บทที่ 351 หอบผ้าหนีตามกัน

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 351 หอบผ้าหนีตามกัน

เสี่ยวจิ้งคงกลับบ้านเอาตอนฟ้ามืด ยามก้าวเข้ามาเขาสูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์ของตัวเอง จะให้เจียวเจียวเห็นสีหน้าเศร้าหมองที่เสียลูกคิดทองคำไปไม่ได้

เขาจิ้มลักยิ้มของตัวเอง เผยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเดินเข้าในเรือนอย่างน่ารักน่าชัง

กู้เจียวผ่าฟืนและจัดระเบียบวัตถุดิบยาเรียบร้อยแล้ว พอเหลียวไปมองก็เห็นเจ้าหนูน้อยกระโดดโลดเต้นเข้ามา

“กลับมาแล้วหรือ” นางเอ่ย

“อืม!” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งเข้าไปหา ยืนแขนสั้นป้อมออกมา “เจียวเจียว ข้าช่วยเจ้าถือ”

“เจ้าถืออันนี้ก็แล้วกัน” กู้เจียวใช้กระบวยตักวัตถุดิบยาออกจากตะกร้า

“ได้เลย!” เสี่ยวจิ้งคงถือกระบวยน้อย ระวังไม่ให้วัตถุดิบยาร่วงแม้แต่ชิ้นเดียวพลางเดินไปที่ห้องโถง

หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจียวก็ไปเก็บข้าวของให้กับเสี่ยวจิ้งคง

เจ้าหนูน้อยมักจะรื้อของกระจุยกระจายอยู่เสมอ ไม่เคยจะเก็บเข้าที่เข้าทาง

ทว่าคราวนี้กู้เจียวกลับพบว่ามีบางสิ่งหายไป

สมบัติของจิ้งคงนั้นจะถูกเก็บไว้ในกล่องแยกกันต่างหาก ปกติแล้วกู้เจียวจะไปเปิดกล่องพวกนั้น ไม่ใช่เพราะเห็นว่าเป็นของผุพัง แต่เป็นเพราะนางเคารพความเป็นส่วนตัวของเด็ก

ทว่ามีของบางอย่างที่ตั้งตระหง่านให้เห็น

เด่นชัด อย่างเช่น ลูกคิดทองคำ

“จิ้งคง” กู้เจียวเรียกเขา

“หือ” เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังจัดแถวให้กับลูกไก่อยู่กลางโถงก็เดินเข้ามา พลางเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเจียวเจียว”

“ลูกคิดเจ้าหายไปไหนแล้ว” กู้เจียวถามอย่างสงสัย

ดวงตาของเสี่ยวจิ้งคงเลิ่กลั่ก “ข้าวางไว้ที่โรงหมอน่ะ!”

“’งั้นหรือ” กู้เจียวนึก “แต่วันนี้ข้าเพิ่งจะจัดระเบียบกล่องที่โรงหมอ แต่ไม่เห็นลูกคิดของเจ้าเลย”

เสี่ยวจิ้งคงมองซ้ายมองขวาเอ่ยขึ้นต่อ “อ๋อ เมื่อกี้ข้าลืมไปน่ะ ข้า…ให้พี่ฉู่อวี้ยืมไปน่ะ! เขาบอกว่าเดี๋ยวจะเอามาคืน”

น้อยนักที่จิ้งคงจะโกหก เขานั้นน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุนี้กู้เจียวจึงไม่สงสัยเขา

หลังออกมาจากห้องฝั่งตะวันออก เสี่ยวจิ้งคงก็ยกมือขึ้นทาบออก ก่อนจะถอนหายใจยาว

ตกใจแทบแย่แหนะ เกือบถูกเจียวเจียวจับได้แล้วไหมล่ะ โชคที่เรานั้นไหวพริบดี

ค่ำวันนั้นสายฝนเทลงมา องครักษ์ลับของกู้เหยี่ยนกลับมารายงาน บอกว่าถนนสัญจรลำบาก กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นจึงค้างที่เรือนของแม่นางเซียงหนานและอาจารย์หลู่ เช้าพรุ่งนี้ทั้งสองจะตรงไปยังสำนักบัณฑิตชิงเหอจากที่นั่นเลย

