ตอนที่ 127 คนแซ่เฉียวจอมขูดรีด ลักขโมย
สินค้าชุดแรกที่จะส่งมอบให้วังหลวงตอนสิ้นเดือนทำเสร็จแล้ว ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกับหนึ่งฟอง เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างขนส่งและจัดเก็บ เฉียวเวยจึงเตรียมไว้เผื่ออีกห้าร้อยฟอง ห้าร้อยฟองนี้หากไม่ได้ใช้ก็จะนำไปขายให้หรงจี้ เถ้าแก่หรงเร่งเฉียวเวยให้เพิ่มของอยู่ทุกวี่ทุกวัน เร่งจนเฉียวเวยรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างแล้ว
ผลิตหนึ่งเดือน หมักในโถอีกหนึ่งเดือน สองเดือนให้หลังก็ส่งของได้อย่างตรงเวลา แน่นอนว่าเดือนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเวลาว่าง ยังมีสินค้าชุดที่สองรอจ่ออยู่อีก วันที่หนึ่งของแต่ละเดือนคือวันส่งของ
ในยุคโบราณไม่มีวันในสัปดาห์ แต่คนทำงานก็ยังมีวันหยุด ตัวอย่างเช่นในราชสำนักทำงานห้าวันหยุดหนึ่งหน แต่ละครั้งหยุดหนึ่งวัน แน่นอนว่านี่เป็นสวัสดิการของขุนนาง ประชาชนคนทั่วไปอย่าหวัง
ชีเหนียงบอกเฉียวเวยว่าตอนพวกเขาอยู่ที่ตระกูลขุนนาง บ่าวรับใช้จะได้หยุดก็ต่อเมื่อวันที่หนึ่งหรือวันที่สิบห้า บางตระกูลหยุดทุกวันที่ลงท้ายด้วยหนึ่ง ตัวอย่างเช่นวันที่หนึ่ง วันที่สิบเอ็ด วันที่ยี่สิบเอ็ด บางบ้านก็หยุดเพียงหนึ่งวันต่อเดือน หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งปีไม่มีวันหยุด
เฉียวเวยทราบว่าพวกนายช่างเจิ้งทำงานทั้งปีไม่มีวันหยุด นอกเสียจากว่าไม่มีงานให้ทำ
“ถ้าอย่างนั้นพอวันที่หนึ่งหยุดงานกัน ในบ้านไม่มีคนรับใช้จะทำอย่างไรเล่า” เฉียวเวยถาม
ชีเหนียงอธิบายว่า “บางคนจะหยุดวันที่สองกับวันที่สิบหกเจ้าค่ะ”
ผลัดกันหยุดเหมือนกับหรงจี้สินะ ฝั่งโรงงานตอนนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเช่นนี้ กำหนดวันหยุดให้เรียบร้อยก็พอ
“หยุดน้อยเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือ” เฉียวเวยถามอีก
“เท่านี้น้อยมากหรือ” ชีเหนียงถามกลับ
ในความคิดของชีเหนียง ไม่หยุดจึงจะเป็นเรื่องปกติ ให้วันหยุดหนึ่งหรือสองวัน นั่นก็คือผู้อื่นมีน้ำใจมากมายนักหนาแล้ว
ดวงตาของเฉียวเวยกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว มิน่าสำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าตลอดปีจึงไม่มีวันหยุด เดาว่าราชวงศ์ต้าเหลียงคงมีสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้จนทุกคนคุ้นชินแล้วจึงไม่มีผู้ใดบ่น อย่างไรเสียเทียบกับครอบครัวหิวโหยหรือการทำนาหลายสิบไปจนถึงร้อยหมู่ ทำงานให้ผู้อื่นก็นับเป็นทางออกที่ไม่เลวทางหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าโรงงานของพวกเราหยุดกี่วันจึงจะเหมาะสม” เฉียวเวยแสร้งถามเหมือนไม่มั่นใจ
การโยนเผือกร้อนลูกนี้ไปให้ชีเหนียงช่างเจ้าเล่ห์นัก ชีเหนียงเป็นคนงาน นางย่อมหวังว่าได้วันหยุดยิ่งมากยิ่งดี แต่หากมากเกินไปก็เกรงว่าจะทำให้เฉียวเวยไม่พอใจ ชีเหนียงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “สองสามวันก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ตระกูลขุนนางหยุดสองวัน หากได้เพิ่มมาอีกสักวัน นางก็พอใจแล้ว
เฉียวเวยกดริมฝีปากที่เกือบจะยกโค้งเอาไว้ แล้วทำหน้าเจ็บปวด “ถ้าเช่นนั้นก็หยุดทุกวันลงท้ายด้วยหนึ่งก็แล้วกัน สิ้นเดือนค่อยหยุดเพิ่มอีกวัน ทั้งหมดสี่วัน”
