บทที่ 348 ความจริง (2)
เว่ยกงกงได้ยินเสียงโครมคราม แม้แต่รองเท้ายังไม่ทันได้ใส่ก็ถึงตะเกียงน้ำมันวิ่งเข้าไปแล้วร้องถาม “ฝ่าบาท!”
เขาเห็นฮ่องเต้ใบหน้าขาวซีด เหงื่อเย็นผุดซึมไปทั่วร่าง แม้แต่ตัวเขาก็อดตกใจไม่ได้ “ฝ่าบาทฝันร้ายอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เรา…เรา…” ฮ่องเต้กุมอก ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ความฝันเมื่อครู่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ความรู้สึกเหมือนตกลงเหวลึกนั้นทรมานยิ่งกว่าถูกมีดทิ่มแทงนับหมื่นเท่า
แค่ฝันร้ายเท่านั้น เขาเป็นถึงประมุขแห่งแผ่นดิน ไม่ใช่โจรกระจอกขี้ขลาด เหตุใดถึงได้ตื่นกลัวถึงเพียงนี้
แม้แต่เขาเองยังดูแคลนตัวเอง
“ฝ่าบาท ดื่มชาสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงวางตะเกียงน้ำมันลง แล้วรินน้ำชามาปลอบขวัญ
ฮ่องเต้กระดกพรวดเดียวหมด แต่จิตใจกลับไม่สงบลงแม้แต่นิด
“เรานอนไม่หลับ จะไปอ่านฎีกาต่อ”
เว่ยกงกงเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทำได้เพียงหอบฎีกาจากห้องทรงอักษรมาให้
ทว่าฮ่องเต้นั้นจิตใจยังคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวราวกับหนอนชอนไชกระดูก ไม่อาจสลัดทิ้งไปจากตัวเขาได้
ฮ่องเต้จิตใจว้าวุ่นจนวางต้องวางฎีกาลง “เราจะออกไปเดินเล่น ไม่ต้องให้พวกเขาตามมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยกงกงถือโคมแล้วเดินออกไปจากตำหนักหวาชิงพร้อมกับฮ่องเต้
ฮ่องเต้เดินไปอย่างไร้จุดหมาย
ไม่ทันได้รู้ตัวก็เดินมาถึงตำหนักคุนหนิงแล้ว
เว่ยกงกงกระซิบถาม “ฝ่าบาท พระองค์อยากไปหาฮองเฮาหรือไม่ กระหม่อมจะได้ไปส่งข่าว”
ฮ่องเต้มองดูประตูตำหนักที่ปิดสนิท พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก ดึกมาแล้ว อย่าได้รบกวนเสด็จแม่”
เว่ยกงกงชะงักไป
เสด็จแม่อย่างนั้นรึ
เซียวฮองเฮาไม่ใช่หรือที่ประทับอยู่ที่นี่
จวงไทเฮาก็ย้ายไปอยู่ตำหนักเหรินโซ่วตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นแล้ว
เว่ยกงกงมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้ามึนงง จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ได้สติกลับมา ก่อนจะมองเขาอย่างสงสัย “เมื่อครู่เราพูดอะไรไปหรือ”
เว่ยกงกงชะงักไปพลางเอ่ย “เอ่อ ไม่…ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทบอกว่าดึกมากแล้ว ไม่อยากรบกวนฮองฮา”
บางทีเขาอาจจะหูฝาดไป
ฝ่าบาทพูดว่าฮองเฮา ไม่ใช่เสด็จแม่
“ฮองเฮา…” ฮ่องเต้เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดเจ้าไม่เตือนเรา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว วังหลังได้โกลาหลกันหมดพอดี”
“…เอ่อ เป็น เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยกงกงรู้สึกผิดเหลือเกิน
ตั้งแต่พระองค์ออกจากตำหนักหวาชิงมาก็มุ่งตรงมาที่นี่แล้ว ผู้ใดจะห้ามได้กันเล่า
“กลับกันเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ฮ่องเต้นอนไม่หลับทั้งคืนเหมือนเช่นเคย ยามฟ้าสางก็เปลี่ยนอาภรณ์แล้วเสด็จไปประชุมเช้าตรงเวลา
เขาสะลึมสะลือ เกือบผล็อยหลับยามนั่งอยู่บนบัลลังก์
จวงไทเฮาเอ่ยด้วยเสียงทรงอำนาจ “มีเรื่องอันใดก็เสนอมา หากไม่มีก็เลิกประชุม!”