เซียงหนานและอาจารย์หลู่นั้นเอ็นดูกู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนมาก กู้เจียวนั้นวางใจ จึงหาเสื้อผ้าสองชุดให้กับองครักษ์เพื่อนำไปให้น้องชายทั้งสอง

ทว่าอีกฟากหนึ่ง ท่านเหล่าโหวที่ได้รับคำปลุกใจจากกู้เหยี่ยนและกู้เจียว ก็รู้สึกว่าตัวเองมีคนหนุนหลังอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน เขามีชีวิตอยู่เพื่อแคว้นเจา เพื่อตระกูลโหวมาเกือบชั่วชีวิตแล้ว มีเพียงยามอยู่ในสนามรบที่เขาฆ่าคนโดยไม่เกรงกลัวใคร แต่ยามเป็นเรื่องของหัวใจนั้นเขากลับไม่กล้าแม้แต่นิด

เขาอยู่ในกฎระเบียบมาทั้งชีวิต เคร่งครัดในวินัย ทว่าอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี จึงไม่อยากจากโลกนี้ไปโดยยังมีสิ่งที่ติดค้างอยู่

ยิ่งใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นนานเท่าใด ก็ยิ่งทำให้นานต้องทุกข์ทรมานใจนานเท่านั้น

ชีวิตที่เหลืออีกไม่รู้กี่วันนี้ เขาไม่อยากให้นางต้องเสียใจอีกต่อไป

โชคดีที่วางรางฐานฝึกไพร่พลทหารให้แก่ฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว กู้ฉังชิงเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จวนโหวเองก็มีผู้สืบทอดแล้ว เท่านี้เขาก็ตายตาหลับแล้ว

“ไปเรียกซื่อจื่อมา” ท่านเหล่าโหวสั่ง

“ขอรับ” บ่าวหนุ่มไปยังเรือนของกู้ฉังชิง แล้วพากู้ฉังชิงมา

กู้ฉังชิงมองท่านเหล่าโหวที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าที่ต่างไปจากเคย พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ท่านปู่มีธุระอันใดกับข้าหรือ”

ท่านเหล่าโหวจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเขา นี่คือหลานชายที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ตัวเขาทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดให้กับหลานคนนี้ ทุ่มเทให้ยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างกู้ฉงด้วยซ้ำ

ทว่ากู้ฉังชิงนั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เติบใหญ่เป็นอย่างที่เขามุ่งหวังไว้

ท่านเหล่าโหวยื่นแผ่นป้ายอาญาสิทธิ์ที่หน้าตาต่างกันสองอันให้กับเขา อันแรกเป็นป้ายอาญาสิทธิ์ของกองทหารประจำตระกูลกู้ อีกป้ายหนึ่งเป็นป้ายอาญาสิทธิ์ของกองทหารลับ

“ท่านปู่หมายความว่าอย่างไร” กู้ฉังชิงถามด้วยความสงสัย

ท่านเหล่าโหวมองเขา เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “เจ้าโตแล้ว มีภาระหน้าที่บางอย่างที่ควรส่งทอดให้เจ้าแล้ว ข้าอาจจะอยู่ไม่ถึงวันที่ทหารตระกูลกู้รัวกลองชักธง แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เห็นวันนั้น”

“เหตุใดท่านถึงจะไม่ได้เห็น” กู้ฉังชิงถามเสียงเรียบ

ท่านเหล่าโหวอยากจะพูดต่อแต่กลับหยุดเพียงเท่านั้น เขากำมุมโต๊ะแน่นพลางเอ่ย “ข้ามีสิ่งที่ต้องทำ เจ้าไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ”

กู้ฉังชิงหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ท่านปู่มีเรื่องที่ต้องทำ เหมือนกับเรื่องเมื่อตอนนั้นน่ะหรือ!”