ชีเหนียงยิ้มอย่างเบิกบานใจ “เช่นนั้นดียิ่งนัก”
คนแซ่เฉียวจอมขูดรีดคิดในใจ ‘แต่เดิมข้าคิดจะให้พวกเจ้าหยุดสัปดาส์ละสองวันแหนะ…’
เรื่องวันหยุดจึงตกลงกันเช่นนี้
เฉียวเวยรู้สึกว่าโรงงานมีวันหยุดที่เดียวไม่พอ สำนักศึกษาก็สมควรมีวันหยุดด้วย ซิ่วไฉเฒ่าอายุมากแล้ว เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ หากเหนื่อยสะสมจนล้มป่วยเข้าจะไม่ดี
เฉียวเวยลงจากเขาไปเจรจาเรื่องวันหยุดกับสำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่า อีกฝั่งหนึ่งปี้เอ่อร์ที่ค้างคืนในเมืองหลวงหนึ่งคืนก็เดินทางกลับขึ้นเขามาแล้ว
ปี้เอ๋อร์ใบหน้าซีดเผือด สีหน้าเหม่อมลอยเล็กน้อย ชีเหนียงเรียกปี้เอ๋อร์ นางก็ไม่ได้ยิน ชีเหนียงอ้าปากค้างอย่างฉงน เดินมาถึงตรงหน้านางแล้วตบหัวไหล่ของนางเบาๆ “ปี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร มารดาของเจ้าป่วยร้ายแรงมากหรือ”
“ไม่ใช่ มารดาของข้านางไม่…” ปี้เอ๋อร์ชะงักวูบหนึ่งแล้วเพิ่งได้สติ นางหลุบตาลงแล้วกล่าวกับชีเหนียงว่า “นางไม่เป็นอะไร ฮูหยินหายามาให้แล้ว บอกว่ากินไม่กี่วันก็ดีขึ้น”
ชีเหนียงมีสีหน้าโล่งอก “หากฮูหยินกล่าวเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นต้องหายดีแน่ เจ้าไม่ต้องกังวลใจ สีหน้าเจ้าย่ำแย่เช่นนี้ เมื่อวานนอนไม่พอใช่หรือไม่ เจ้ากลับไปนอนพักที่ห้องก่อน ตอนเช้ามีพวกเราสามคนก็พอแล้ว”
ดวงตาของปี้เอ๋อร์ทอประกายวูบหนึ่ง “ฮูหยิน…ไม่อยู่หรือ”
ชีเหนียงยิ้ม “ฮูหยินไปสำนักศึกษา เหมือนว่าจะไปหารือเรื่องบางอย่างกับบัณฑิตเฒ่า เจ้าจะหาฮูหยินหรือ”
ปี้เอ๋อร์รีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ใช่ๆ ข้าเพียงถามดูเท่านั้น”
ชีเหนียงมองนางอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่ากลับบ้านไปครั้งนี้ เด็กคนนี้เหมือนทำวิญญาณหล่นหายไปเสียอย่างนั้น หรือจะกังวลเรื่องอาการป่วยของมารดากันนะ
ปี้เอ๋อร์ถูกชีเหนียงจ้องจนใจเสีย จึงก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะไปทำงานก่อน”
ชีเหนียงพยักหน้า “ได้ เจ้าไปเถิด อย่าเหน็ดเหนื่อยเกินไปเล่า หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็กลับห้องไปพัก ฮูหยินใจดี ไม่ตำหนิเจ้าหรอก”
ปี้เอ๋อร์รับคำงึมงำแล้วก้มหน้าเดินไปยังโรงงาน
เสี่ยวเว่ยขนม้านั่งตัวน้อยมานั่งอยู่ตรงนั้น สวมถุงมือแล้วพอกโคลนให้ไข่ทีละฟอง จากนั้นใส่ไข่ลงไปในโถทีละฟอง เขาเห็นปี้เอ๋อร์ก็ฉีกยิ้ม “ปี้เอ๋อร์เจ้ากลับมาแล้ว ร่างกายของมารดาเจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”
ในหัวใจปี้เอ๋อร์มีความอบอุ่นสายหนึ่งหลั่งรินเข้ามา ทุกคนที่นี่ดีต่อนางจากใจจริง แต่นางกลับกำลังจะทำเรื่องที่ผิดต่อพวกเขา…
“ปี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป” เสี่ยวเว่ยรู้สึกว่าสภาพของปี้เอ๋อร์ไม่ปกติ “คงไม่ใช่ว่ามารดาของเจ้าล้มป่วยสิ้นใจแล้วหรอกนะ”
ปี้เอ๋อร์ส่ายหน้า “ข้าเพียงแต่ไม่ได้นอนจึงง่วงอยู่บ้าง”
เสี่ยวเว่ยเอ่ยอย่างมีคุณธรรม “ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับไปนอน งานของเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าทำเอง!”
