War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1810
ตอนที่ 1,810 : มีเรื่อง

“แบบนี้…ไม่ใช่ว่าผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างเสมือนถูกผู้คนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องบนกีดกันหรือทอดทิ้งอะไรทำนองนั้นหรือผู้เฒ่าหั่ว”

จากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเล่ามา ต้วนหลิงเทียนก็พอจับประเด็นบางอย่างได้

“กล่าวไป 8 ใน 10 ก็สมควรเป็นเช่นนั้น…”

ผู้เฒ่าหั่วพยักหน้า ก่อนที่จะลาต้วนหลิงเทียนเพื่อขึ้นไปซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

เนื่องจากเขาพบจุดรอคอย เช่นนั้นช่วงนี้ก็ยากที่จะบ่มเพาะพลังอะไรต่อได้ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดดันทุรังบ่มเพาะต่อ เลือกที่จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาหยุดยืนอยู่ในห้อง สักพักก็เดินออกมานอกบ้านหมายผ่อนคลายอารมณ์ “ว่าแต่…ช่วงนี้นางเป็นไงบ้างนะ?”

การที่จ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีทรยศตำหนักฟ้าลี้ลับ หวังชิงเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอย่างเคล็ดมารกลืนหยิน…สมควรเป็นระเบิดห่าใหญ่สำหรับลูกศิษย์แล้วจริงๆ!

และหวางเฟยเซวียนเองก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของจูลู่ฉีเช่นกัน

ต้วนหลิงเทียนไปหาหวางเฟยเซวียนที่บ้านก่อน แต่เขาพบว่าบ้านนางว่างเปล่าร้างผู้คน

“ไปไหนนะ บ้านก็ไม่อยู่…”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาไม่กี่รอบ เตรียมตัวเดินกลับ

ทว่าตอนนี้เองพลันมีศิษย์หลายคนกำลังเหินร่างผ่านมา คล้ายพวกมันรีบร้อนไปที่ไหนสักแห่ง

แม้จะเหินร่างกันเร็วไม่น้อย แต่ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ยินบทสนทนาของพวกมัน

“รีบไปเร็วเข้า! ชักช้าเดี๋ยวได้อดดูกันพอดี…หากพวกเจ้าทำข้าพลาดเรื่องสนุกสนานข้าจะทุบตีพวกเจ้าแทน!”

ศิษย์วังนภาคนหนึ่งหันไปบ่นสหายอีกคนที่เหินร่างตามหลัง

“ใจเย็นพวก ข้าก็รีบอยู่นี่ไง…ว่าแต่เรื่องนี้ไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ? ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นตัวอาจารย์กระทำ ไฉนต้องพาลไปลงกับศิษย์ด้วยเล่า…แถมคนสกุลจ้าวผู้นั้นเห็นว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วมิใช่หรือไร…มารังแกคนอื่นแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่ผิดกฏหรือ?!”

“ไม่น่า…ถึงมันจะทะลวงผ่านอริยะเซียนแล้ว แต่เจ้าอย่าลืมว่ามันพึ่งทะลวงผ่าน ยังไม่ทันขึ้นทะเบียนในรายนามฟ้าลี้ลับ กระทั่งยังไม่ได้ทำเรื่องขึ้นตำหนักหลัก เช่นนั้นมันก็ถือว่ายังมีสถานะเป็นศิษย์วังลี้ลับอยู่…ศิษย์วังลี้ลับทุบตีศิษย์วังนภายังจะผิดกฏอะไร?”

“งั้นคราวนี้พวกนั้นแย่แน่ ศิษย์ส่วนตัวของจ้าววังนภาที่บรรลุอริยะเซียนไปแล้วก็ไม่อาจลงมาช่วยเหลือได้ เพราะนั่นจะถือว่าผิดกฏตำหนักฟ้าลี้ลับที่ว่าห้ามมิให้ศิษย์ตำหนักหลักลงมือกับศิษย์ของ 4 วัง”

แม้จะไม่ชัดเจนแต่จากวาจาที่ทั้งหลายสนทนากัน ต้วนหลิงเทียนก็สามารถจับประเด็นได้!

‘ศิษย์ตระกูลจ้าวคิดหาเรื่องศิษย์จ้าววังนภางั้นเหรอ แถมคนที่มาหาเรื่องยังพึ่งบรรลุอริยะเซียนขั้นต้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เลยยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเปลี่ยนสถานะ หรือติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับอะไร?’

ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นมาทันที ‘ดูเหมือนมันคิดใช้พลังขอบเขตอริยะเซียนรังแกผู้คน ยังจะหยามเหยียดศิษย์จ้าววังนภางั้นสิ…อย่าบอกข้านะว่าหวางเฟยเซวียนเองก็อยู่นั่นด้วย?’