พูดจบ เขาไม่รอให้ท่านเหล่าโหวถามว่าเขาหมายถึงเรื่องใด ก็หันหลังเดินออกไปแล้ว

ส่วนป้ายอาญาสิทธิ์เขาก็เก็บไปแล้วเช่นกัน

เขาคือชายตระกูลกู้คนหนึ่ง ไม่ว่าสิทธิ์หรือหน้าที่ใดเป็นของเขา เขาย่อมรับผิดชอบอย่างสุดกำลัง

ท่านเหล่าโหวมองแผ่นหลังของหลานชายที่เดินจากไปอย่างแน่วแน่ จากนั้นก็ถอดหายใจอย่างจนใจ

หลังจากนั้นเขาก็ให้บ่าวไปเรียกกู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลินมาหา

ทุกคนล้วนเป็นหลานชายของเขา เขาย่อมเอ็นดูเหมือนกันหมด เพียงแต่ไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนกู้ฉังชิง แล้วก็ไม่ได้เอาอกเอาใจเท่ากู้เหยี่ยน

คาดว่าคงเป็นเพราะทั้งสองไม่สุดโต่งทางใดทางหนึ่ง ไม่ได้เก่งกาจเหมือนกู้ฉังชิง แล้วก็ไม่ได้ร่างกายอ่อนแอเหมือนกู้เหยี่ยน ความใส่ใจที่ได้รับจึงน้อยกว่า

แต่พอถึงวันต้องจากลากันจริงๆ ท่านเหล่าโหวกลับตัดใจไม่ลง

เขามองหลานทั้งสองคน เดิมทีตั้งใจจะว่าพูดอะไรปลุกใจระหว่างปู่กับหลานสักหน่อย แต่พอเห็นผมเส้นหนึ่งที่งอกออกมาจากหัวโล้นเกลี้ยงของกู้เฉิงหลิน มุมปากเขาก็กระตุกยิก!

ปลุกใจไม่ไหวแล้ว!

เขามองป้ายอาญาสิทธิ์ป้ายหนึ่งให้กับทั้งสองคน บวกกับทรัพย์สินบางส่วนของตระกูล สมบัติของตระกูลนั้นให้กู้ฉังชิงเป็นผู้ดูแลไปพลางก่อน รอทั้งสองเติบใหญ่มีครอบครัวเป็นของตัวเองเมื่อใดค่อยถ่ายโอนมาให้พวกเขา

เขามีของที่จะมอบให้กู้เหยี่ยนเช่นกัน ยามนี้อยู่ในมือขององครักษ์ลับแล้ว รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยมอบให้กู้เหยี่ยน

ส่วนกู้เจียวนั้นแต่งออกเรือนไปแล้ว หญิงสาวที่ออกเรือนแล้วก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป เขาไม่ได้ให้ป้ายอาญาสิทธิ์แก่นาง แต่ก็เห็นแก่กู้เหยี่ยน จึงมอบเงินให้นางก้อนหนึ่ง

แล้วอยู่ในมือขององครักษ์ลับเช่นกัน

ท่านโหวกู้ไปซ่อมถนนหนทาง ไม่อยู่ที่จวน

ท่านเหล่าโหวจึงลืมลูกชายล่องหนผู้นี้ไปเสียสนิท

หลังจากส่งมอบทุกสิ่งแล้ว ท่านโหวกู้ก็ออกจากจวนโหวกลางดึกคืนนั้น

กู้เฉิงหลินมองป้ายอาญาสิทธิ์ที่ไม่รู้ว่าใช้งานอย่างไรในมือของตนเอง ในหัวมึนงงไปหมด “พี่รอง ท่านรู้สึกไหมว่าวันนี้ท่านปู่ดูแปลกๆ”