ปี้เอ๋อร์ขนม้านั่งตัวน้อยมานั่งข้างเขา “ไม่ดีกว่า กลางวันสว่างโร่ อยากนอนก็นอนไม่หลับ”
“เช่นนั้นหรือ” เสี่ยวเว่ยงุนงง พี่น้องในค่ายกลางวันสว่างโร่ก็นอนหลับกันได้นี่!
ปี้เอ๋อร์ไม่กระปรี้ประเปร่านัก แต่เวลาทำงานทุกคนล้วนยอมลงให้นางพอสมควร งานสกปรกหรืองานที่เหน็ดเหนื่อย เสี่ยวเว่ยเหมาไปหมด งานที่ต้องการความละเอียดประณีต ชีเหนียงก็เหมาไปหมด งานที่ตกมาถึงมือปี้เอ๋อร์จริงๆ จึงเหลือไม่เท่าใดแล้ว
อากุ้ยผสมโคลนพอกอยู่ในห้องผสมวัตถุดิบคนเดียว ปริมาณงานค่อนข้างมาก แต่เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์ไม่มีสิทธิเข้ามาในห้องผสมวัตถุดิบ ส่วนชีเหนียงก็ช่วยปี้เอ๋อร์ทำงานอยู่ อากุ้ยจึงต้องทำคนเดียวจนถึงเที่ยง
ปี้เอ๋อร์รู้สึกละอายใจเล็กน้อยจึงถอดถุงมือ แล้วบอกทุกคนว่า “ข้าจะไปทำอาหาร”
ชีเหนียงดึงนางไว้ “ไม่ต้องไปหรอก เจ้าพักเถิด ข้าทำเอง!”
“แต่…”
ชีเหนียงเอ่ยขัดคำพูดของนาง “ไม่มีแต่ ครั้งก่อนที่ข้าถูกรังแก เจ้าก็ช่วยทำอาหารให้ข้าไม่ใช่หรือ”
“นั่นไม่เหมือนกัน…” ปี้เอ๋อร์ไม่กล้ามองตาของชีเหนียงแล้ว
ชีเหนียงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “มีสิ่งใดไม่เหมือนกันเล่า”
ปี้เอ๋อร์พูดไม่ออก
ชีเหนียงตบหลังมือของนางเบาๆ แล้วเดินจากไป
หัวใจของปี้เอ๋อร์ราวกับถูกมีดกรีด ทุกคนเป็นห่วงนางเช่นนี้ นางช่างชาติหมาใจสุนัขอย่างแท้จริง!
