ตอนที่ 448

My Disciples Are All Villains

เพียงแค่ใช้พลังจากตอไม้เพียงตอเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หญิงชราคนหนึ่งทำให้หมิงซี่หยินทำอะไรไม่ถูก ตัวเขารู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก

‘สำนักเจินชางมียอดฝีมือแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’ จากที่เฟิงชิงเคยพูดเอาไว้ ดูเหมือนว่าหญิงชราคนนี้ก็คือไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ของเขา

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากภูเขาทองกว่า 100 ไมล์ มันเป็นระยะทางที่ถือว่าห่างกันไกลมาก พื้นที่โดยรอบเองก็เต็มไปด้วยต้นไม้ มันเป็นสถานที่ที่ถูกซ่อนเอาไว้ให้ลับตาคน นอกจากนี้ยังไม่มนุษย์คนไหนตั้งที่อยู่อาศัย และแถมยังไม่มีม่านพลังป้องกันอีกด้วย นับว่าที่แห่งนี้เป็นผืนป่าอันทุรกันดารก็ว่าได้ มีเพียงกระท่อมเก่าๆ และตอนไม้เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าหญิงชราคนนี้อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว

“ผู้อาวุโส…ข้าไม่กล้าที่จะหลอกท่านหรอกนะ อาจารย์ของข้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้วจริงๆ” หมิงซี่หยินยังคงยืนกราน

“เจ้ายังจะกล้าโกหกอยู่อีกงั้นเหรอ?” ตอไม้ด้านหน้าของหญิงชราเริ่มลอยขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง มันได้ปล่อยตัวอักษรออกมาก่อนที่จะพุ่งเข้าหาหมิงซี่หยินในทันที

หมิงซี่หยินรีบกระโดดขึ้น ตัวเขาเรียกอาวุธระดับสรวงสวรรค์ประจำตัวออกมา

ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!

หมิงซี่หยินรีบเหวี่ยงอาวุธอยู่หลายครั้งเพื่อที่จะตัดตอไม้ออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อลวดลายพลังที่อยู่บนตอไม้เสียหาย พวกมันก็สูญเสียพลังไป หญิงชราจับจ้องไปที่อาวุธในมือของหมิงซี่หยินอย่างไม่ละสายตา “นั่นมันอาวุธระดับสรวงสวรรค์ เคียวพื้นพิภพอย่างงั้นสินะ?”

หมิงซี่หยินร่อนลงสู่พื้น ตัวเขามองไปที่หญิงชราก่อนที่จะถามออกมา “ผู้อาวุโสจำของสิ่งนี้ได้อย่างงั้นเหรอ?”

“เจ้าเป็นศิษย์ของเขาจริงสินะ”

“…” ในตอนแรกไม่ว่าหมิงซี่หยินจะพยายามพูดยังไงแต่ผู้อาวุโสคนนี้ก็ไม่คิดที่จะเชื่อเขาเลย แต่ในตอนนี้ ในตอนที่หญิงชรามองเห็นอาวุธประจำตัวของเขานางกลับเชื่อในสิ่งที่หมิงซี่หยินพูด

เป็นไปตามที่หมิงซี่หยินคาดการณ์เอาไว้ ผู้ฝึกยุทธมากประสบการณ์เป็นธรรมดาที่จะไม่ถูกหลอกได้ง่ายๆ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะพยายามแสดงละครต่อหน้ายอดฝีมือ บางทีถ้าหากหมิงซี่หยินพูดความจริงทั้งหมด ผู้อาวุโสคนนี้อาจจะให้ความช่วยเหลือตัวเขาเพราะเห็นแก่หน้าผู้เป็นอาจารย์ก็เป็นได้

“ผู้อาวุโส ท่านจะให้ข้าเรียกท่านว่าอะไรดี?”