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนพลันวูบร่างตามศิษย์กลุ่มนั้นไปทันที

เขาไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับศิษย์วังนภาคนอื่นมากนัก ทั้งไม่ได้คิดจะยุ่งอะไรเรื่องที่ศิษย์จ้าววังนภาถูกทุบตีรังแก

ทว่าตอนนี้เขาสงสัยว่าสาเหตุที่หวางเฟยเซวียนไม่อยู่บ้าน เพราะนางอาจไปมีเรื่องมีราวอะไรที่ว่ากับเค้าด้วย…ในเมื่อนางเองก็เป็นศิษย์ส่วนตัวคนหนึ่งของจูลู่ฉี!

ศิษย์วังนภาที่เร่งรุดเดินทาง ไม่นานก็สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนพุ่งร่างตามมา

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนจงใจตามพวกมันมา อย่างที่ไม่ได้คิดจะซ่อนตัวอะไร

“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”

“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”

หลังจากที่พบว่าผู้ที่พุ่งร่างตามมาเป็นต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดก็หยุดร่างลงและทักทายด้วยความเคารพทันที

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเข้าร่วมวังนภาช้ากว่าพวกมันแถมมีอายุเยาว์กว่า ทว่าพวกมันก็ให้การยอมรับนับถือเรียกหาว่าศิษย์พี่โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ…

นั่นเพราะแม้ต้วนหลิงเทียนจะอายุน้อยกว่าพวกมัน แต่พลังฝีมือกลับสูงกว่า! ยังสูงกว่าพวกมันมาก!!

เช่นนั้นพวกมันจึงเรียกหาว่าศิษย์พี่ด้วยความเคารพ!!

“อ่า พวกเจ้าสบายดีนะ”

เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นการทักทาย เขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทักทายกลับ

รอยยิ้มของต้วนหลิงเทียนนี้ ทำให้หลายๆคนรู้สึกเสมือนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดพามาอย่างไรอย่างนั้น…

พวกมันยังอดคิดไปไม่ได้ ‘ศิษย์พี่หลิงเทียนผู้นี้ ที่แท้กลับมิได้หยิ่งยะโสถือดีอันใด นับว่าคนละเรื่องกับพวกตัวบัดซบที่พลังฝึกปรือสูงเข้าหน่อยก็เอาแต่มองเหยียดดูแคลนผู้อื่นนัก’

“ว่าแต่เมื่อกี้พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ ข้าได้ยินแว่วๆว่าศิษย์สกุลจ้าวรังแกศิษย์ของจ้าววังนภาจูลู่ฉีอยู่งั้นเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

เนื่องจากอัธยาศัยอันดีและท่าทางแลดูไม่ถือตัวของต้วนหลิงเทียน ทำให้ศิษย์ทั้งหลายประทับใจไม่น้อย รู้เท่าไหร่บอกหมด

ที่แท้ศิษย์วังลี้ลับกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนของสกุลจ้าว บุกมารังแกศิษย์ของจูลู่ฉี โดยใช้ข้ออ้างว่า ‘มาจัดการเก็บกวาดคนทรยศ’ และตอนนี้ก็เผชิญหน้ากันได้สักพักแล้ว อีกไม่นานคงได้ยกพวกตีกันแน่นอน

ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฏการลงมือทุบตีทำร้ายผู้อื่นนั้น…ขอเพียงไม่ถึงขั้นตกตายกับพิการล้วนกระทำได้ไม่มีปัญหา!

“ศิษย์พี่หลิงเทียนท่านเองก็สนิทกับศิษย์พี่หวางเฟยเซวียน ข้าเห็นว่านางเองอยู่กับศิษย์คนอื่นๆของจ้างวังจูด้วย ตอนนี้ข้ากลัวว่านางกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่”

หนึ่งในศิษย์วังนภากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน

ศิษย์วังนภาคนนี้เป็นคนที่ย้อนกลับมาตามเพื่อนหลังพบว่ามีเรื่องราวสนุกสนานน่าดูชมเกิดขึ้นบนยอดเขาวังนภา

‘ว่าแล้วเชียว…นางไปลุยกับคนอื่นด้วยจริงๆ’

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ เร่งรุดเหินร่างไปยังยอดเขาวังนภาทันที

เนื่องจากคนของสกุลจ้าวกับศิษย์ของจูลู่ฉีเจอกันแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานได้ยกพวกตีกันบนยอดเขาวังนภาแน่นอน

และเมื่อต้วนหลิงเทียนขึ้นมาถึงยอดเขาวังนภา เขาก็แลเห็นเหล่าศิษย์มารวมตัวกันมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนผู้คนที่เหินมาดูชมเรื่องราวยิ่งมาก็ยิ่งมาก แถมไม่ได้มีแต่ศิษย์วังนภากับวังลี้ลับ วังปฐพีกับวังเหลืองก็มาดูชมเรื่องราวด้วยเช่นกัน!