น้ำเสียงนั้นเดือดดาลเหลือหลาย สื่อว่าหากใครกล้าเสนอหน้าก็รอรับโทษได้เลย
ขุนนางบู๊บุ๋นต่างไม่มีเรื่องจะเสนอขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เว่ยกงกงกระแอมก่อนจะประกาศ “เลิกประชุม”
หลังออกมาจากตำหนักจินหลวน ไทเฮานั่งเกี้ยวหงส์ของตนเอง นางเหลือบมองฮ่องเต้ที่เสแสร้งแกล้งทำมาส่งนางที่ข้างเกี้ยว ก่อนจะเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ยังจับคนร้ายไม่ได้ ตัวเองอย่าชิงตายเสียก่อนล่ะ!”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียเย็น “เสด็จแม่มิต้องเป็นห่วงหรอก เราออกจะแข็งแรง!”
“มีคนมาพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงเอ่ยเตือน
ฮ่องเต้ปั้นหน้าส่งยิ้มให้ไทเฮา!
เมื่อกลับมาถึงตำหนักหวาชิง แม่นมไช่ก็เชิญเว่ยกงกงมาพบจิ้งไท่เฟยมายังหอชิวฮว๋า
จิ้งไทเฟยกำลังคัดพระไตรปิฎก พอเห็นเขาเข้ามาก็ส่งยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เมื่อคืนฝ่าบาทนอนหลับดีหรือไม่ ไม่ฝันแล้วใช่หรือไม่”
เว่ยกงกงสีหน้าลังเล
รอยยิ้มของจิ้งไท่เฟยค่อยๆ หายไป “เป็นอะไรไปหรือ ฝ่าบาทยังนอนไม่หลับเหมือนเดิมหรือ”
“นอนหลับพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…” เว่ยกงกงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เพียงแต่ฝันร้ายอีกแล้ว ทั้งยังเสียขวัญไม่น้อย”
พู่กันในมือของจิ้งไท่เฟยร่วงดังตุบ ปลายพู่กันตวัดเป็นวง กลิ้งไถลลงจากโต๊ะ บทสวดหน้าหนึ่งที่เพิ่งจะคัดเสร็จจึงเปรอะไปหมด
“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” นางร้องออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
เว่ยกงกงมองจิ้งไท่เฟยด้วยความสงสัย
แม่นมเว่ยคุกเข่าลงในทันใด เก็บพู่กันขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะดังเดิม ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหมึกบนพื้น พลางเอ่ย “หัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เช่นนี้แหละหนา ฮ่องเต้ร่างกายไม่แข็งแรง ไท่เฟยย่อมอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล ข้าเข้าใจหัวอกของไท่เฟยดี! แต่ไท่เฟยก็ต้องดูแลร่างกายของท่านด้วยนะเพคะ! หมอหลวงบอกว่าแผลของท่านยังไม่สมานดี! จะจิตใจเศร้าหมองอีกไม่ได้นะเพคะ!”
เว่ยกงกงหันไปมองจิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น นางขยำคัมภีร์บนโต๊ะ แรงนั้นมหาศาล บดบี้จนเล่มบทสวดกลายเป็นก้อน
เว่ยกงกงสีหน้าตื่นตระหนก
แม่นมไช่คว้าข้อมือจิ้งไท่เฟยเอาไว้ พลางจ้องมองนาง “จิ้งไท่เฟย ตั้งสติไว้เพคะ! ฝ่าบาทนั้นเหน็ดเหนื่อยเพราะราชการแผ่นดินแล้ว ท่านอย่าได้ทุกข์ใจจนป่วยกายไปอีกเลย”
ที่แท้เป็นเพราะเป็นห่วงฝ่าบาทหรอกหรือ เว่ยกงกงลอบทอดถอนใจ “ประเดี๋ยวข้าจะเรียกหมอหลวงมาตรวจจิ้งไท่เฟย”
แม่นมไช่เอ่ยขอบคุณ “รบกวนเว่ยกงกงด้วย!”
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างนอบน้อม “เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”
แม่นมไช่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปส่งเว่ยกงกงเอง”
เว่ยกงกงปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก แม่นมไช่ดูแลไท่เฟยเถิด”
แม่นไช่ดึงดันจะไปส่งหน้าประตูตำหนักให้ได้ ยิ้มส่งเว่ยกงกงจนหายลับไปสุดทางเดินก่อนรอยยิ้มนั้นจะเลือนหาย นางจึงกลับไปยังหอชิวฮว๋า
นางหันไปมองจิ้งไท่เฟยอย่างเป็นกังวล “ไท่เฟย!”
