การเป็นตัวแทนบวงสรวงสำเร็จด้วยดี ผู้ที่เข้าร่วมพิธีบวงสรวงล้วนกล่าวว่าไท่จงสุขุมสง่างาม
เดือนหกคืนวันที่สิบห้า ฉางอันโกลาหล ผู้คนกล่าวว่ามีการวางแผนก่อกบฏ ไท่จงสวมเกราะถือกระบี่ อำนาจสะท้านนคร
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
เดือนหกวันที่สิบสี่ ค่ำคืนเงียบสงัด ในห้องลับของจวนที่ซ่อนอยู่ในฉางอันหลังหนึ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหารือกันอย่างลับๆ บุรุษผู้นั้นสวมชุดพรางตัวสีดำกับเสื้อคลุมกันลมสีดำ หน้าตาถูกซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้าโปร่งของหมวกปีกกว้าง สตรีผู้นั้นหน้าตาธรรมดา แต่ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณกระบี่ นางก็คือเหวินจื่อเยียนนั่นเอง ทั้งสองคนประจันหน้ากันใต้แสงโคมสีเหลืองสลัว เงียบงันอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยปากว่า “โปรดรายงานเจ้าสำนัก ครั้งนี้พวกเรามิอาจลงมือ ยามนี้พูดถึงกำลังภายในเมืองหลวง ฝ่ายเรากับยงอ๋องต่างฝ่ายมีอยู่ครึ่งต่อครึ่ง กองทหารของฉีอ๋องก็มีเพียงเขากับตราทหารของเขาเท่านั้นที่สั่งเคลื่อนพลได้ ครั้งนี้เขาไม่มีทางเข้าร่วมการชิงบัลลังก์ อีกประการหนึ่ง รัชทายาทก็ยังมีโอกาส หากพวกเรารีบร้อนลงมือกลับจะติดกับดัก”
เหวินจื่อเยียนถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าสำนักก็คิดเช่นนี้ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าหากไม่ฉวยโอกาสังหารหนามที่ตำตาอยู่สักสองสามชิ้น คงยอมไม่ได้จริงๆ”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “พวกเราจะสังหารผู้ใดได้เล่า ข้างกายยงอ๋องมีเงามารหลี่ซุ่นอยู่ หากเจ้าสำนักมิลงมือเอง ผู้ใดจะลงมือสำเร็จ ข้างกายเจียงเจ๋อก็มีปรมาจารย์ซือเจิน ผู้อื่นสังหารไปจะมีประโยชน์อันใด จะกลายเป็นข้ออ้างให้พวกเขาตอบโต้กลับเสียเปล่า หรือว่าจะไปสังหารองค์หญิงฉางเล่อที่บำเพ็ญตนอยู่ที่วัดอู๋เฉินเล่า”
เหวินจื่อเยียนยิ้มละไมเอ่ยว่า “พวกข้าย่อมมิกล้าสังหารองค์หญิง แต่หากเป็นเยี่ยเทียนซิ่วเป็นเช่นไร ตอนนี้เขาอยู่ที่ฉางอัน พวกเรามิสู้ฉวยโอกาสสังหารเขาตัดปีกของชิ่งอ๋องเสีย”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ความคิดนี้ก็ไม่เลว ทว่าถึงอย่างไรเยี่ยเทียนซิ่วก็อยู่ในเมืองหลวงอย่างถูกต้องชอบธรรม ฐานะหัวหน้าองครักษ์ของชิ่งอ๋องก็มิใช่ธรรมดา หากพวกเราจะสังหารเขาต้องลอบลงมือในที่มืด มิเช่นนั้นก็ต้องยืมดาบสังหารคน”
เหวินจื่อเยียนสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “สังหารเยี่ยเทียนซิ่วคนเดียวง่ายดุจพลิกฝ่ามือ หากมิใช่ว่าไม่อยากให้ชิ่งอ๋องพิโรธ ข้าก็ลงมือนานแล้ว ยามนี้หากพวกเราฉวยโอกาสสถานการณ์ชุลมุนสังหารเขา ต่อให้ชิ่งอ๋องอยากถามหาคนผิดก็หามิพบ”
บุรุษผู้นั้นขยับยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราอย่าลงมือเลย ให้เซี่ยโหวไปจัดการเถิด เขาเองก็เป็นศิษย์นิกายจันทราของพรรคมาร เจ้าอย่าเห็นว่าฉากหน้าวรยุทธ์ของเขาใช้ลูกเล่นมากเกินไป แต่เขามิใช่คนธรรมดาเช่นนั้น”