และพื้นที่ตรงกลางลานบนยอดเขาที่ทุกคนเว้นว่างไว้ ก็ปรากฏร่างกลุ่มคน 2 กลุ่มเผชิญหน้ากันอยู่

ฝั่งหนึ่งมี 5 คน

อีกฝั่งมี 4

สายตาต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังฝั่งที่มี 4 คนทันที เพราะเขาพบว่าในนั้นมีหวางเฟยเซวียนรวมอยู่ด้วย

และตอนนี้หวางเฟยเซวียนกำลังถลึงตามอง 5 คนเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้ายเอาเรื่อง ทั้ง 5 นั่นก็เป็นคนของสกุลจ้าวทั้งสิ้น!

“จ้าวจี้?”

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่า ในบรรดา 5 คนของสกุลจ้าว กลับมีจ้าวจี้รวมอยู่ด้วย มันกำลังยืนอวดเบ่งวางท่าตามระเบียบ

“จ้าวจี้! มิใช่ข้ากล่าวบอกเจ้าไปชัดเจนแล้วหรือไร ว่าทุกสิ่งที่อาจารย์ของเรากระทำ พวกเรามิมีส่วนรู้เห็นอันใดด้วยเลย! นอกจากนี้ใต้เท้าเฉินผิงเชิงจ้าววังเหลืองยังกล่าวบอกเอง ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้กล่าวโทษพวกเราสำหรับความผิดของท่านอาจารย์!”

ชายวัยกลางคนที่แลดูแข็งแกร่งคนหนึ่งกล่าวคำกับจ้าวจี้ และชายวัยกลางคนแลดูแข็งแกร่งนี้ก็ยืนอยู่ข้างๆหวางเฟยเซวียน

“หงกังคำพูดนั้น…มิว่าผู้ใดก็สามารถพูดได้! เจ้ามีหลักฐานอันใดมายืนยันเล่าว่าเจ้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ? ข้าคิดว่าที่จูลู่ฉีมันหนีไปได้ภายใต้สายตาของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 แบบนี้..9 ใน 10 ส่วนล้วนมีพวกเจ้ารู้เห็นเป็นใจ!”

จ้าวจี้เชิดหน้าแสยะยิ้มกล่าวออกด้วยสายตาเยาะเย้ย

ทั้ง 4 คนที่อยู่เบื้องหน้าของมันตอนนี้ล้วนเป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าววังนภา จูลู่ฉี ทั้งสิ้น

หากเป็นปกติแล้วมันคงไม่มาหาเรื่องศิษย์ของจูลู่ฉีแบบนี้ เพราะไม่เพียงแต่มันกับจูลู่ฉีจะร่วมมือกันแต่มันยังคร้านจะสนใจ

อย่างไรก็ตามเหตุผลที่มันมาหาเรื่องอีกฝ่าย เพราะจ้าวจินปู่ของมันกล่าวแนะ

ปู่มันกล่าวบอกมาว่า ให้มันพาคนสัก 2-3 คนมาทุบตีศิษย์จูลู่ฉี

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้บุตรใช้หนี้แทนบิดา’

ถึงแม้จูลู่ฉีจะไม่ใช่บิดาของพวกมันทั้ง 4 แต่เป็นอาจารย์วันหนึ่งก็เหมือนเป็นบิดามารดาไปจนตาย

จ้าวจี้รู้ดีว่าที่ปู่ให้มันกระทำแบบนี้ เพื่อที่จะล่อให้จูลู่ฉีปรากฏตัวออกมา เพื่อที่จะได้จับกุม

ถึงแม้เรื่องนี้ฟังแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ลองกระทำก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย…

“เจ้าพล่ามเหลวไหลอันใด!?”

“ท่านอาจารย์คิดอะไรพวกเราไม่เคยรู้เรื่องด้วยซ้ำ!”

“จ้าวจี้เจ้าอย่าได้กล่าววาจาปั้นน้ำเป็นตัวป้ายสีพวกเรา!”

……

ตอนนี้ไม่เพียงแต่หงกัง อีก 3 คนที่เหลือไม่เว้นหวางเฟยเซวียนเองก็โพล่งคำออกมาด้วยโทสะ เพราะคำกล่าวหาของจ้าวจี้มันเหลวไหลเกินไป!

มีพวกมันรู้เห็นเป็นใจ? จะไปรู้เห็นบัดซบอะไรได้!!

“นายน้อยไฉนต้องเปลืองวาจากล่าวกับคนทรยศเช่นพวกมัน! ในเมื่อพวกมันไม่ยอมรับผิด ข้าจะทุบตีลงโทษพวกมันแทนอาจารย์ทรยศ คอยดูไปเถอะ…ว่าพวกมันจักทำเป็นผู้ร้ายปากแข็งได้นานเท่าใด?!”

