บทที่ 317 เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ 1

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 317 เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ 1

เพราะใต้พระบารมีโอรสสวรรค์ ราษฎรถึงได้มีชีวิตที่มั่งคั่ง

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เด็กทั้งสองถึงได้ตื่นขึ้น โจวกุ้ยหลานช่วยพวกเขาล้างหน้าล้างตาเสร็จ กินอาหารเช้า จูงมือคนละข้าง พาพวกเขาออกไปเดินเล่น

หลังเด็กทั้งสองคนเดินไปที่ถนนแล้วก็มองหันรีหันขวาง มีความสุขมาก ระหว่างทางโจวกุ้ยหลานยังซื้อของเล่นให้พวกเขาไม่น้อย อีกทั้งซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขาสองชุด และตัวนางเองก็ซื้อมาชุดหนึ่ง

แล้วไปภัตตาคารชื่อดังในเมืองหลวง เข้าคิวรอกินข้าว เมื่อถึงคิวพวกเขา โจวกุ้ยหลานถึงพาเด็กทั้งสองคนเข้าไปในห้อง และสั่งอาหารสองสามอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อน

เด็กทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจ มองไปรอบ ๆ ก็เห็นด้านบนภัตตาคารมีคนเล่านิทานอยู่ ผู้คนด้านล่างฟังอย่างสนอกสนใจ

เมื่ออาหารมาแล้ว เด็กทั้งสองคนคีบชิมกันคนละคำ เสี่ยวรุ่ยหนิงก็เปิดปากว่า “ไม่อร่อยเท่าอาหารที่ท่านแม่ทำ!”

เสี่ยวรุ่ยอานพยักหน้าอย่างชื่นชม

ในใจโจวกุ้ยหลานซาบซึ้ง นี่เป็นพลังแห่งความรัก ที่ทำให้ลูกชายทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทางแสร้งทำ

สามคนแม่ลูกกินข้าวแล้ว เด็กทั้งสองคนก็ง่วงงุน โจวกุ้ยหลานก็ไม่ซื้อของอีก พาเด็กทั้งสองคนไปจากภัตตาคารที่พวกเขาอยู่

สามคนแม่ลูกงีบหลับตอนกลางวัน พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว

“พวกเจ้ายังอยากเที่ยวเล่นที่ไหนอีกไหม” โจวกุ้ยหลานถามพวกเขา

รุ่ยอานใช้มือเล็ก ๆ ของตัวเองขยี้ตา แล้วหาว พูดว่า “ท่านแม่ ข้าอยากเจอท่านพ่อ”

“ต้องการท่านพ่อ!” รุ่ยหนิงคล้อยตามด้วย

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ตอบรับ

ช่วงนี้เหนื่อยเกินไป นางจึงคิดที่จะพักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยว่ากัน แต่เด็กทั้งสองคนอยากเจอสวีฉางหลิน งั้นนางก็จะไม่ประวิงเวลาแล้ว

พาเด็กสองคนออกจาห้อง ไปที่ชั้นหนึ่ง ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมหรูอี้เป็นที่สำหรับกินอาหาร ตอนนี้ก็มีห้าหกโต๊ะที่มีคนกำลังกินอาหารอยู่

เถ้าแก่ด้านล่างเห็นพวกโจวกุ้ยหลานลงมา ก็ฉีกยิ้มเดินเข้าไปทักทาย “ลูกค้าพักสะดวกสบายดีหรือไม่”

โจวกุ้ยหลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นอนหลับสบาย สภาพแวดล้อมก็ดีมากเช่นกัน”

เถ้าแก่พยักหน้าซ้ำ ๆ “พวกเจ้ามาเมืองหลวงครั้งแรกสินะ ให้ข้าแนะนำที่เที่ยวดี ๆ ในเมืองหลวงกับพวกเจ้าไหม”

“เรื่องนี้ค่อยว่ากันอีกที เถ้าแก่หลิว ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็พาเด็กทั้งสองลงบันไดมา ยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่งแล้ว

เถ้าแก่หลิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เชิญพูด”