เหวินจื่อเยียนยิ้มตอบว่า “ดี ทำตามที่ท่านว่า อาจารย์มักกล่าวว่าท่านเป็นผู้ช่วยคนเก่งของนาง มิผิดจากที่กล่าวเลยจริงๆ”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เป็นผู้ช่วยคนเก่งแล้วเช่นไร มิใช่ทำได้เพียงฟังคำสั่งผู้อื่น”
เหวินจื่อเยียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านวางใจเถิด หลังจบเรื่อง ท่านจะพอใจกับการจัดการของเจ้าสำนักแน่นอน”
บุรุษผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าต้องไปแล้ว สายแล้ว”
เหวินจื่อเยียนผงกศีรษะเล็กน้อยตอบ “เดินทางระวังด้วย”
บุรุษผู้นั้นออกจากห้องลับ ร่างกายว่องไวดุจห่านโผบิน พริบตาเดียวก็หายลับไปในราตรี พร้อมกับที่การเข่นฆ่าอันนองเลือดครั้งหนึ่งกำลังจะเปิดฉากขึ้น
เดือนหกวันที่สิบห้า ยงอ๋องหลี่จื้อร่วมพิธีบวงสรวงที่นครฉางอันแทนรัชทายาท หลังหลี่จื้อประกอบพิธีบวงสรวงเสร็จสมบูรณ์ด้วยความรอบคอบ จนแม้แต่มหาบัณฑิตผู้จู้จี้ที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจชื่นชม ยงอ๋องก็ได้อาศัยพิธีบวงสรวงในครั้งนี้กลับเข้ามายังใจกลางอำนาจของราชสำนักต้ายง เรื่องนี้ทำให้คนมากมายชิงชังยิ่งนัก แต่ก็มีผู้ที่ตื่นเต้นยินดี เยี่ยเทียนซิ่วก็เป็นผู้หนึ่งในนั้น ในฐานะหัวหน้าองครักษ์ของชิ่งอ๋อง เขารู้ความแค้นที่ชิ่งอ๋องมีต่อสำนักเฟิงอี้กระจ่างแจ้ง และเขาก็เข้าใจดีว่าชิ่งอ๋องมิมีโอกาสชนะแต่อย่างใด หนทางเดียวที่มีคือพึ่งพาอำนาจอันแข็งแกร่ง ทว่าจวบจนวันนี้ เยี่ยเทียนซิ่วเพิ่งยอมรับว่ามีเพียงยงอ๋องเท่านั้นที่คู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิอย่างเต็มหัวใจ
เยี่ยเทียนซิ่วมองรถม้าของยงอ๋องแล่นจากไปไกลไม่วางตา แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจกลับที่พัก หลายวันนี้เจียงโหวส่งสารไปหาชิ่งอ๋องแล้ว พอควบคุมพิษของท่านโหวน้อยได้ชั่วคราว ท่านโหวจึงหวังว่าจะส่งท่านโหวน้อยมายังฉางอันให้ได้เร็วที่สุด ทว่าตอนนี้สถานการณ์ในฉางอันวุ่นวายซับซ้อนเช่นนี้ อำนาจของเจียงโหวยากจะปกป้องความปลอดภัยของบุตรรักจึงหันไปพึ่งพาชิ่งอ๋อง แต่ชิ่งอ๋องก็ลำบากเช่นกัน ด้วยอำนาจของชิ่งอ๋องในฉางอันไม่มั่นคงนัก แม้สำนักเฟิงอี้มิอาจจัดการคนของชิ่งอ๋องในที่แจ้งได้ แต่นั่นมิใช่เพราะพวกเขาทำไม่ได้ แต่เพราะพวกนางไม่ยินดีจะสร้างข้ออ้างให้ชิ่งอ๋อง หากท่านโหวน้อยมาถึงฉางอันแล้วถูกพวกนางพบร่องรอยเข้า พวกนางย่อมกวาดล้างพวกตนได้อย่างสง่าผ่าเผย ถึงเวลามิเพียงสิ่งที่ชิ่งอ๋องตรากตรำทำมาจะมลายหายสิ้น ท่านโหวน้อยเจียงก็คงถูกกักตัวอยู่ที่ฉางอันด้วย
เมื่อกลับไปถึงฐานลับในฉางอันของชิ่งอ๋อง ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เยี่ยเทียนซิ่วสั่งลูกน้องทั้งหลายให้เฝ้ายามกลางคืนอย่างระมัดระวังแล้วจึงไปห้องหนังสือเขียนสารถึงชิ่งอ๋อง แจ้งความเห็นของตนเอง หลังจากเขียนเสร็จยังไม่ถึงยามหนึ่ง เยี่ยเทียนซิ่วรู้สึกกลัดกลุ้มยากจะนอนหลับจึงนั่งอ่านข่าวระยะนี้อยู่ในห้องหนังสือ