“ข้าได้ออกจากโลกของผู้ฝึกยุทธมาแล้ว ข้าน่ะจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีก ข้าตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้ข้าจะปิดหุบเขาและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของโลกภายนอกอีกต่อไป” หญิงชราตอบกลับมา

“…” หมิงซี่หยินรู้ดีว่าพลังวรยุทธที่หญิงชราคนนี้มีมันลึกล้ำกว่าตัวเขามาก แต่ด้วยความรู้ที่ไม่มากพอของคนรุ่นหลังอย่างเขา เป็นธรรมดาที่หมิงซี่หยินจะไม่รู้จักนาง

“ผู้อาวุโส ยังไงซะข้าก็คงจะหลีกหนีความจริงไม่ได้ ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้าท่านก็ลองมองด้วยตาตัวเองเถอะ ศพของเฟิงชิงอยู่ที่นั่น” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาในขณะที่ชี้ไปยังด้านนอก “เฟิงชิงโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยร่วมมือกับอีกหกสำนักใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วท่านอาจารย์ของข้าจึงตอบโต้พวกเขาด้วยความโกรธไป”

หญิงชรามองมาที่หมิงซี่หยิน “เขายังไม่ถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่อีกอย่างงั้นเหรอ?”

“ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรงดี”

“นำทางข้าไปที”

ทั้งสองคนเดินตรงไปยังสถานที่ที่หมิงซี่หยินใช้ต่อสู้ มันเป็นทางเดินที่ทอดยาวไป หมิงซี่หยินไม่กล้าที่จะเร่งรีบให้หญิงชราคนนี้เดินให้เร็วขึ้น ตัวเขาเลือกที่จะเดินตามนางไปอย่างเชื่อฟังจากทางด้านหลัง ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่เคยใช้ต่อสู้

เมื่อหญิงชรามองเห็นศพของเฟิงชิงนางก็หยุดเดินก่อนที่จะถอนหายใจออกมา หญิงชรายืดตัวตรงก่อนที่จะพูดขึ้น “มานี่”

“ผู้อาวุโสกำลังพูดกับข้าอย่างงั้นเหรอ?”

“คิดว่าข้าคุยกับผีได้เหรอไงกัน?”

“อืม…” หมิงซี่หยินเดินไปหาอย่างเชื่อฟัง ‘ถ้าหากท่านพูดกับวิญญาณเฟิงชิงไม่ได้ ท่านก็คงจะตำหนิสิ่งที่ข้าทำไม่ได้หรอก’

“อวตารสี่กลับอย่างงั้นเหรอ?”

“คราวนี้ท่านก็เห็นความจริงแล้วสินะ? ท่านมองข้าผิดไป ด้วยพลังวรยุทธของข้า ข้าจะไปจัดการเฟิงชิงที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบได้ยังไงกัน?” หมิงซี่หยินพูดเสริม

หญิงชราที่ได้ฟังแบบนั้นกำลังใช้ความคิด หมิงซี่หยินที่มีพลังอวตารดอกบัวสี่กลับคงจะไม่สามารถเอาชนะช่องว่างความต่างระหว่างพลังที่มีต่อเฟิงชิงได้ นอกจากนี้เฟิงชิงยังเผาผลาญจุดพลังลมปราณของตัวเอง หมิงซี่หยินไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลับซะด้วยซ้ำไป เป็นไปไม่ได้เลยที่เฟิงชิงจะเผาผลาญพลังลมปราณเพื่อต่อสู้กับหมิงซี่หยินจนพ่ายแพ้ไปแบบนี้ได้

“ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องที่อยากจะพูด แต่ข้าไม่แน่ใจว่าควรจะพูดออกมาหรือไม่” หมิงซี่หยินตัดสินใจไม่ถูก

“อะไรกัน?”

“เรื่องที่ข้าเคยบอกไว้ เฟิงชิงที่กำลังร่วมมือกับหกสำนักใหญ่เพื่อโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้า เพื่อยืนยันความจริงข้าจะบอกข้อมูลให้กับท่านได้ฟัง เฟิงชิงที่พ่ายแพ้ให้กับอาจารย์ข้าพยายามหนีมายังที่แห่งนี้ ตัวเขาพยายามที่จะล่อให้อาจารย์ของข้าตามมาด้วย เฟิงชิงที่มีเจตนาร้ายเช่นนั้นท่านยังคิดที่จะช่วยเขาอยู่อีกอย่างงั้นเหรอไงกัน?”