กู้เฉิงเฟิงมองป้ายอาญาสิทธิ์ ก่อนจะมองท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ขอบเขต เอ่ยขึ้นราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ “ก็แปลกอยู่เหมือนกัน”

คืนเดือนมืดลมแรงนัก

ความวุ่นวายของเมืองหลวงในยามกลางวันมลายหายไป เหลือเพียงแค่เมืองอันเงียบสงัด

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เงาดำของร่างหนึ่งลอยตัวไปตามกำแพง แฝงตัวเข้าไปในวังหลวงราวกับภูตผี

ทหารเวรยามขบวนหนึ่งเคลื่อนผ่าน

ตั้งแต่เกิดเหตุลอบทำร้ายจิ้งไท่เฟยในวันนั้น ภายในวังหลวงก็ตรึงกำลังแน่นหนายิ่งกว่าเคย คนในกองทหารองครักษ์ลับก็มีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“เอ๊ะ เมื่อครู่เจ้าไปด้วยเสียงอะไรหรือไม่” ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

สหายของเขาเอ่ยขึ้น “ไม่ได้ยินนะ พวกเจ้าได้ยินหรือไม่”

สหายที่เหลือต่างส่ายหน้า

ทหารรักษาพระองค์คนแรกเกาหัวอย่างมึนงง “เช่นนั้นข้าคงหูฝาดไป” เขาเหลียวกลับไปมองกำแพงวังที่แน่นหนาดังทั่งทอง นอกจากพวกเขาที่ออกลาดตระเวนแล้ว รอบกำแพงทั้งสี่ทิศก็มียอดฝีมือของวังหลวงและองครักษ์ลับของราชสำนักซ่อนตัวอยู่

หากมีผู้ใดลักลอบเข้ามาจริง คงไม่มีทางหนีพ้น

“ไปกัน ไปกัน! เดินหน้าลาดตระเวนต่อ!”

เหล่าทหารรักษาพระองค์เดินแถวมุ่งไปข้างหน้า

หลังจากพวกเขาเดินผ่านไปไม่นาน เงาร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ก็ลอยตัวมุ่งไปทางตำหนักหวาชิง

เขาคุ้นเคยกับการรักษาความปลอดภัยในวังหลวงเป็นอย่างดี จึงหลุดรอดจากสายตาของทหารรักษาพระองค์และเหล่ายอดฝีมือมากได้ ก่อนจะเข้าไปในตำหนักฮว๋าชิงอย่างง่ายดาย

จิ้งไท่เฟยกำลังนั่งคุกเข่าเคาะไม้สวดมนต์อยู่กลางห้อง

ทันใดนั้นเองเงาดำนั้นก็พุ่งพรวดเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังของนาง

ทว่าขณะที่เงาร่างนั้นอยู่ห่างจากนางเพียงสามก้าว เงาร่างของอีกร่างหนึ่งก็โรยตัวลงมาจากคาน ในมือถือกระบี่ยาวเงาวับ ก่อนจะขวางหน้าเขาไว้

องครักษ์หลงอิ่ง

ท่านเหล่าโหวประหลาดใจยิ่งนัก

“หยุด!” จิ้งไท่เฟยเอ่ยขึ้น

องครักษ์หลงอิ่งเก็บกระบี่ลง

“ออกไป” จิ้งไท่เฟยสั่ง

องครักษ์หลงอิ่งเหาะออกไปจากหน้าต่าง

ท่านเหล่าโหวรู้ว่าเป็นองครักษ์หลงอิ่ง พวกเขาคือหน่วยกล้าตายที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนซื้อตัวมาจากแคว้นเยียน ฝึกหัดกันอย่างลับๆ จนกลายเป็นองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อน

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นองครักษ์หลงอิ่งรอบกายจิ้งไท่เฟย