“ขอถามว่าที่พักของนายพลสวีอยู่ที่ใดหรือ” โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้อ้อมค้อม ถามออกไปตามตรง

เถ้าแก่ไม่คิดว่านางจะถามเรื่องนี้ สีหน้าจริงจังขึ้นมาในทันที

ใจโจวกุ้ยหลานเต้นไม่เป็นจังหวะ สัญชาตญาณบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

วินาทีต่อมา เถ้าแก่หลิวถอนหายใจ “เมื่อคืนจวนนายพลสวีมีมือสังหารเข้าไป ตอนนี้นายพลสวีเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้เลย!”

ในหัวโจวกุ้ยหลานมีเสียงดัง “หึ่ง ๆ ” แล้วขาวโพลนไปหมดทันที

สวีฉางหลิน…เกิดเรื่อง?!

“ท่านแม่?”

เสี่ยวรุ่ยอานดึงมือของแม่ตัวเอง เรียกด้วยน้ำเสียงเด็กน้อย

เสียงนี้ ก็ดึงสติของโจวกุ้ยหลานกลับมา นางก้มหน้ามองลูกทั้งสองของตัวเอง ฟันขบริมฝีปากแน่น ข่มร่างกายที่สั่นเทาของตัวเอง เผยอปากหลายครั้ง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

ลำคอราวกับถูกคนบีบรัดอย่างรุนแรง พูดอะไรไม่ออกสักคำ

“นี่ คนดีอย่างนายพลสวี ก็ไม่รู้ว่าใครคิดจะทำร้ายเขา หากเขาหายไป พวกข้าจะมีชีวิตที่สงบสุขก็คงไม่ง่าย เกรงว่าคงจะไม่มีแล้ว…”

เถ้าแก่พูดอย่างเป็นกังวล ไม่ได้ยินคำพูดโจวกุ้ยหลานเป็นเวลานาน เงยหน้ามองไป ก็เห็นโจวกุ้ยหลานราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไป ทั้งร่างยังคงสั่นเทา

“ลูกค้า?ท่านไม่เป็นอะไรใช่รึไม่” เขาถามอย่างประหม่า วินาทีต่อมา หันหน้าจะไปเรียกคนรับใช้ ทันใดนั้นหูก็ได้ยินผู้หญิงถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา “ที่พักของ…นายพลสวี…อยู่ที่ใด”

เถ้าแก่หลิวรีบบอกโจวกุ้ยหลานว่าไปอย่างไร แต่หัวโจวกุ้ยหลานก็จำอะไรไม่ได้เลย

สุดท้าย นางข่มให้สงบ พูดว่า “รบกวนเถ้าแก่ช่วยข้าวาดแผนได้หรือไม่”

เถ้าแก่หลิวพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า รีบหยิบพู่กัน และวาดแผนที่อย่างง่าย ส่งให้โจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานกลัวว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไม่ดี ไม่นานจะทำให้เด็กทั้งสองหลงหาย ก็เลยขอเชือกสองเส้นจากเถ้าแก่ มาผูกข้อมือเด็กทั้งสองไว้กับนาง แล้วสามคนแม่ลูกก็ออกไป

เมื่อพวกเขาออกไป เถ้าแก่หลิวส่ายหน้า แล้วไปทักทายแขกคนอื่น ๆ

โจวกุ้ยหลานมองแผนที่ในมืออย่างละเอียด แล้วไปตามทางที่เขียนไว้ เด็กทั้งสองก็เดินตามนางอย่างเชื่อฟัง

เมื่อพวกเขามาถึงจวนแห่งหนึ่ง ยามคุ้มกันสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเคร่งขรึม

โจวกุ้ยหลานชะงัก เดินไปหาหนึ่งในนั้น ปรับอารมณ์ตัวเอง แล้วคนผู้นั้นว่า “ขอถามว่าที่นี่คือที่พักของนายพลสวีหรือไม่เจ้าคะ”

ยามคุ้มกันมีสีหน้าประหม่า มองโจวกุ้ยหลาน “เจ้าเป็นผู้ใด”

“ข้า…” ชั่วครู่หนึ่งโจวกุ้ยหลานไม่รู้ว่าควรจะแนะนำตัวเองอย่างไรดี

วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงแบบเด็กน้อยของเสี่ยวรุ่ยหนิง “พวกข้ามาตามหาท่านพ่อ!”

