บทที่ 436 เจ้าขายข้า!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 436 เจ้าขายข้า!

บทที่ 436 เจ้าขายข้า!

หลังจากที่เด็กสาวหูแหลมตกลงที่จะเป็นตัวแทน คนอื่น ๆ จึงแยกย้ายกันไป เหลือเพียงนางเท่านั้นในที่เกิดเหตุ

“หืม? เอ่อ?!”

ซูเซียงเสวี่ยถอนทักษะย่างก้าวภูตพรายออก เด็กสาวจึงฟื้นจากภวังค์ ก่อนจะชี้ไปที่ใบหน้าของตนเองพร้อมกับจับจ้องสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่าโดยรอบ

“บ้าจริง พวกเจ้ากล้าที่จะขายข้า!”

นางกำหมัดแน่นก่อนจะชูใส่ทิศทางที่คนหูแหลมคนอื่น ๆ พยายามหลบซ่อน

“นังตัวดี รอข้าก่อน!”

“จะขายหรือไม่ขายอะไรกัน”

ไป๋ชิวหรานเดินตรงเข้าไปพร้อมวางมือลงบนไหล่ของนาง

“สหายน้อย เจ้าสัญญาว่าจะพูดคุยกับพวกเราก่อน อย่าได้คิดหลบหนี”

ใบหูแหลมของเด็กสาวแข็งค้างในทันที

หลังจาก ‘พูดคุยกัน’ ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ จึงเข้าใจสถานการณ์ของโลกใบนี้

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนบนโลกวัตถุแห่งนี้มีเพียงสองชนิดเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง ‘อารยธรรม’ ได้ คนแรกก็คือสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับหญิงสาวหูแหลมเผ่าภูต และอีกหนึ่งคือผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุทางการบินของไป๋ชิวหราน กิ้งก่าที่ถูกสังหาร พวกมันเรียกตนเองว่า มังกร

ชาวเผ่าภูตสร้างเมืองงดงามขึ้นมากมายทั่วโลก ส่วนมังกรใช้ความแข็งแกร่งของมันเพื่อเจาะทะลุแนวเทือกเขา และสร้างเมืองหลวงของพวกมันเองไว้ด้วย

มังกรยักษ์นี้มีเชื้อสายที่หลากหลาย ประเภทของมันถูกแบ่งออกตามสีของเกล็ด อย่างเช่น มังกรขาวที่เพิ่งถูกไป๋ชิวหรานสังหารเมื่อครู่นั้นเรียกตนเองว่ามังกรศักดิ์สิทธิ์ และผู้ที่ตะโกนว่าหลัวซา ต้องการล้างแค้นให้กับเผ่าพันธุ์ตนเองนั้นคือเผ่ามังกรเพลิง

คล้ายกันกับเหล่ามังกร เผ่าภูตก็มีหลายประเภทเช่นกัน อย่างเด็กสาวผู้นี้นามว่าโส่วเฟ นางมีเชื้อสายเผ่าภูต ซึ่งก็จะแยกออกเป็นยิบย่อยอีกคือ ภูตเพลิง ภูตวารี และภูตสายลม ทั้งยังมีเผ่าภูตแห่งความมืดที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดด้วย

พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ภูตเหล่านี้จะเลือกนักปราชญ์ของกลุ่มขึ้นเอง และร่วมกันจัดตั้งการประชุมโดยให้นักปราชญ์เป็นผู้ดูแลปกครองกลุ่ม

และมังกรกับเผ่าภูตเป็นพันธมิตรกัน สิ่งที่ถูกเรียกขานว่าอสูรจากฟากฟ้ามักปรากฏตัวขึ้นบ่อยครั้ง พวกมันต้องการกลืนกินวิญญาณของเหล่าภูตและมังกร ทำให้ทั้งสองมีศัตรูร่วมกัน เช่นนี้จึงเกิดเป็นพันธสัญญาระหว่างสองเผ่าที่ไม่อาจแตกหักจากกันได้

