ตอนที่ 319 เราจะไปถึงแดนยมโลกบูรพา (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 319 เราจะไปถึงแดนยมโลกบูรพา (1)

ที่ด้านนอกสำนักตู้เซียน ในขณะนี้ มีสองสามร่างอยู่บนเมฆขาวที่กำลังบินไปทางทิศตะวันออก

เมฆขาวนี้โบยบินไปอย่างรวดเร็วและมั่นคง เส้นทางที่มันเลือกนั้น มีทิวทัศน์งดงาม และปราศจากอันตรายใดๆ เห็นได้ชัดว่า ผู้ที่กำลังควบคุมเมฆนั้นเป็นชายชรา…เซียนจิน

เจ้าสำนักสำนักตู้เซียน ขับเคลื่อนเมฆไปด้วยตัวเอง เพื่อรีบไปยังแดนยมโลก เขายังคอยชี้แนะเรื่องเกี่ยวกับแดนยมโลกให้กับคนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังเขา

ตัวอย่างเช่น บอกถึงวิธีมุ่งหน้าไปยังแดนยมโลกอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างแดนยมโลกและแดนนรก และเรื่องต้องห้ามต่างๆ

“แดนยมโลกควบคุมสังสารวัฏหกวิถี สำนักงานของแดนยมโลกเป็นบ้านของจิตวิญญาณและดวงวิญญาณทั้งหมด มันไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ทว่าแดนยมโลกก็ถือได้ว่าเป็นกองกำลังหนึ่งในโลกบรรพกาลเช่นกัน ซึ่งย่อมจะไว้หน้าให้กองกำลังอื่นๆ บ้าง ส่วนใหญ่แล้ว หากมีคนขอความช่วยเหลือจากพวกเขา พวกเขาก็จะแสร้งปฏิเสธเล็กน้อยก่อนที่จะได้รับผลประโยชน์และของกำนัลต่างๆ จากนั้นพวกเขาก็จะใช้อำนาจที่ได้รับมาจากเต๋าสวรรค์เพื่อปรับเรื่องการกำเนิดใหม่เล็กน้อย ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวล พวกเรา สำนักตู้เซียนเป็นฝ่ายของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่แท้จริง และแน่นอนว่า พวกเขาย่อมจะไว้หน้าและปฏิบัติต่อเราด้วยความเคารพเช่นกัน”

จี้อู๋โหย่วยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างหน้าขณะคุยจ้ออย่างฉาดฉานมั่นใจ

ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งฝึกฝนอยู่ในสำนักมานานแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักจะช่างจำนรรจาเช่นนี้

เวลานี้ เขาพูดอะไรไม่ได้มาก และทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่ากำลังฟังเท่านั้น

ในขณะที่เจียงหลินเอ๋อร์ครุ่นคิดมากมาย นางยืนอยู่ข้างๆ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งพร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววกังวลใจนัก

จากนั้น จี้อู๋โหย่วก็ค่อย ๆ พูดถึงที่มาของแดนยมโลกและขยายไปสู่วิวัฒนาการของแดนยมโลก

หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก

ท่านเจ้าสำนัก ไฉนท่านไม่เริ่มต้นตั้งแต่ต้นเลยเล่า? แดนยมโลกเป็นเพียงเรื่องโบราณชัดๆ

จากนั้น จี้อู๋โหย่วก็กล่าวสบาย ๆ ว่า “เมื่อพูดถึงแดนยมโลกนี้มาจากที่ใด เช่นนั้น เราก็ต้องพูดถึงทะเลเลือด และต้องเริ่มตั้งแต่ครั้งสร้างโลก เบิกฟ้าแยกดิน แยกสวรรค์และปฐพีออกจากกัน…”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน

เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร

หลี่ฉางโซ่วเป็นผู้ที่มีอาวุโสน้อยที่สุด ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะยืนอยู่ที่ด้านหลังของเมฆขาวนี้

เมื่อได้ยินท่านเจ้าสำนักกล่าวอย่างกระตือรือร้นมากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ฉางโซ่วก็อดจะหันศีรษะไปมองยังคนที่ยืนอยู่ห่างจากเขาออกไปสามฉื่อไม่ได้…

นางคือ โหย่วฉินเสวียนหย่า

เขาเข้าใจเหตุผล แต่เหตุใด ศิษย์น้องหญิงตัวอันตราย จึงตามพวกเขาไปยังแดนยมโลกด้วย?

นางเกี่ยวข้องกับหนึ่งในยมทูต หรือเหยียนหลัวหวัง ผู้พิพากษาแห่งแดนยมโลกหรือไม่? หรือสามารถอาศัยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของนาง ช่วยทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นได้?

เกิดอะไรขึ้นกับท่านเจ้าสำนัก?

เหตุใดจึงกระทำการสับสนมากมายเช่นนี้?