ในตอนนี้เอง คนลึกลับผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ในตรอกไม่ไกลกำลังมองมาที่นี่อย่างเฉยชา บนร่างเขาสวมเสื้อตัวยาวสีเทาดำตัวหนึ่ง ตรงเอวผูกไว้แน่น เรือนร่างสูงเพรียวดั่งต้นหยกต้องลม แม้ใบหน้ามีผ้าโปร่งสีเข้มปิดไว้จนมองไม่เห็นว่าหน้าตาเช่นไร แต่คิ้วและดวงตาที่เผยออกมาด้านนอกนั่นงดงามอย่างยิ่ง เขามองสีของท้องฟ้า ทันใดนั้นก็ทะยานร่างเข้าไปยังจวนอันเงียบสงบแห่งนั้น ร่างของเขาเหินประหนึ่งห่านป่า พริบตาเดียวกระโจนข้ามกำแพงเรือน แล้วร่วงลงในลานว่างจากที่สูง ทำให้ลูกน้องของเยี่ยเทียนซิ่วตื่นตระหนก พวกเขาส่งสัญญาณลับรายงานเบื้องบนพลางล้อมเข้าหาคนผู้นั้น แต่คนผู้นั้นกลับไม่ตระหนก เพียงเดินสบายๆ เข้าไปด้านใน องครักษ์ทั้งหลายของชิ่งอ๋องอดกลั้นไม่อยู่ก้าวเข้าไปขวาง ทว่าประกายแสงสีเขียวกลับปรากฏรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เลือดสาดกระเซ็นในทันใด องครักษ์สองสามนายนั้นล้วนถูกหนึ่งกระบี่แทงทะลุลำคอ
ยามนี้เยี่ยเทียนซิ่วรีบร้อนวิ่งมาถึงแล้ว เขาตวาดเสียงดัง “เจ้าคือผู้ใด กล้าบุกรุกยามวิกาล”
คนผู้นั้นถอนหายใจแผ่วเบาแล้วตอบว่า “ข้าได้รับคำสั่งให้มาคารวะพี่เยี่ย” กล่าวจบก็โถมเข้าใส่กลุ่มคน องครักษ์เหล่านั้นล้วนเป็นยอดฝีมือผู้วรยุทธ์สูงส่งถนัดการโจมตี พวกเขาลงมือขัดขวางพร้อมกันโดยมิต้องนัด แต่วิชาตัวเบาของคนผู้นั้นล้ำเลิศอย่างยิ่ง ร่างของเขาเหินขึ้นฟ้า ประกายกระบี่ดุจลำแสงฉายวูบวาบตรงตำแหน่งต่างๆ ของเงาสีเทาดำ บางครั้งทะลวงช่องโหว่ของการโจมตี บางครั้งฟาดฟันเป็นประกายแสบตา ทุกหนทุกแห่งที่ผ่าน กระบี่ล้วนได้เห็นเลือด เยี่ยเทียนซิ่วคำรามเกรี้ยวกราดชักกระบี่โถมเข้าใส่ คนผู้นั้นกลับไม่ประมือกับเขา แต่ไล่สังหารองครักษ์ที่อยู่รอบด้านเหล่านั้น เยี่ยเทียนซิ่วยิ่งบันดาลโทสะ ตวาดเสียงดัง “พวกเจ้ารีบถอยไป”
องครักษ์เหล่านี้เป็นผู้ที่ฝึกฝนมาอย่างดีจึงกระจายออกไปสี่ทิศแปดทางในทันใด เยี่ยเทียนซิ่วฉวยโอกาสขวางคนผู้นั้นไว้ วิชากระบี่ของทั้งสองคนสูงส่งอย่างยิ่ง วิชากระบี่ของเยี่ยเทียนซิ่วดุดัน โหดเหี้ยม ว่องไว แต่แฝงไว้ด้วยความสุขุม ส่วนวิชากระบี่ของคนผู้ปิดบังใบหน้ากลับคล่องแคล่วว่องไว แปรเปลี่ยนมิอาจหยั่ง เมื่อประกอบกับวิชาท่าร่างและวิชาตัวเบาอันพิสดารคาดเดาไม่ได้ของเขา ยิ่งยากจะขัดขวาง เพียงครู่เดียวทั้งสองกันก็ปะทะกันเจ็ดถึงแปดสิบกระบวนท่า กระบวนท่ากระบี่อันยอดเยี่ยมทยอยอวดโฉมตรงหน้า ปราณกระบี่ถาโถม ทั้งสองคนราวกับเรือน้อยกลางลำน้ำเชี่ยวกรากเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง
องครักษ์ของชิ่งอ๋องเหล่านั้นทราบว่าหากตนลงมือกลับจะเพิ่มความสับสน แต่ก็มิยินดีเรียกทหารมา ด้วยเหตุนี้จึงเอาแต่ล้อมลานว่างไว้ เตรียมอาวุธลับไว้พร้อม ในใจคิดว่าหากทั้งสองคนผละแยกจากกันก็จะซัดไปทักทายคนผู้ปิดบังใบหน้าทันที