นอกจากนี้… ภายในโลกใบนี้ เผ่าพันธุ์ทั้งสองยังเชื่อในตำนานเช่นกัน

“ว่ากันว่าในคราวแรกเริ่มของโลก บรรพบุรุษของภูตนั้นดื่มกินเพียงเลือด และมังกรเป็นเพียงกิ้งก่าตัวใหญ่ที่คล่องแคล่วเท่านั้น… เอ่อ โปรดเก็บประโยคนี้เป็นความลับ”

หลังจากพูดคุยกับไป๋ชิวหรานและทั้งสามคนสักระยะหนึ่ง จึงพบว่าทั้งสามไม่ใช่คนเลวร้าย โส่วเฟจึงผ่อนคลายมากขึ้นพร้อมกับเริ่มกล่าวคำอย่างเป็นธรรมชาติ

“ในเวลานั้น… อสูรจากฟากฟ้าจะมาเยือน เวลากลางคืน พวกมันจะรุกรานเผ่าของเรา ปล้นชิงวิญญาณผู้คนมากมายเพื่อกลืนกิน แล้วตอนนั้นอสูรออกอาละวาดหนักกว่าตอนนี้มาก… แต่จู่ ๆ วันหนึ่ง มีบุรุษและสตรีลงมาจากฟากฟ้า พวกเขาขับไล่อสูรที่บุกโจมตีพวกเราออกจากโลกนี้และผนึกมันไว้ด้านนอก จากนั้นจึงสอนให้เราและมังกรทราบถึงพลังของอักขระโบราณ นักบวชผู้นั้นมอบสติปัญญาและพละกำลังให้กับพวกเรา”

“มีความคล้ายคลึงกับตำนานของอารยธรรมมนุษย์งูมาก”

เจียงหลานกล่าวกับไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ย

“ดูสิ… มีวิหารที่ถูกสร้างให้กับเทพเจ้าแห่งอักขระโบราณทั้งสอง”

โส่วเฟชี้ไปยังสถานที่ระยะไกลพร้อมกล่าวขึ้น

ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ หันหน้าไปรับชมพร้อมกัน มันเป็นตัวอาคารสูงสามชั้น มีพื้นใหญ่กว่าบ้านเล็กน้อย ที่ประตูมีสัญลักษณ์วงกลมและไม้กางเขนจารึกเอาไว้

“สัญลักษณ์นี้คือสัญลักษณ์แห่งอักขระทองคำ”

เมื่อโส่วเฟมองเห็นสัญลักษณ์ นางก็กล่าวถึงมันด้วยสีหน้าเคารพ

“เทพแห่งยันต์สูงสุด”

ไป๋ชิวหรานจดสัญลักษณ์นั้นไว้ก่อนจะกล่าวกับโส่วเฟว่า

“เมื่อครู่ตอนที่พวกข้าร่วงลงมา พวกเราทำลายบ้านของเจ้างั้นหรือ?”

“เอ่อ…”

โส่วเฟพยักหน้าอย่างลังเล

นางกล่าวในใจว่า… ตอนนี้อีกฝ่ายถึงกับกล้าสังหารมังกรศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่ในตระกูลของนาง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับไป๋ชิวหรานเวลานี้ นางกลับไม่กล้าพูดคำใด

“ข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมบ้าน”

ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว

“แล้วนำมังกรโชคร้ายตัวนั้นกลับมาด้วย”

“ได้ด้วยหรือ?”

โส่วเฟถามด้วยความประหลาดใจ หลังจากตกตะลึงชั่วครู่จึงกล่าวต่อ

“ไม่สิ! ข้าหมายถึงว่า ยังสามารถช่วยชีวิตมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่หรือ?”

“ไม่ใช่… บ้านน่ะซ่อมได้ แต่กิ้งก่าตัวนั้นตายสนิทแล้ว”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอธิบาย

“แต่จิตวิญญาณของมันอยู่ที่นั่น ข้าสามารถทำให้มันเข้าสู่สังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิด และกลับมาในรูปแบบของไข่มังกรได้ แล้วเมื่อถึงวันฟักไข่ มันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

“สังสารวัฏการกลับชาติมาเกิด?”