ยามคุ้มกันทั้งสองส่งสายตาไปตัวเด็กทั้งคู่ สงสัยว่าหูตัวเองอาจมีบางอย่างผิดปกติไป

“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”

ยามคุ้มกันอีกคนอดไม่ได้ที่จะถาม

“มาตามหาท่านพ่อ!” รุ่ยหนิงตอบอย่างมั่นใจ

ยามคุ้มกันทั้งสองคนสบตา ทั้งคู่เห็นความสะดุ้งตกใจในดวงตาของกันและกัน

เมื่อถูกรุ่ยหนิงขัดจังหวะ โจวกุ้ยหลานก็ได้สติกลับมา สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดกับคนผู้นั้นว่า “ข้าคือภรรยาของสวีฉางหลิน ทั้งสองคนนี้คือลูกชายของเขา หากเจ้าไม่เชื่อ แค่เข้าไปถามข้างในก็รู้แล้ว”

ยามคุ้มกันทั้งสองดูสับสน คุณชายของพวกเขามีภรรยาและลูกชายแล้วจริงหรือ

เป็นไปได้อย่างไร

“พวกเจ้าอย่าก่อปัญหาให้จวนหู้กั๋วกงอย่างพวกข้าเลย มิฉะนั้น จะต้องจับพวกเจ้าเข้าคุก!”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าไปถามสักหน่อย หากไม่ใช่ค่อยลงโทษพวกข้า” โจวกุ้ยหลานไม่ยอมถอยเลยสักนิด

ยามคุ้มกันทั้งสองสับสนอีกครั้ง ทั้งคู่มองหน้ากันครู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นก็เข้าจวนไป ส่วนอีกคนมองดูทั้งสองคนตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวัง

ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกตมาก่อน แต่ตอนนี้ยิ่งมองเด็กน้อยทั้งสองคน ยิ่งรู้สึกว่าพวกเจาคล้ายคลึงคุณชายอยู่สามส่วน

หากเป็นเมล็ดพันธุ์ของคุณชายหว่านไว้ด้านนอกจริง ๆ …

ขณะคิด ใจเขาก็สั่น แอบมองสตรีที่อ้างว่าเป็นคุณฮูหยิน สตรีผู้นี้ดูดีทีเดียว หน้าตาสวยงาม ผิวพรรณขาวผ่อง เพียงแต่เสื้อผ้าที่บนกาย มองแล้วเหมือนมาจากชนบท ฮูหยิน… ฮูหยินมีรสนิยมอย่างนี้หรือ

ในหัวคิดอย่างสับสนอลหม่าน แต่ใบหน้ายังคงท่าทางที่เคร่งขรึมไว้อยู่

โจวกุ้ยหลานเองก็ประหม่าเล็กน้อย มือทั้งสองข้างจับมือเล็ก ๆ ของเด็กทั้งสองไว้แน่น

“ท่านแม่ มือท่านเหงื่อออกแล้ว”

เสี่ยวรุ่ยหนิงกล่าวกับโจวกุ้ยหลานอย่างซื่อตรง

โจวกุ้ยหลานส่งเสียงว่า “อืม” ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดอะไรกับเด็ก ๆ ในตอนนี้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ยามคุ้มกันที่เดินเข้ามาในที่สุดก็ออกมา แต่ในขณะนั้น สีหน้าของเขาก็เฉยชาออกมา

“พวกเจ้าเป็นผู้ใด ถึงแอบอ้างเป็นภรรยาและลูกของนายพล คิดฉวยโอกาสแอบอ้างตอนคุณชายไม่ได้สติใช่หรือไม่”

“อะไรนะ สวีฉางหลินกำลังสลบไม่ได้สติหรือ” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา