บทที่ 394 ซื่อจื่อ ข้าคิดถึงท่านจังเลย

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 394 ซื่อจื่อ ข้าคิดถึงท่านจังเลย

จวินหย่วนโยวยื่นมือไปรับขวดเครื่องเคลือบอันนั้นมา “ลำบากเจ้าแล้ว”

“ซื่อจื่อจะเกรงใจข้าทำไม สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ก็มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น” หยุนถิงกล่าวตอบ

จวินหย่วนโยวยื่นมือไปกุมมือของหยุนถิงเอาไว้ “มีเจ้าอยู่ข้างกายของข้า ก็คือการปลอบโยนที่ดีที่สุดสำหรับข้า”

หยุนถิงกางมือออก สิบนิ้วประสานกับมือของจวินหย่วนโยว “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ว่าชาตินี้ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป”

จวินหย่วนโยวซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ยื่นมือไปกอดหยุนถิงเอาไว้

เรือนที่กว้างใหญ่ ทั้งคู่โอบกอดกันอย่างเงียบๆ หัวใจสองดวงอิงแอบแนบชิดกัน

ด้านนอกประตู หลิงเฟิงเดินเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย เป่ยหมิงฉี่ขอพบ!”

จวินหย่วนโยวขมวดคิ้ว เป่ยหมิงฉี่มาเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองหลวงของแคว้นเป่ยลี่ ยิ่งเป็นถิ่นของเป่ยหมิงฉี่ หากเขาไม่สังเกตเลยแม้แต่น้อย กลับจะทำให้จวินหย่วนโยวรู้สึกผิดหวัง

“ซื่อจื่อ เป่ยหมิงฉี่คนนี้มาได้รวดเร็วดี” หยุนถิงเอ่ยปาก

“หากเวลานี้เขายังเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงอีก เกรงว่าแม้แต่แคว้นเป่ยลี่ก็ไม่อยากได้แล้ว!” จวินหย่วนโยวกล่าวออกมาอย่างเย็นชา จูงมือของหยุนถิงเดินออกไป

ครั้งนี้ ทั้งสองคนไม่ได้ปลอมตัว เป่ยหมิงฉี่สามารถมาหาถึงที่นี่ได้ แสดงว่ารู้ตัวตนของพวกเขาแล้ว

ห้องโถง

เป่ยหมิงฉี่มองดูจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงจูงมือกันออกมา ก็รีบเข้ามาทันที “บุญคุณความแค้นในสมัยก่อนมากน้อยข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง ข้าขอโทษเจ้าแทนเสด็จพ่อของข้าด้วย ข้ารู้ว่าการขอโทษไม่สามารถชดเชยอะไรได้ หวังเพียงว่าเจ้าจะสามารถปล่อยแคว้นเป่ยลี่ ปล่อยราษฎรของแคว้นเป่ยลี่ไป อย่าให้พวกเขาต้องตกอยู่ในความทุกข์แสนสาหัสเลย”

เป่ยหมิงฉี่ผู้ซึ่งขี้อวด เย็นชาหยิ่งทะนงมาโดยตลอด ไม่ได้แทนตัวเองว่าข้าที่เป็นไท่จื่อ แต่เป็นข้า แสดงให้เห็นว่าลดลักษณะท่าทีลงแล้ว

หยุนถิงมองไปทางเป่ยหมิงฉี่ ไม่เหลือความเยาะเย้ยถากถางสังคม อันธพาลและเจ้าชู้ในอดีต เขาในเวลานี้สีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง หนวดเครายาวออกมาเล็กน้อยแล้ว เบ้าตาก็ลึกลงไปเช่นกัน ดูออกว่าไม่ได้พักผ่อนดีๆมานานมากแล้ว

นัยน์ตาสีดำที่คมกริบของจวินหย่วนโยว กวาดมองมาราวกับดาบแหลมคม “ความแค้นของพ่อแม่ ไม่สามารถอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้ หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”

สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่กระอักกระอ่วนสุดขีด เขารู้มาตลอดว่าหลายปีมานี้จวินหย่วนโยวกำลังตามสืบเรื่องการตายของพ่อแม่เขา เมื่อก่อนเขาถึงขั้นยังเคยหัวเราะเยาะจวินหย่วนโยวว่าโง่เกินไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะเป็นเสด็จพ่อของตนเอง

วิธีการของจวินหย่วนโยวโหดเหี้ยมมากแค่ไหน ถึงแม้เป่ยหมิงฉี่จะอยู่ที่แคว้นเป่ยลี่ก็ยังเคยได้ยิน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นความแค้นของพ่อแม่อีก

นาทีต่อมา สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่ก็ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าหากเป็นข้า แน่นอนว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อล้างแค้น และข้าก็สามารถชดใช้หนี้แค้นแทนพ่อเช่นกัน แล้วแต่เจ้าจะจัดการ”

“ทวงความแค้นก็ต้องหาคนทำผิดทวงหนี้ก็ต้องหาลูกหนี้!” จวินหย่วนโยวตอกกลับเสียงเย็นชา

มือที่อยู่ข้างลำตัวของเป่ยหมิงฉี่กำหมัดเอาไว้แน่น กระดูกส่งเสียงดังกรอบแกรบ เขากัดริมฝีปากล่างอย่างแรง และคุกเข่าลงไปทันที

“เจ้าจะล้างแค้นอย่างไรข้าไม่สนใจ ข้าขอแค่เจ้าปล่อยราษฎรของแคว้นเป่ยลี่ไป พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ หากสองแคว้นเปิดศึกกันจะต้องเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ชาวบ้านตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เกิดความทุกข์ยากแสนสาหัส” น้ำเสียงของเป่ยหมิงฉี่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน และความเศร้าโศกเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

เขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้หยุนถิงมองด้วยความประหลาดใจ ความรู้สึกที่เป่ยหมิงฉี่ให้คนคือคุณชายเสเพลที่เยาะเย้ยถากถางสังคม เห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง กินดื่มเที่ยวเล่นแสวงหาความสุขใส่ตัวไม่สิ้นสุด คิดไม่ถึงว่าเขาจะห่วงใยราษฎรเช่นนี้

“เหตุใดท่านถึงไม่ขอร้องให้ซื่อจื่อปล่อยท่านไป แต่ให้ปล่อยราษฎรไปล่ะ?” หยุนถิงอดถามไม่ได้

“เสด็จพ่อเป็นคนได้ของใหม่ลืมของเก่าที่สุด ฟังเพียงเสียงหัวเราะของคนใหม่ ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเก่า ตอนนั้นเสด็จแม่ของข้าผิดหวังในตัวเสด็จพ่ออย่างมาก ซึมเศร้าไม่มีความสุข สุดท้ายก็จากไปด้วยความเกลียดชัง

ในตอนนั้นข้าอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น ข้าเกลียดชังเสด็จพ่อมาก ดังนั้นจึงแอบหนีออกจากวัง สาบานว่าชาตินี้จะไม่กลับเข้าไปในวังอีก เพียงแต่ว่าหลังจากที่ออกจากวังแล้ว ข้าถึงได้พบว่าโลกภายนอกไม่ได้สวยหรูอย่างที่ข้าคิด

ตอนนั้นข้ายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทันทีที่ออกจากวังก็ถูกคนตามไล่ล่า หิวโหยไปห้าวันไม่ได้กินอะไรเลย ถึงขั้นเคยแย่งอาหารกับขอทาน ยังเกือบจะถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไปด้วยซ้ำ

โชคดีที่มีชาวนาใจดีครอบครัวหนึ่งช่วยข้าเอาไว้ ให้อาหารข้ากิน และยังเย็บเสื้อตัวใหม่ให้ข้าอีกด้วย ข้ารู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างมาก

ตอนนั้นข้าติดตามพี่ชายคนนั้นขึ้นเขาไปผ่าฟืน ล่าสัตว์ ทำไร่ ทำนา——เมื่อก่อนข้าเคยเห็นพวกนี้แค่ในหนังสือเท่านั้น แต่เมื่อสัมผัสด้วยตัวเองถึงได้พบว่าการเป็นชาวนามันยากเย็นเช่นนี้

ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้นยากลำบากมาก หญิงตั้งครรภ์กำลังจะคลอด พี่ชายกลับไม่มีเงินเชิญหมอและหมอตำแย ดังนั้นข้าก็เลยนำป้ายหยกที่พกติดตัวประจำไปจำนำ เปลี่ยนเป็นเงินเชิญหมอและหมอตำแยยังซื้อของบำรุงเล็กน้อย

แต่คิดไม่ถึงว่า เป็นเพราะป้ายหยกของข้าถึงทำให้พวกคนที่ตามไล่ล่าข้าเจอเบาะแส ทำให้หญิงตั้งครรภ์คนนั้นถูกไล่ฆ่าในวันที่คลอดลูก

พี่ชายคนนั้นใช้ร่างกายของตัวเองรับกระบี่แทนข้า ไม่เสียดายที่จะใช้ชีวิตของตัวเองถ่วงเวลาเพื่อข้า สุดท้ายข้าหนีรอดไปได้ แต่ครอบครัวพี่ชายรวมไปถึงลูกที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกของพวกเขาล้วนตายไปอย่างอนาถ

พวกเขาเป็นเพียงชาวนาที่ธรรมดาที่สุด ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีใดๆเลย และไม่เคยคิดร้ายต่อคนอื่น แต่พวกเขากลับเสียสละไปอย่างไม่มีความผิด

หลังจากที่ข้าฝังครอบครัวพี่ชายแล้ว ก็สาบานว่าจะต้องแก้แค้นแทนพวกเขาให้ได้ ดังนั้นข้าจึงกลับไปที่พระราชวังอีกครั้ง มีเพียงแต่มีอำนาจและฐานะเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้พวกคนที่ลอบสังหารข้าชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป

ตั้งแต่นั้นมาข้าก็บอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด ไม่ว่าข้าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ก็จะปฏิบัติต่อราษฎรด้วยความเมตตากรุณา ถึงแม้จะด้วยกำลังของข้าเพียงคนเดียวก็จะปกป้องพวกเขาให้ได้” เป่ยหมิงฉี่ยกล่าวด้วยเหตุผลที่ถูกต้องและคำพูดจริงจัง

หยุนถิงฟังแล้วยังอดที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจและตกตะลึงไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเป่ยหมิงฉี่ยังมีประสบการณ์เช่นนี้อยู่

“ซื่อจื่อ เป่ยจิ่วฉิงสมควรตายจริงๆ แต่ว่าชาวบ้านก็ไม่มีความผิดจริงๆเช่นกัน ข้าคิดว่าถ้าหากพ่อแม่ของท่านที่อยู่บนสวรรค์ได้ล่วงรู้ก็คงไม่อยากเห็นท่านเข่นฆ่าชาวบ้านที่ไม่มีความผิดไม่เลือกหน้าเช่นกัน” หยุนถิงเอ่ยปาก

เป่ยหมิงฉี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าหยุนถิงจะช่วยตัวเอง

แต่แล้วก็ได้ยินหยุนถิงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ซื่อจื่อข้าไม่ได้ช่วยพูดแทนเป่ยหมิงฉี่ เพียงแต่ว่าชาวบ้านไม่มีกำลังความสามารถ พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในตอนนั้น ดังนั้นปล่อยพวกเขาไปเถอะ

มุมปากของเป่ยหมิงฉี่กระตุกขึ้นมา หยุนถิงผู้นี้ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ

ใบหน้าหล่อเหลาของจวินหย่วนโยวเย็นยะเยือก ดวงตาดุจหินออบซิเดียนกวาดไปทางเป่ยหมิงฉี่ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม สายตาแน่วแน่ ไม่หลบหลีก ไม่เกรงกลัว กลับทำให้จวินหย่วนโยวเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อเขา

“ให้เวลาเจ้าห้าวัน!”

“ขอบคุณมาก ข้าขอบคุณเจ้าแทนชาวบ้านแคว้นเป่ยลี่ด้วย” เป่ยหมิงฉี่ลุกขึ้นก็จากไป

“ซื่อจื่อ เวลาห้าวันมันจะสั้นไปหน่อยไหม?” หยุนถิงถาม

“หากห้าวันยังไม่พอ เขาก็ไม่คู่ควรจะเป็นไท่จื่อของแคว้นเป่ยลี่แล้ว” จวินหย่วนโยวกล่าวอย่างแข็งกร้าว

หยุนถิงไม่ได้พูดอะไรอีก จูงมือของจวินหย่วนโยว “ซื่อจื่อ อากาศแห้งแล้ง เราไปดื่มน้ำแกงหวานกันหน่อยไหม?”

“ตกลง ข้าพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง” จวินหย่วนโยวกล่าวพร้อมกับจูงมือของหยุนถิงออกไปขึ้นรถม้า

ไม่นานนัก รถม้าก็หยุดอยู่ที่ร้านสุราแห่งหนึ่ง จวินหย่วนโยวพาหยุนถิงเดินเข้าไปอย่างชำนาญลู่ทาง

ผู้หญิงในวัยสาวคนหนึ่งเดินออกมา โครงหน้างดงามน่าทึ่ง เย้ายวนมีเสน่ห์ เดินมาทางจวินหย่วนโยว “ซื่อจื่อ ท่านไม่มาเยี่ยมข้าสักพักหนึ่งแล้ว ข้าคิดถึงท่านจังเลย”

น้ำเสียงออดอ้อนอย่างยิ่ง คนทั้งคนเอนกายมาบนร่างกายของจวินหย่วนโยว

สีหน้าของหยุนถิงเคร่งขรึมลงมาทันที ยังไม่ทันที่หญิงสาวคนนั้นจะได้เอนกายพิงจวินหย่วนโยว หยุนถิงก็ยื่นมือไปดึงหูของจวินหย่วนโยว “ซื่อจื่อ นางเป็นใคร?”