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างเมามัน ทันใดนั้นคนผู้ปิดบังใบหน้าผู้นั้นก็ตวาดเบาๆ คำหนึ่ง คนกับกระบี่ทะยานเข้าใส่เยี่ยเทียนซิ่วพร้อมกัน หนึ่งกระบี่ว่องไวยิ่งนัก ทว่าเยี่ยเทียนซิ่วก็สุขุมอย่างยิ่ง ยกกระบี่ขึ้นขวาง กระบี่ทั้งสองประสานกัน ต่างฝ่ายลอยผละจากกัน เยี่ยเทียนซิ่วพบว่าร่างกายของคนผู้นั้นเหมือนจะสั่นสะท้านวูบหนึ่ง ในใจจึงยินดีอย่างห้ามไม่ได้ ทราบว่าพลังภายในของคนผู้นั้นอ่อนแอกว่าตนเองอยู่เล็กน้อย จึงหมุนร่างเป็นวงแทงหนึ่งกระบี่เข้าใส่กลางแผ่นหลังของคนผู้นั้น เขาคำนวนอย่างดีว่าตำแหน่งนั้นคนลึกลับผู้ปิดบังโฉมหน้าจะต้องพลิกกายหลบไม่ทันแน่ ทว่าคนผู้นั้นกลับหยุดลมปราณ ร่างกายชะงักวูบหนึ่ง หนึ่งกระบี่นี้ของเยี่ยเทียนซิ่วจึงแทงเข้าใส่ร่างกายซีกขวาของเขา ขณะที่เห็นว่ากำลังจะลงมือสำเร็จแล้วนั่นเอง ผู้ใดจะคิดว่าคนผู้นั้นกลับพลิกมือสวนหนึ่งกระบี่ ประกายกระบี่ดั่งอสนีบาตคำราม ทว่าเยี่ยเทียนซิ่วเป็นผู้ละเอียดรอบคอบ เก็บพลังไว้เผื่อส่วนหนึ่งจึงเลี่ยงจุดสำคัญได้ทัน เขาหลุดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาคำหนึ่ง เอามือกดปากแผลเอาไว้ แล้วตวาดว่า “แยกย้ายกันฝ่าวงล้อม” กล่าวจบก็มิสนใจความเจ็บปวดของบาดแผล ฝ่าออกไปด้านนอก
คนผู้ปิดบังใบหน้าคนนั้นเดิมคิดจะไล่ตาม แต่มิทราบว่าเหตุใดจู่ๆ จึงหยุดฝีเท้า หมุนตัวกลับไปโถมเข้าใส่องครักษ์ที่ยอมแลกชีวิตเข้ามาสังหารตนเพื่อขัดขวางศัตรูให้เยี่ยเทียนซิ่ว ครั้งนี้เขากลับทะยานเหินเข้าฟาดฟัน ร่างกายประหนึ่งเหยี่ยว ประกายกระบี่ดั่งพายุฝน เพียงสิบกว่ากระบวนท่าก็สังหารองครักษ์ทั้งหลายที่รั้งอยู่สกัดศัตรูจนหมดสิ้น สุดท้ายคนผู้ปิดบังใบหน้าผู้นั้นก็มองเลือดที่เปรอะเต็มพื้นแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ล้วงผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวผืนหนึ่งจากในสาบเสื้อมาเช็ดรอยเลือดบนกระบี่ หลังจากนั้นจึงเสียบกระบี่ยาวเล่มนั้นเข้าไปในฝักกระบี่ที่ตบตาว่าเป็นเข็มขัด กระบี่คมกริบเล่มนั้นคือกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง
ยามนี้บริเวณบ้านพลันมีแสงเปลวเพลิงลุกโชนสี่ทิศ คนผู้ปิดบังใบหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ทราบทันทีว่าคนของชิ่งอ๋องเผาบ้านด้วยตนเองเพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานอันใดไว้ เขาไม่บันดาลโทสะ เพียงเร้นกายหายไปในรัตติกาลท่ามกลางเสียงตื่นตระหนกที่ดังขึ้นรอบด้าน
แต่การต่อสู้นองเลือดครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายในราตรีนี้เท่านั้น ในตอนที่กองทหารราชองครักษ์ผู้ลาดตระเวนยามกลางคืนเร่งรีบมาถึงจุดที่ไฟไหม้และเพิ่งดับไฟลงได้ไม่นาน นครฉางอันก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเจิ้งเสียถูกลอบสังหาร อีกเรื่องหนึ่งคือเกิดจลาจลขึ้นที่ตลาดตูฮุ่ยของนครฉางอัน
ตอนต่อไป