โส่วเฟอุทานอย่างสับสน

เจียงหลานอธิบายให้นางฟังเล็กน้อย หลังจากได้ยินข้อมูลแล้ว ภูตสาวจึงร้องออกมา

“โอ้! นั่นไม่เหมือนกับการฟื้นคืนชีพหรือ?”

“ไม่เหมือนกันหรอก”

เจียงหลานส่ายศีรษะก่อนจะอธิบาย

“เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว แล้วเกิดเพื่อมีชีวิตใหม่”

“มันต่างกันอย่างไร…”

โส่วเฟอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะถาม

“เดี๋ยวก่อน! แล้วเหตุใดพวกท่านสามารถทำในสิ่งที่มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ทำได้?”

ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ไม่ตอบคำถามของเด็กสาว แต่เดินไปที่หลุมลึก มังกรเพลิงยังคงนอนสลบอยู่ก้นหลุม ไป๋ชิวหรานคว้าหางของมันและเขวี้ยงทิ้งไปด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นเริ่มใช้การย้อนเวลาบนพื้นที่แห่งนี้

แววตาของโส่วเฟเผยความประหลาดใจออกมา ทุกสิ่งย้อนคืนกลับอย่างรวดเร็ว! และเรือเหาะก่อนหน้าก็กลับมาในจังหวะที่มันลุกโชนด้วยเพลิงทั่วทั้งลำ หลุมลึกตรงหน้ากลับกลายเป็นอาคารสีขาวสองชั้นงดงามสะอาดตา

ซากศพของมังกรยักษ์ศักดิ์สิทธิ์กลับมางดงามดังเดิม แต่มันยังคงไม่เคลื่อนไหวเพราะวิญญาณนั้นอยู่ในมือของไป๋ชิวหราน และชีวิตของมันไม่อาจย้อนกลับคืนได้…

เจียงหลานเปิดใช้งานทักษะเพื่อเรียกสายธารแห่งความว่างเปล่าเพื่อส่งเรือเกาะออกไป ในขณะที่ไป๋ชิวหรานดึงเอาวิญญาณของมังกรศักดิ์สิทธิ์ออกมา และเปิดใช้พลังเวทสังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิด

ก่อนจะวางร่างกายและจิตวิญญาณของมังกรศักดิ์สิทธิ์ลงไป มันกลายเป็นไข่ขนาดใหญ่ ความสูงประมาณเอวของมนุษย์ ซึ่งถูกวางลงบนพื้น

“เอาล่ะ… เท่านี้ข้าก็ไม่ติดค้างอะไรกับเจ้าแล้ว”

หลังจากทำท่าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่ไม่มีอยู่จริง ไป๋ชิวหรานก็กล่าวกับโส่วเฟ

“อ้อ สหายน้อย เจ้า…”

เขากำลังจะขอให้โส่วเฟพาพวกเขาไปที่วิหารเทพแห่งยันต์ แต่ทันทีที่เขาเปิดปาก ก็เห็นบางสิ่งปรากฏขึ้นจากทิศทางหนึ่ง

เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยมองออกไปในทิศทางนั้นเช่นกัน

“ออกมา! แม้จะซ่อนศีรษะแต่กลับเปิดเผยหาง ข้าเห็นเจ้าแล้ว”

ไป๋ชิวหรานตะโกน

“ในเมื่อเจ้าไม่สามารถสังหารผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ เหตุใดจึงยังคิดเล่นซ่อนหาอยู่?”

“น่าประหลาดใจจริง ๆ”

ทันใดนั้น ต้นไม้ในป่าต้นหนึ่งพลันบิดเบี้ยว ภูตตัวสูงผมสีทองสวมชุดคลุมสีขาวถือไม้เท้าข้างกายค่อย ๆ เดินออกมาจากลำแสงก่อนหน้านี้

“ท่านมหาปราชญ์?!”

เมื่อเห็นภูตผมทองผู้นี้ โส่วเฟพลันตะโกนออกด้วยความตื่นตระหนก