงสารลูกๆ ทั้งสองคนเป็นยิ่ง แต่นางก็มิกล้าสั่งให้หยุดรถม้าเพื่อพักผ่อนในเวลานี้

สองวันผ่านไปในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเภ่

แต่ในเวลานี้ประตูเมืองเภ่ถูกปิดอยู่อย่างแน่นหนา ผู้ลี้ภัยจำนวนมากเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตู และที่ประตูเมืองมีทหารจำนวนมิน้อยคอยเล็งลูกธนูมายังผู้ประสบภัยเหล่านั้น

ไป๋ยี่เซวียนหันมาสบตากับโจวกุ้ยหลาน ทั้งสองคนสนทนากัน ไป๋ยี่เซวียนเปิดม่านลงจากรถม้า

โจวกุ้ยหลานกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่นแล้วนั่งนิ่งอยู่ในรถ

หลังจากนั้นมินานก็ได้ยินเสียงตะโกนของไป๋ยี่เซวียน พบว่าประตูเมืองถูกเปิดออก ทหารแต่ละคนเดินทางออกมาในมือถือหอกและโล่เพื่อป้องกันประตูเมืองจำนวนมาก

ไป๋ยี่เซวียนกลับมานั่งรถแล้วสั่งให้คนขับรถขับเข้าไปในเมือง

เมื่อรถม้าทั้งสามของพวกเขาตรงเข้าไปในเมืองแล้ว ทหารเหล่านั้นก็กลับเข้าไปในเมืองแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปมินานไป๋ยี่เซวียนก็ออกมาอีกครั้ง และสนทนากับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงกำแพงเมืองคนหนึ่ง หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ไป๋ยี่เซวียนจึงได้กลับมาแล้วกล่าวกับโจวกุ้ยหลานว่า “พวกเราจะไปกินอาหารที่บ้านใต้เท้าเว่ยกัน เจ้าจงเตรียมตัว”

ใต้เท้าเว่ยคงจะเป็นคนใหญ่หัวหน้าที่คอยคุ้มการอยู่ที่กำแพงเมืองสินะ

โจวกุ้ยหลานพยักหน้ารับรู้ ไป๋ยี่เซวียนกลับมานั่งลงในรถม้า จากนั้นใต้เท้าเว่ย ก็กระโดดขึ้นขี่ม้าของตนเอง วิ่งนำไปข้างหน้า

“เจ้าสนิทกับใต้เท้าเว่ยหรือ?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยถาม

“มิรู้จักหรอก” ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า

โจวกุ้ยหลานนึกถึงที่ไป๋ยี่เซวียนออกไปตะโกนที่ด้านนอกกำแพงเมืองเมื่อสักครู่นี้ เหมือนได้ยินเขาจะกล่าวว่าตนคือไป๋ยี่เซวียนแห่งตระกูลไป๋ อาจจะเป็นด้วยชื่อนี้จึงทำให้ใต้เท้าเว่ยคนนั้นปล่อยให้พวกเขาเข้าไป

“ท่านแม่ เหตุใดพวกคนที่อยู่ด้านนอกจึงมิเข้ามา?” รุ่ยหนิงมองไปข้างหลังรถม้า

โจวกุ้ยหลานลูบศีรษะของเขา แต่มิรู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

นางจำได้ว่าเคยเห็นอยู่ในทีวี มีประโยคหนึ่งที่ขุนนางกล่าวว่า ‘ผู้ประสบภัยนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์’

ในสถานการณ์เช่นนี้นางรู้สึกว่าตนสัมผัสได้อย่างจัง

เมื่อเข้ามาในเมืองเภ่ก็ได้ยินเสียงหาบเร่ขายของตามท้องถนน นางอดมิได้ที่จะเปิดม่านขึ้นดู พบผู้คนเดินไปเดินมามากมาย แม้จะเรียกมิได้ว่าเป็นแหล่งเจริญ แต่ก็เห็นถึงความสงบสุข

มินานต่อมา รถม้าก็มาหยุดอยู่ที่จวนแห่งหนึ่ง มีทางเข้าทั้งสิ้นสามทาง ไป๋ยี่เซวียนลงจากรถม้าพาโจวกุ้ยหลานและลูกของนางลงมาด้วยเช่นกัน

เมื่อดูจวนหลังนี้ มิแตกต่างอันใดกับจวนด้านข้างนัก มองจากภายนอกก็ช่างเรียบง่าย

ใต้เท้าเว่ย เอ่ยวาจาอ่อนน้อมสุภาพต่อไป๋ยี่เซวียนสองสามประโยค จากนั้นทั้งสองก็เดินตรงเข้าไป โจวกุ้ยหลานและลูกชทั้งสองก็ตรงเข้าไปด้วยเช่นกัน

เมื่อตรงเข้าไปด้านในที่นั่งแล้ว ใต้เท้าเว่ยก็ได้เอ่ยเรียกสตรีนางหนึ่งที่มีอายุอานามไล่เลี่ยกับเขาให้รีบไปจัดเตรียมอาหารมา สตรีนางนั้นทำท่าทางลำบากใจเล็กน้อย

“ยังรออะไรอยู่อีกเล่า รีบไปเร็ว!”