“เจ้า…”

จู่ๆ เขาก็ชะงักไป

หากฝ่าบาทมอบองครักษ์หลงอิ่งให้แก่นาง เป็นไปได้ว่าชีวิตของนางไม่ได้ลำบากทุกข์ทนอย่างที่เขาคิด

“เจ้ามาได้อย่างไร” จิ้งไท่เฟยจ้องมองเขา

ท่านเหล่าโหวสบสายตากับนาง นานกว่าจะหาเสียงของตัวเองพบ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกลอบทำร้ายในวังหลวง เกือบถูกลอบสังหารเพราะมอบที่เซวียนผิงโหวนำมามอบให้”

เซวียนผิงโหวเป็นคนสืบคดีนี้อย่างเปิดเผย ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วราชสำนักต่างรู้กัน

ท่านเหล่าโหวไม่เชื่อว่าเซวียนผิงโหวจะรวมหัวกับจี้จิ่วอาวุโสเพื่อลอบทำร้ายจิ้งไท่เฟย ทว่าเรื่องนี้น่ากลัวตรงที่คนร้ายซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ยากที่จะตั้งรับ

จิ้งไท่เฟยหลุบตาลง ก่อนจะทอดถอนใจ “ข้าไม่เป็นไร”

นางวางไม้เคาะลงบนโต๊ะดังเดิม

ท่านเหล่าโหวเห็นบาดแผลบนหลังมือของนาง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าบาดเจ็บรึ!”

จิ้งไท่เฟยก้มลงมองมือ ใช้แขนเสื้อคลุมหลังมือเอาไว้ “บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

“ใช่ฝีมือของตำหนักเหรินโซ่วผู้นั้นหรือไม่” ท่านเหล่าโหวคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าคนที่ไม่ต้องการให้จิ้งไท่เฟยกลับมาที่สุดก็มีเพียงจวงไทเฮา

เรื่องราวทั้งหมด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแผนลับของจวงไทเฮาทั้งนั้น

จิ้งไท่เฟยหลบตาลง ก่อนจะหัวเราะเสียงขื่น “ไม่มีหลักฐาน เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล.. พวกเราสู้นางไม่ได้หรอก”

ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของนาง ยิ่งทำให้ท่านเหล่าโหวเลือดเดือดพล่าน

หากเป็นท่านเหล่าโหวในสมัยก่อน เขามาถึงที่แล้วคงไม่มีทางรีรอ พุ่งตัวไท่ตัวสังหารจวงไทเฮาที่ตำหนักเหรินโซ่วเพื่อแก้แค้นให้นาง

ทว่าท่านเหล่าโหวในยามนี้ต้องการจะพาจิ้งไท่เฟยหนีออกไป เขาเป็นที่หากมีแผนการแล้วต้องยึดมั่นตามแผน ส่วนจวงไทเฮานั้นค่อยสังหารเอาคราวหน้าก็ได้

เขาสูดหายใจลึกพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าเห็นองครักษ์หลงอิ่ง ยังลังเลอยู่ว่าควรเข้ามาดีหรือไม่ แต่ในเมื่อนางทำเกิดเหตุเช่นนี้ เจ้าคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าหนีไปตอนนี้!”

จิ้งไท่เฟยมึนงง “ว่า…ว่าอย่างไรนะ”

ท่านเหล่าโหวเอ่ย “เจ้าวางใจได้ แค้นของเจ้าข้าจะเป็นคนชำระให้เอง และข้าเองก็จะไม่ทำร้ายความรู้สึกของเข้าอีกต่อไป ตอนนี้ข้าจะมาพาเจ้าหนีไป”

พูดจบก็คว้าข้อมือจิ้งไท่เฟยวิ่งออกไปข้างนอก

ทั้งสองมาถึงหน้าประตูและบังเอิญเจอกับฮ่องเต้ที่มาเยี่ยมจิ้งไท่เฟยพอดี