หญิงชราขมวดคิ้ว ‘เจ้าหนุ่มคนนี้พูดมีเหตุผล’

“ข้าจะยอมฟังเจ้า แต่ตอนนี้…ถ้าหากเจ้าพูดถึงเรื่องพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอีกข้าจะฆ่าเจ้า” หญิงชราตอบกลับมา

“…” หัวใจของหมิงซี่หยินเต้นไม่เป็นจังหวะ ‘ช่างเป็นหญิงชราที่เอาแต่ใจจริงๆ’ แต่ยังไงซะการที่จะไม่มีใครเชื่อว่ามีคนฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตัวเองหมิงซี่หยินก็ไม่คิดที่จะเชื่อ ไม่แปลกเลยที่หญิงชราจะไม่เชื่อตัวเขา

“ขอขอบคุณผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าไปได้รึยัง?” หมิงซี่หยินถามออกมา ในตอนนี้ตัวเขาเตรียมตัวที่จะจากไป หมิงซี่หยินรู้ดีว่ายิ่งตัวเขาพูดมากเท่าไหร่ ตัวเขาก็ยิ่งมีความผิดมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดแน่ถ้าหากจะอยู่ที่นี่ให้นานเกินความจำเป็น หมิงซี่หยินเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับชีวิตมากกว่าสิ่งอื่นใด

“ชาก่อน”

“…” หมิงซี่หยินหันกลับมา

หญิงชราพูดต่อ “ข้าได้ให้สัญญากับเฟิงชิงเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเฟิงชิงจะทำผิดไปมากแค่ไหน แต่การที่ข้ากลับคำพูดของตัวเองก็คงจะเป็นสิ่งที่ผิด อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อไปหาอาจารย์ของเจ้าเอง…เมื่อมาลองคิดดูให้ดีข้าก็ไม่ได้เจอเขานานแล้วเหมือนกัน ข้าอยากที่จะสะสางเรื่องราวทุกอย่างก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะถูกฝัง”

‘สะสาง? สะสางอะไรกัน?’ หมิงซี่หยินได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ภายในใจ ตัวเขาได้ยิ้มก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าจะส่งข้อความท่านไปให้ถึงอาจารย์ของข้าแน่นอน” หลังจากพูดเสร็จหมิงซี่หยินก็จ้องมองไปที่ศพของเฟิงชิงเป็นครั้งสุดท้าย ในตอนแรกหมิงซี่หยินต้องการที่จะถอดเสื้ออันล้ำค่าที่เฟิงชิงสวมใส่อยู่ แต่ทางที่ดีตัวเขาควรที่จะปล่อยมันไว้จะดีกว่า เสื้อของเฟิงชิงตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือด หมิงซี่หยินไม่อยากที่จะเอาตัวเองไปสวมใส่ของแบบนี้ หมิงซี่หยินเลือกที่จะหายตัวไปอย่างรวดเร็วแทน

หญิงชรามองไปทางป่า นางส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “ช่างเป็นอะไรที่เสียเปล่าจริงๆ ที่เจ้าเลือกศิษย์ที่ขี้ขลาดแบบนี้”

ม่านพลังของภูเขาทองสว่างไสวขึ้น มันส่องสว่างมากจนแม้แต่ชาวเมืองถังซีก็ยังสังเกตเห็น หลังจากที่สว่างได้ไม่นานแสงของม่านพลังก็เริ่มจางลง

ลู่โจวเริ่มหยุดส่งพลังลมปราณของตัวเขาเข้าไปยังม่านพลัง มันกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ม่านพลังดูกลมกลืนไปกับท้องฟ้าอันโปร่งใส บางครั้งม่านพลังก็ส่องแสงประกายออกมาเป็นครั้งคราว

ลู่โจวได้รับการแจ้งเตือน มันเป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับระยะเวลาในการใช้พลังสุดยอดจะหมดลง ตัวเขารู้สึกว่าพลังที่เพิ่มขึ้นกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าพลังอันมหาศาลก็หายไปอย่างสมบูรณ์แบบ พลังวรยุทธของตัวเขากลับไปที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยพลังเป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก ลู่โจวรู้สึกเสียใจเมื่อต้องเห็นช่วงเวลานี้จบลง

ลู่โจวค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ตัวเขาลอยลงมาจากด้านบนศาลาปีศาจลอยฟ้า

“ท่านอาจารย์!” สีวู่หยารีบวิ่งไปหาลู่โจวก่อนที่จะคุกเข่าลงบนพื้น สีวู่หยาตัวสั่นเล็กน้อย ที่ลำตัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกโชก ดูเหมือนว่าสีวู่หยากำลังหวาดกลัว หน้าผากของเขายังแตะอยู่ที่พื้น สีวู่หยากลัวเกินกว่าจะกล้าสบตาผู้เป็นอาจารย์คนนี้

ลู่โจวได้ถามออกมาด้วยเสียงอันนุ่มลึก “ใครอนุญาตให้เจ้าออกมาจากถ้ำแห่งเงาสะท้อนกัน?”

“ข้าผิดไปแล้ว ม่านพลังของถ้ำแห่งเงาสะท้อนได้หายไป ข้าก็แค่คิดอยากจะช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เท่านั้น ข้าไม่ได้คิดที่จะหนีแม้แต่น้อย! ท่านอาจารย์เชื่อข้าเถอะ” สีวู่หยายังคงหมอบอยู่บนพื้น

“ช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ด้วยพลังวรยุทธของเจ้านั่นน่ะหรอ?”

“ข้า…”

“เจ้าคิดว่าเจ็ดสำนักใหญ่จะบุกศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ถ้าหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเจ้าอย่างงั้นสินะ?”

สีวู่หยาพูดไม่ออก สุดท้ายผู้ที่มีพลังเท่านั้นที่อยู่เหนือทุกสิ่ง เจ็ดสำนักใหญ่พร้อมใจกันทุ่มทุกอย่าง แม้ว่าจะมีลิ้นทองแต่สีวู่หยาจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้เจ็ดสำนักใหญ่หยุดโจมตีได้จริงอย่างงั้นเหรอ? หลังจากที่ได้เห็นสนามการต่อสู้ สีวู่หยาก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว เจ็ดสำนักใหญ่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลับ แล้วพวกเขาทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสีวู่หยาได้ยังไงกัน?

ในขณะนั้นเองเล้งลั่ว, ฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิงและสาวกคนอื่นๆ ต่างก็กลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกคนได้กลับมายังห้องโถงใหญ่ เมื่อพวกเขากลับมา ทุกคนก็ได้เห็นลู่โจวยืนอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนต่างก็โค้งคำนับให้

“ท่านปรมาจารย์”

“ท่านอาจารย์!”

“ท่านอาจารย์…เอ๋?!” ก่อนที่ซู่ฮ่องกงจะได้พูดประจบอะไร ต้วนมู่เฉิงก็เอามือพาดไหล่ของเขาไว้แล้ว

ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ต้วนมู่เฉิงห้ามปรามซู่ฮ่องกงเอาไว้ได้ทัน มันควรจะมีใครสักคนที่หยุดซู่ฮ่องกงมานานแล้ว

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “จับเจ้านั่นไว้ซะ”

“ครับ”

สีวู่หยาได้ทำความเคารพให้ก่อนที่จะยอมกลับไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนแต่โดยดี

ลู่โจวมองขึ้นยังดวงจันทร์ ในตอนแรกตัวเขามีอะไรหลายอย่างอยากที่จะมอบหมายให้กับทุกคนได้ทำ แต่ในตอนนี้มันก็สายไปมากแล้ว “วันนี้พอได้แล้วล่ะ”

“ท่านอาจารย์พักผ่อนด้วย”

ลู่โจวสะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะกลับไปยังศาลาทางตะวันออก

ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวในขณะที่ลู่โจวเดินจากไป ทุกคนต่างก็โค้งคำนับให้พร้อมกับกลั้นหายใจเอาไว้ แม้แต่เล้งลั่วและฮั๊ววู่เด๋าเองก็เช่นกัน ต่อหน้าผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ไร้พลัง