จิ้งไท่เฟยสะบัดแขนเสื้อกว้างอย่างสบายอารมณ์ “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
หมอหลวงไปยังห้องทรงอักษรเพื่อจับชีพจรให้ฮ่องเต้ บอกว่าฮ่องเต้วิตกกังวลเกินเหตุ เหนื่อยล้าสะสม เลือดลมไม่สมดุล จึงสั่งยาปรับธาตุและผ่อนคลายให้
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่สมอารมณ์นัก “สั่งยาอีกแล้ว เรากินมาไม่รู้กี่หน ก็ไม่เห็นจะได้ผลสักครา”
ลูกตาของเว่ยกงกงเลิ่กลั่ก “เช่นนั้น…ไปหาหมอเทวดาน้อยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงฮึดฮัด “เจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดหรือว่านับแต่นี้ไปนางจะไม่มารักษาที่ตำหนักฮว๋าชิงอีก”
เว่ยกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นางไม่มาหาพวกเรา พวกเราไปหานางก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ! หากท่านเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ไท่เฟยทรงเป็นห่วงท่านจะแย่อยู่แล้ว!”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายก็ใจอ่อน ทั้งเขาทั้งเว่ยกงกงเปลี่ยนชุดสำหรับออกไปข้างนอก แล้วนั่งรถม้าไปยังโรงหมอเมี่ยวโส่วถัง
ทว่าโรงหมอบอกว่านางไม่อยู่
หมอซ่งเคยเจอเว่ยกงกงมาก่อน รู้ว่าเจ้านายของเขาคือพ่อของฉิวฉู่อวี้ เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เขาประสานมือคำนับก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อม “แม่นางกู้ออกไปรักษาข้างนอกขอรับ”
“อีกนานเท่าใดถึงจะกลับ” เว่ยกงกงถาม
หมอซ่งตอบ “นางไม่ได้บอกไว้ขอรับ แต่ดูท่าทางแล้ววันนี้คงไม่กลับมาที่โรงหมอแล้ว ประเดี๋ยวนางต้องไปรับเสี่ยวจิ้งคงหลังเลิกเรียนอีก พวกท่านรู้ไม่ใช่หรือว่าเรือนของนางอยู่ที่ใด ไปหานางที่เรือนเลยน่าจะดีกว่า”
ด้วยเหตุนั้นสองนายบ่าวจึงไปยังตรอกปี้สุ่ย
กู้เจียวยังไม่กลับมา แม่เหยาเชิญทั้งสองเข้ามา
วันนี้สองสะใภ้ของยายเฒ่าโจว ท่านป้าหลิว และน้องสาวของนางมาเรียนเย็บปักถักร้อยกับแม่นางเหยา ภายในห้องจึงมีเต็มไปด้วยสตรี สายตาของท่านป้าหลิวเอาแต่จับจ้องไปที่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้รู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง!
แม่นางเหยาเม้มปากยิ้ม ก่อนจะพาฮ่องเต้ไปที่ห้องของหญิงชรา “ฝ่า…นายท่านนั่งรอในห้องนี้ก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวกู้เจียวก็กลับมาแล้ว”
“ขอบคุณฮูหยินกู้ยิ่งนัก” ฮ่องเต้เอ่ยขอบคุณอย่าอ่อนน้อม
ท่านป้าหลิววิ่งมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
ฮ่องเต้ตกใจพลันลงกลอนประตูในทันใด
ฮ่องเต้นั่งอยู่ในห้องคับแคบแถมอึดอัด นั่นเป็นเพราะทั้งประตูและหน้าต่างถูกปิดแน่น แสงภายในมืดสลัว ทว่ายิ่งมืดเท่าไร ประสามสัมผัสอื่นก็ไวขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เขาได้กลิ่นลมอุ่นๆ เจือจาง
ความทรงจำเมื่อนานมาแล้วผุดขึ้นมา
กู้เจียวรับเสี่ยวจิ้งคงกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินเสียงเว่ยกงกงเล่าเรื่องที่ฝ่าบาทนอนไม่หลับ นางเคาะประตูห้องของหญิงชรา เคาะอยู่นานสองนานก็ไม่มีเสียงตอบรับ
เว่ยกงกงตื่นตกใจ “คงไม่ได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝ่าบาทหรอกกระมัง!”
กู้เจียวชักกริชออกมา ก่อนจะงัดกลอนประตูจนเปิดออก
เว่ยกงกงรีบผลักประตูแล้ววิ่งเข้าไป “ฝ่าบาท! ฝ่า…”
เขาตาลายไปหมด
ฮ่องเต้ที่เอาแต่พร่ำบ่นว่านอนไม่หลับ บัดนี้นอนหงายอยู่บนเตียง น้ำลายไหลย้อย ส่งเสียงกรนดังครอกๆ!