“ข้า……ในมือข้ามิมีเงินแล้ว จะให้ไปซื้ออาหารได้อย่างไร” สตรีนางนั้นก็รู้สึกรีบร้อนใจขึ้นมา จึงได้โพล่งคำเช่นนี้

ใต้เท้าเว่ยทำสีหน้าเคอะเขินและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ด้านข้างยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ในวันนี้ต้องขอบใจใต้เท้าเว่ยเป็นยิ่งนัก เดิมทีก็ควรเป็นข้าจะเลี้ยงอาหาร ใต้เท้าเว่ย เช่นนั้นอาหารมื้อนี้ข้าเป็นคนออกเงินดีหรือไม่”

เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบก้อนเงินออกมาส่งให้เว่ยฮูหยิน

เว่ยฮูหยินหันไปมองที่สามีของตน

บัดนี้ใต้เท้าเว่ยก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางจึงเอื้อมมือไปรับเงินไว้ แล้วเอ่ยขอบคุณไป๋ยี่เซวียน ก่อนจะเดินทางออกไปซื้อหาอาหาร

ใต้เท้าเว่ยมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด จึงพาผู้คนเดินตรงเข้าไปด้านในห้องโถงแล้วนั่งลง เอ่ยขอบคุณไป๋ยี่เซวียนอีกครั้ง ด้านของไป๋ยี่เซวียนก็เอ่ยคำสุภาพออกมาสองสามประโยค

เมื่อสิ่งที่เอ่ยพอเป็นพิธีเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ได้สนทนาถึงเรื่องเร่งด่วน “คุณชายไป๋ มิทราบว่าพวกท่านจะพอช่วยเหลืออาหารบริจาคแก่พวกเราได้หรือไม่ หรือเงินทองก็ยังดี”

ไป๋ยี่เซวียนหัวเราะขึ้นว่า “ใต้เท้าเว่ย หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปคาดว่าคงจะมีคนกล่าวหาว่าท่านทุจริตแน่”

“อยากเอ่ยก็เอ่ยไปเถิด เมืองของเราในบัดนี้มีสภาพเช่นไรกัน มิมีผู้ใดสามารถม้าช่วยพวกเราได้เลย!” ใต้เท้าเว่ยกล่าวด้วยความโมโหรีบร้อนใจ จึงตรงไปตรงมาและมิละอายที่จะพูด

บัดนี้โจวกุ้ยหลานจึงเพิ่งมองเห็นรอยคล้ำใต้ตาของเขาเห็นได้ชัดว่ามิได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว

แต่ก็คงเป็นดังนั้นเมืองเภ่ห่างจากมณฑลจวีนโจวมิไกลนัก เมื่อมณฑลจวีนโจวเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ผู้คนจำนวนมิน้อยก็ลี้ภัยมาที่เมืองเภ่ พวกเขาจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก

“เมืองเภ่ยังนับว่าเป็นระเบียบ เมื่อครู่ข้าเห็นผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข” โจวกุ้ยหลานเอ่ยแทรกขึ้น

เมื่อข้ามประตูกำแพงไปแล้ว นั่นเป็นฉากที่แตกต่างกันมากทีเดียว

ใต้เท้าเว่ยได้ยินประโยคนี้ก็แทบจะระเบิดออกมา

“พวกเจ้าคงคิดว่าเหตุใดพวกเราจึงมิเปิดประตูเมือง เหตุใดจึงให้ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นทนทุกข์อยู่ด้านนอก คงคิดว่าพวกเราละเลยต่อหน้าที่ใช่หรือไม่ และมิมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นกระมัง?”

“ข้า……” โจวกุ้ยหลานยังมิทันเอ่ยปากก็พบใต้เท้าเว่ยลุกขึ้นยืนเดินไปรอบๆ ห้องอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเท่าไหร่? แต่เมืองเภ่นี้มีขนาดเล็กนิดเดียว มิอาจเพียงพอที่จะให้พวกเขาเข้ามาอาศัย หากให้พวกเขาเข้ามา เพื่อให้มีอาหารกินพวกเขาจะมิพากันแย่งชิงไปทั่วหรือ ทหารของพวกเรามีมากเท่าไหร่กัน? คิดว่าจะสามารถต่อสู้ได้หรือ? แล้วประชาชนในเมืองเภ่จะทำอย่างไร ให้พวกเขาอดตายไปด้วยงั้นหรือ?”