ชายวัยกลางคนเคราดกด้านหลังจ้าวจี้กล่าวออกมาพร้อมหัวเราะร่า มันว่ายตามองหวางเฟยเซวียน หงกังและอีก 2 คนด้วยสายตาเย้ยหยัน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกล่าวมาแบบนี้ สีหน้าหงกังมืดลงทันใด ยังกล่าวออกมาด้วยโทสะ “จ้าวคุนหากไม่ใช่เพราะเจ้าโชคดีทะลวงผ่านไปยังอริยะเซียนขั้นต้นได้ก่อนข้า เจ้ายังจะกล้ามาทำตัวกร่างต่อหน้าข้าเช่นนี้หรือไม่? ข้าหงกังขอสาบานเอาไว้ตรงนี้เลย วันนี้หากเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์น้องของข้า ข้าจะไม่มีวันเลิกราเรื่องนี้แน่หากข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น!”

ถึงแม้พลังฝีมือของจ้าวคุนก็นับว่าไม่เลวในตอนที่ยังไม่บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้น แต่มันก็ไม่อาจเทียบชั้นหงกังได้เลย

ตอนนี้เพียงเพราะจ้าวคุนทะลวงผ่านได้ก่อนเท่านั้น จึงทำให้หงกังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“เจ้าตัดผ่านอริยะเซียนแล้วเป็นอย่างไรข้าไม่รู้…ข้ารู้แต่วันนี้เจ้า หงกัง ต้องหมอบกราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า!”

จ้าวคุนกล่าวจบก็แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

“นายน้อยจี้…”

อย่างไรก็ตามถึงแม้จ้าวคุนอยากลงมือทุบตีผู้คนมากเพียงไหน แต่มันก็ต้องขออนุญาตจ้าวจี้ก่อน เพราะมีอีกฝ่ายมาด้วยแบบนี้ มันไม่สามารถข้ามหน้าข้ามตาทำอะไรเองได้

เมื่อเห็นว่าจ้าวจี้พยักหน้า ร่างจ้าวคุนก็ปะทุพลังออกมาทันใด มันย่ำเหยียบลงพื้นอย่างแรง ระเบิดพลังร้ายกาจขุมหนึ่งส่งร่างตัวเองพุ่งทะยานเข้าหาหงกังปานพายุซัด!

มันผ่านพ้นไปที่ใด แห่งนั้นบังเกิดเสียงแตกระเบิดของอากาศดังสนั่นไม่หยุด!

ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม!

จ้าวคุนคล้ายกับกลายเป็นพายุก็ไม่ปาน สายลมแรงซัดกวาดไปทั่ว เสื้อผ้าผู้คนโดยรอบกระพือสะบัดวุ่นวาย!

“ต่อหน้าศิษย์พี่จ้าวคุนที่บรรลุถึงอริยะเซียนแล้ว ต่อให้เป็นหงกังก็ยากที่จะรับมือไหว…”

“เหอะๆ…อย่าว่าแต่หงกังผู้เดียวเลย ให้อีก 3 คนกลุ้มรุมก็ยากที่จะรับมือศิษย์พี่จ้าวคุนได้”

“ศิษย์พี่จ้าวคุนลงมือเช่นนี้ พวกเราคงมิต้องลงมือทำอะไรแล้ว”

อีก 3 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้าวจี้เริ่มกล่าวออกมาด้วยความสนุกสนาน แววตาแลดูเริงร่าคล้ายกำลังดูการแสดงหรรษา

“ศิษย์พี่หงระวังตัว!”

“ศิษย์พี่ระวัง!”

……

เมื่อเห็นว่าจ้าวคุนลงมือเคลื่อนไหว สีหน้าหวางเฟยเซวียนกับศิษย์อีก 2 คนของจูลู่ฉีหน้าเสียทันที ต่างเร่งกล่าวเตือนหงกังด้วยความเคร่งเครียด ทั้งแต่ละคนยังปะทุพลังสุดตัวหมายช่วยหงกังรับมือจ้าวคุน

พวกมันรู้ดี ถึงแม้ศิษย์พี่หงกังของพวกมันจะร้ายกาจเพียงใด แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือหงกังที่พลังฝึกปรือพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น!

“คิดร่วมมือกันงั้นรึ ? มาเถอะ! ข้าต่อให้พวกเจ้ามัดรวมกันเลย!!”

เห็นหวางเฟยเซวียนกับศิษย์จูลู่ฉีอีก 2 คนปะทุพลังเตรียมช่วยเหลือหงกังรับมือมัน จ้าวคุนลดความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อกล่าวเย้ยเยาะ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะและปะทุพลังพุ่งเข้าใส่ทุกคนต่อ!