เมื่อโหย่วฉินเสวียนหย่าเพิ่งมาถึง ยังคงมีอักขระเต๋าบนร่างของนางเมื่อยามที่เข้าปิดด่าน เห็นได้ชัดว่า นางถูกเจ้าสำนักเรียกมาในอึดใจสุดท้าย!

ดูเหมือนว่า ขณะที่หลับตา โหย่วฉินเสวียนหย่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาจับจ้องของหลี่ฉางโซ่ว ขนตาของนางพลันสั่นไหวเบาๆ แล้วจึงลืมตาขึ้น

นางบิดลำคองามของนางเล็กน้อยเพื่อหันไปมองหลี่ฉางโซ่ว ดวงตาสดใสของนางฉายแววงุนงงหนึ่งส่วน สงสัยสองส่วน อ่อนโยนสามส่วน และใสกระจ่างสี่ส่วน

จากนั้น แววตาของนางก็ดูราวกับกวางน้อยที่หวาดกลัว แล้วหลบสายตา เบนไปทางด้านข้างทันที ทิ้งรอยเขินอายไว้สี่ส่วน ประหม่าสามส่วน ขุ่นใจสองส่วน และสุขใจหนึ่งส่วน…

เอ่อ ยังมีอาการบางอย่างที่ยามนางเข้าปิดด่าน มันก็ทวีความรุนแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด!

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะขื่นเบาๆ ในใจ

หรือว่า เจ้าสำนักอยากจับคู่เขากับศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายผู้นี้?

กล่าวตามตรง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่ทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน เกือบจะมาถึงในคืนหนึ่ง โหย่วฉินเสวียนหย่าได้รู้ภูมิหลังของหลี่ฉางโซ่วและได้เห็นกระบวนการแห่ง “ลมปราณรั่ว” ของหลี่ฉางโซ่วทั้งหมดดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงไม่อาจเพิกเฉยโหย่วฉินเสวียนหย่าได้อย่างสมบูรณ์ …

หลี่ฉางโซ่วแผ่ปราณสัมผัสรับจำลองซึ่งเขาได้พัฒนาต่อเนื่องขึ้นโดยใช้สงบลมปราณเต่า เพื่อมองไปยังสาวน้อยผู้ยอดเยี่ยมที่อยู่ข้างๆเขา

โหย่วฉินเสวียนหย่ามีนิสัยใจคอโดดเด่น นางมีเรือนร่างเพรียวบาง รูปโฉมสะคราญงามสง่าไร้ที่ติจนหมู่มัจฉาจมวารี เหล่าปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นเซียนแล้ว นางก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายเซียนล้อมรอบและเปล่งประกายแสงนุ่มนวล

แม้ความซื่อสัตย์ของนางจะเป็นปัญหา แต่ความจริงแล้วก็ถือได้ว่าเป็นข้อดีจริงๆ…

แต่เรื่องระหว่างชายหญิงนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะความงามของนางเท่านั้น แน่นอนว่า ยังต้องมีความประทับใจต่อกันด้วย!

ถึงแม้ว่าการเปรียบเทียบรูปลักษณ์และบุคลิกภาพของผู้อื่น จะไม่เหมาะสมนัก แต่เขาก็รู้สึกว่าศิษย์น้องหญิงของเขาเอง ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์น้องหญิงจากยอดเขาใกล้เคียงผู้นี้

จะจับคู่คนสองคนได้ง่ายที่ไหนกันเล่า?

ยิ่งเดินไปในวิถีแห่งการเป็น “นักจับคู่” ลึกมากเท่าใด หลี่ฉางโซ่วยิ่งก็เข้าใจและยิ่งรู้สึกว่ามันซับซ้อนยิ่งนัก…

ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมา บุปผาแดงย่อมคู่หลิวเขียว[2]

ทุกช่วงเวลาแห่งวสันต์ยามค่ำคืนล้วนมีค่าเท่าทองพันชั่ง และจะกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อสูญสิ้นไป

หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ด้านหลังของเจ้าสำนักที่อยู่ตรงหน้าเขา และถอนหายใจเบาๆ ในใจ

ทันใดนั้น เสียงของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ดังเข้ามาในหูของเขา

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว ช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“อืม ก็ไม่เลว” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าพลางยิ้มและตอบว่า “แล้วเจ้าฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข้าก้าวหน้าขึ้นบ้างหลังจากเสถียรฐานพลังของข้าให้มั่นคงแล้ว”

โหย่วฉินเสวียนหย่ากลับมามีสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมเช่นเคยในทันทีที่กล่าวถึงเรื่องจริงจัง นางกล่าวอย่างละเอียดผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “บัดนี้ ข้าเข้าใจถึงหลักการธรรมชาติแห่งความเป็นอมตะของวิญญาณที่แท้จริงแล้ว และด้วยการปฏิบัติตามพระสูตรนิรกรรมของบรรพชนไท่ชิง ข้าน่าจะสามารถทะลวงด่านไปสู่เซียนเสิ่นขั้นกลางต่อไปได้ในอีกร้อยปีเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพยักหน้าทันทีขณะที่เกือบจะโพล่งออกไปว่า ‘สุดยอด’

โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวอีกครั้ง ว่า “ศิษย์พี่ ท่านเพิ่งทะลวงด่านก้าวหน้าขึ้นไปใช่หรือไม่?”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและส่ายศีรษะเบาๆ

ความจริงแล้วก็มีจริงๆ แต่เขา… ได้ตัดมันไปเอง

หลังจากพูดคุยกันในเรื่องฐานพลังแล้ว ทั้งคู่ก็ไร้หัวข้อให้สนทนากันอีก

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เลือกที่จะหลับตาพักผ่อนในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าหันศีรษะมามองเขาเป็นครั้งคราว นางยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาที่ดูดีที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งห้า…

ตอนนี้สถานการณ์ในทั้งสี่คาบสมุทรเลวร้ายลงเรื่อยๆ

ในเวลานั้น หมู่เมฆเซียนเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วผ่านทะเลบูรพา หลังจากบินไปได้ระยะทางหลายหมื่นลี้ สัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วก็จับภาพสนามรบที่วุ่นวายได้สองสามแห่ง

แม้การต่อสู้ในน้ำทะเลจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีฉากนองเลือดมาก…

เผ่ามังกรต่อสู้กับเผ่าทะเล ในขณะที่คนของเผ่าทะเลต่อสู้กันเอง คนที่โชคร้ายที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้สติปัญญาและเป็นอิสระไร้กังวลในท้องทะเล

ช่วงเวลานั้น หมู่บ้านชาวประมงมนุษย์ในทะเลบูรพา และทะเลทักษิณ ต่างก็ได้รับการเก็บเกี่ยวที่หาได้ยาก

ในอดีตที่ผ่านมา หากเขาจับปลานับสิบได้ด้วยแหเดียวก็คงไม่เลว

ตอนนี้ถึงเขาหว่านแหไป ก็ดึงพวกมันออกมาไม่ได้ แต่บางครั้งคราว ก็ดึงชายร่างใหญ่ที่ดูแปลกประหลาดออกมา…

เป็นผลให้การถวายเครื่องสักการะในวิหารเทพทะเลมีพลังมากขึ้น

สำนักตู้เซียนไปที่แดนยมโลกเพื่อจัดการเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง เมื่อพวกเขาเคลื่อนผ่านทะเลบูรพาไปได้ครึ่งหนึ่ง ในที่สุด ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งก็เริ่มกล่าวออกมา

“ท่านเจ้าสำนัก ผู้นำนิกาย เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้ยินมาว่า ดูเหมือนว่า เผ่ามังกรจะประสบภัยพิบัติและมีปัญหาต่างๆ อย่างไร้ที่สิ้นสุดจนส่งผลให้ทั้งสี่คาบสมุทรไม่สงบสุข”

จี้อู๋โหย่วพยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักตู้เซียน ดังนั้นอย่าได้กังวลไป”

ไม่เกี่ยวข้องหรือ?

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ ความจริงแล้ว มีความเกี่ยวข้องที่ยิ่งใหญ่กว่าการกระทำอันชั่วร้ายของอาจารย์อาจิ่วจิ่วเสียอีก…

หากพวกเขาเอาแต่มองดูท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้โดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง ก็ดุจดั่งพวกเขายืนนิ่งอยู่ในภาพวาด

ในขณะนั้น เหล่าคนของสำนักตู้เซียน กำลังไปทางตะวันออกของทะเลบูรพา ใต้เสาสวรรค์ ย่อมจะ มีทางที่เร็วที่สุดเพื่อมุ่งหน้าไปแดนยมโลก

โดยรวมแล้ว ทั้งสามอาณาจักรแห่งโลกบรรพกาลนั้น เปรียบเสมือนพายเนื้อหลายชั้น มีดินแดนเทวะทั้งห้าเป็นส่วนประกอบหลัก มีเก้าชั้นสวรรค์อยู่เหนือดินแดนเทวะทั้งห้าในขณะที่แดนยมโลกเชื่อมต่อกับดินแดนเทวะทั้งห้า

แดนยมโลกมาจากที่ใด?

………………………………………………………………..

[1] บทชมโฉมของสี่ยอดหญิงงามแห่งแผ่นดินจีน ไซซี-มัจฉาจมวารี หวังเจาจวิน-ปักษีตกนภา เตียวเสี้ยน-จันทร์หลบโฉมสุดา หยางกุ้ยเฟย-มวลผกาละอายนาง

[2] เปรียบได้กับคู่ยวนยาง ซึ่งผู้เขียนปรับมาจากเนื้อหาในเพลงประกอบละครดาบมังกรหยก หรือคู่กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร หนึ่งในวรรณกรรมชิ้นเอกที่ลือลั่นของกิมย้ง