ตอนเที่ยงเฉียวเวยพาลูกทั้งสองคนไปทานอาหารที่บ้านสกุลหลัว หลังจากพาเด็กๆ ไปส่งที่สำนักศึกษาเสร็จก็เข้าไปในตัวเมือง
“ฮูหยินยังไม่กลับอีกหรือ” ปี้เอ๋อร์ถามชีเหนียงระหว่างที่ล้างจานอยู่
ชีเหนียงใช้ผ้าเช็ดชามกับตะเกียบที่ปี้เอ๋อร์ล้างเสร็จแล้วจนแห้ง “อาจจะเข้าไปในตัวเมือง หลายวันนี้หรงจี้ค่อนข้างงานยุ่ง”
ปี้เอ๋อร์ฝืนยิ้ม “ฮูหยินเก่งเสียจริง”
ชีเหนียงกล่าวตอบอย่างภาคภูมิใจ “นั่นสิ ข้าอยู่มายี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่เคยพบสตรีที่ทำงานเก่งเช่นฮูหยินมาก่อน แม้แต่บุรุษก็สู้นางไม่ได้”
ปี้เอ๋อร์ส่งตะเกียบที่ล้างเรียบร้อยแล้วให้ชีเหนียง “คำพูดนี้หากอากุ้ยได้ยินเข้าต้องโมโหแน่”
“เขาไม่ได้ใจแคบเช่นนั้นเสียหน่อย” อยู่ข้างนอก ชีเหนียงย่อมรู้จักรักษาหน้าให้อากุ้ย
ปี้เอ๋อร์เหลือบมองนอกประตู แววตาทอประกายเล็กน้อย “เจ้ากับพี่อากุ้ยเหนื่อยมาทั้งเช้าแล้ว ไปนอนพักเถิด ตอนเที่ยงข้าจะเฝ้าประตูเอง”
“นั่นจะได้อย่างไรเล่า” ชีเหนียงส่ายหน้า
ปี้เอ๋อร์เพียรทำน้ำเสียงให้ฟังดูผ่อนคลาย “ตอนเช้าข้าไม่ได้ทำงานเท่าไร ยังมีแรงเหลืออยู่ เจ้ากับพี่อากุ้ยไปพักเอาแรงสักหน่อย ตอนบ่ายจะได้ทำงานต่อ”
ชีเหนียงไม่อยากรบกวนปี้เอ๋อร์ แต่ปี้เอ๋อร์ยืนกราน ชีเหนียงใจอ่อนจึงรับปาก
ปี้เอ๋อร์ฉวยโอกาสพริบตาที่ชีเหนียงหมุนตัว ตวัดมือไปข้างเอวนางวูบหนึ่งก็ฉวยกุญแจผูกเชือกสีแดงที่แขวนอยู่บนนั้นมาได้อย่างไม่ทิ้งร่องรอย
ชีเหนียงเหนื่อยจริงๆ เมื่อกลับห้องเอนตัวลงบนเตียงได้ไม่นานก็หลับ อากุ้ยเห็นชีเหนียงหลับสบายจึงไม่กล้าปลุกนาง แต่ลงไปงีบหลับอยู่ข้างตัวนางด้วย
เสี่ยวเว่ยออกมาจากห้องส้วม เห็นปี้เอ๋อร์นั่งอยู่บนม้านั่งตัวน้อยตรงประตูโรงงานก็ถามอย่างฉงน “เหตุใดเจ้าไม่กลับห้องไปพัก เมื่อคืนวานไม่ค่อยได้นอนมิใช่หรือ”
ปี้เอ๋อร์ยิ้มอย่างมีชนักติดหลัง “ชีเหนียงกับอากุ้ยเหนื่อยแล้ว ข้าเลยมาเฝ้าแทนพวกเขาสักประเดี๋ยว”
เสี่ยวเว่ยเห็นว่าสีหน้าของนางยังซีดเผือดอย่างยิ่งจึงถอนหายใจบอกว่า “พอเถอะ ข้าเฝ้าเองก็แล้วกัน”
ปี้เอ๋อร์โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องๆ ตอนเช้าเจ้าเหนื่อยแล้ว มารดาข้าล้มป่วย ข้าเองก็นอนไม่หลับ เจ้าไปนอนเถิด”
“ไม่ต้องจริงหรือ” เสี่ยวเว่ยถาม
ปี้เอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ “จริง พี่เสี่ยวเว่ย ท่านไปเถิด หากข้าง่วงแล้ว จะเรียกท่านมาอยู่แทนข้า ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่เกรงใจท่านหรอก”
เสี่ยวเว่ยเป็นโจรภูเขา ไม่ค่อยรู้จักถ้อยคำตามมารยาท ปี้เอ๋อร์บอกว่าไม่ต้องจริงๆ เขาก็เชื่อดังนั้น เขาหาวหวอด “ถ้าเช่นนั้นข้าไปแล้วนะ”
“อืม” ปี้เอ๋อร์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
เสี่ยวเว่ยกลับไปยังห้องพัก แม้เขาจะอาศัยอยู่บนเขาวายุทมิฬ แต่เฉียวเวยก็ยังเตรียมห้องสำหรับงีบกลางวันให้เขาห้องหนึ่งอย่างใส่ใจยิ่งนัก เสี่ยวเว่ยเข้าห้องไปไม่นานก็กรนคร่อก
สรรพเสียงเงียบสงัด
ปี้เอ๋อร์นั่งอยู่บนม้านั่งตัวน้อย หัวใจเต้นระทึกดังตึกๆ
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ใช่ว่านางไม่เคยทำเรื่องร้ายๆ แต่นั่นเป็นเพียงการเล่นซุกซนของเด็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดจริงๆ แต่ครั้งนี้ นางกำลังจะขโมยสูตรของฮูหยินไปเพื่อหนี้พนันที่พูดถึงนั่น
นางทราบว่าไข่เยี่ยวม้าของฮูหยินต้องขายเข้าไปในวังหลวง แต่ละเดือนต้องส่งสินค้าหนึ่งหมื่นฟอง นี่เป็นการค้าขายปริมาณมหาศาล หากลูกค้าเจ้าใหญ่เช่นนี้ถูกแย่งชิงไป นางไม่รู้ว่าฮูหยินจะเสียใจหรือไม่
แล้วยังมีเด็กน้อยแสนน่ารักอย่างจิ่งอวิ๋นน้อยกับวั่งซูน้อยอีก พวกเขาเพิ่งมีชีวิตสุขสันต์เพียงไม่นาน ก็ต้องกลับไปยากจนข้นแค้นอีกแล้วหรือ
นางไม่อยากทำเช่นนี้
แต่หากไม่ทำ ด้วยนิสัยของฮูหยินรอง จะต้องไม่ปล่อยบิดามารดาของนางเป็นแน่
แอ็ด!
ประตูถูกลมแรงพัดเปิดออก
ปี้เอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วปิดประตูลงเบาๆ
ไม่นานมันก็ถูกลมพัดเปิดอีก
ปี้เอ๋อร์จับมันไว้แล้วมองเข้าไปด้านใน จากมุมที่นางยืน มองเห็นประตูบานใหญ่ของห้องผสมวัตถุดิบพอดี แม่กุญแจทองแดงบนประตูบานนั้นถูกแสงที่ลอดเข้ามากระทบแลดูเงียบสงัด รูกุญแจดำมืด ส่วนกุญแจก็อยู่ในมือนางแล้ว
ปี้เอ๋อร์กำลูกกุญแจในแขนเสื้อกว้างแน่น แล้วก้าวเข้าไปในโรงงาน!
นางสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ขาก้าวต่อไม่ออก
นางกัดฟัน แล้วจึงเดินไปยังประตูบานใหญ่ของห้องผสมวัตถุดิบ…
…
ชีเหนียงหลับไปได้ครึ่งหนึ่งก็ร้อนจนตื่น นางเพ่งสายตามอง อากุ้ยเกาะติดอยู่บนตัวนางเหมือนขนมงาอ่อน นางขยับตัวอย่างขบขัน จับอากุ้ยลงไปนอนหงายบนเตียง หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า เตรียมจะแวะไปดูปี้เอ๋อร์ ไหนเลยจะคิดว่าพอเอื้อมมือไปแตะที่สายคาดเอวกลับพบว่ากุญแจหายไปแล้ว!
นางรีบหาตามลิ้นชัก ตู้ บนพื้น ใต้เตียง จุดที่หาได้ล้วนหาจนครบหมดแล้ว
อากุ้ยถูกเสียงกุกกักปลุกให้ตื่น เขาขยี้ตาถามว่า “หาสิ่งใดหรือ”
ชีเหนียงตอบอย่างร้อนรน “กุญแจ! ข้าทำกุญแจห้องผสมวัตถุดิบหายเสียแล้ว!”
กุญแจดอกใดก็หายได้ มีแต่ของห้องผสมวัตถุดิบที่หายไม่ได้ ข้างในนั้นเก็บวัตถุดิบทำไข่เยี่ยวม้ากับสูตรเอาไว้ หากมีคนคิดร้ายขโมยไป ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมไม่อาจคิด
อากุ้ยสะดุ้งเฮือก ความง่วงงุนปลิวหายไปจนสิ้น ลุกขึ้นมานั่งถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าทำหายที่ใด”
ชีเหนียงร้อนรนจนใกล้ร้องไห้ “ข้าไม่รู้…ตอนเที่ยงข้าก็ไม่ได้เป็นคนลงกลอนประตู ข้า…”
อากุ้ยสวมเสื้อ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ เจ้าไม่ได้ลงเขา บนเขาก็มีสถานที่อยู่เท่านี้ ไม่อยู่ในห้องก็ต้องอยู่ข้างนอก เจ้าไปห้องครัว ข้าจะไปโรงงาน”
“ได้”
ทั้งสองคนเดินออกจากห้อง ห้องครัวอยู่สุดปลายห้องพัก อยู่ไม่ไกล แต่โรงงานอยู่ด้านหน้า ต้องเดินเพิ่มอีกหน่อย
อากุ้ยอ้อมไปถึงด้านหน้าโรงงานก็เห็นม้านั่งว่างเปล่าหน้าประตู ในใจจึงคิดว่าปี้เอ๋อร์เล่า ไม่ใช่ให้นางเฝ้าประตูไว้หรือ ไปที่ใด
หรือว่า…
อากุ้ยเปลี่ยนสีหน้าไปทันควัน เขาไม่พูดพร่ำก้าวเข้าไปในประตู ก้าวพรวดไปยังหน้าห้องผสมวัตถุดิบ แล้วหยิบกุญแจขึ้นมา
“พี่อากุ้ย” เสียงของปี้เอ๋อร์ดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่
อากุ้ยเหงื่อกาฬแตกพลั่กหันกลับไปก็เห็นปี้เอ๋อร์ยิ้มแย้มเดินเข้ามาหาตนเอง “เร็วปานนี้ก็ตื่นแล้วหรือ เมื่อครู่ข้าไปห้องส้วมมา”
อากุ้ยไม่สนใจนาง หยิบกุญแจกดอกนั้นของตนมาไขแม่กุญแจ
ปี้เอ๋อร์ถามเหมือนไม่ติดใจ “ไม่ใช่ว่ายามเว่ยสี่เค่อจึงจะเริ่มงานหรือ พี่อากุ้ยเหตุไฉนมาเร็วเช่นนี้”
“ตื่นเร็วน่ะ” อากุ้ยตอบส่งๆ คำหนึ่งแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้องผสมวัตถุดิบ เขาเปิดช่องลับตรวจดูสมุดจดวัตถุดิบก่อนเป็นอย่างแรก สิ่งนี้มีค่าเท่าสมุดจดสูตรยามใช้จริงเล่มหนึ่ง แต่ละวันทำไข่เยี่ยวม้าเท่าไร ใช้เกลือ ด่าง ปูนขาวเป็นต้นเท่าใด เพียงกวาดตามองหนเดียวก็ทราบทั้งสิ้น
สมุดยังอยู่ที่เดิม ไม่มีร่องรอยถูกแตะต้อง
หลังจากนั้นอากุ้ยตรวจโถที่ใส่วัตถุดิบทั้งหลายก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ
อากุ้ยค่อยๆ สงบใจได้
“พี่อากุ้ยท่านกำลังหาสิ่งใดหรือ” ทันใดนั้นศีรษะของปี้เอ๋อร์ก็ยื่นเข้ามา
อากุ้ยเอ็ด “ที่นี่เจ้าเข้ามาได้หรือ”
ปี้เอ๋อร์รีบหดคอกลับไป
อากุ้ยขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน เดินวนดูทั่วห้องรอบหนึ่ง สุดท้ายก็พบกุญแจของชีเหนียงอยู่ในกองฟืน
อากุ้ยลงกลอนประตูเรียบร้อยก็เดินออกจากโรงงาน
ปี้เอ๋อร์นั่งอยู่บนม้านั่งตัวน้อยอย่างว่าง่าย สองมือเท้าคาง ท่าทางไร้เดียงสาและไม่ใส่ใจ
ตอนเช้ายังทำหน้าอมทุกข์อยู่แท้ๆ พักเที่ยงทีเดียวก็เหมือนกลายเป็นอีกคนเสียอย่างนั้น เลิกกังวลถึงมารดาที่ป่วยหนักของนางได้รวดเร็วปานนี้เชียวหรือ
ผิดปกติ
ปี้เอ๋อร์ยิ้มพลางมองอากุ้ย “พี่อากุ้ย ท่านมองข้าบ่อยๆ มีสิ่งใดหรือ บนหน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือเปล่า ระวังชีเหนียงจะหึงเอานา”
อากุ้ยหันหน้าหนี ผู้ใดอยากมองเจ้า สวยได้ไม่เท่านิ้วมือนิ้วหนึ่งของชีเหนียงด้วยซ้ำ!