บทที่ 353 อบอุ่นหัวใจ (1)
หากยังไม่เดินออกไปจากที่นั่น เขากลัวว่าตัวเองจะตัดหัวกู้เฉาเสียก่อน!
แม้เขาจะควรตายก็เถิด!
“ไท่เฟย…ไท่เฟย…”
แม่นมไช่ร้องเสียงตื่นตระหนก
ฮ่องเต้หันกลับมาในทันใด ก่อนจะเห็นจิ้งไท่เฟยที่ใบหน้าขาวซีด ร่างโงนเงนราวกับใบไม้ที่ร่วงโรยยามวสันตฤดู
นางหันไปมองฮ่องเต้ครั้งสุดท้ายด้วยน้ำตาล้นเอ่อ ก่อนทั้งสองตาจนปิดลงพร้อมกับร่างที่หมดสติ
ฮ่องเต้รุดเข้ามาประคองร่างนางไว้ กอดร่างที่ผอมแห้งจนแทบเห็นกระดูกของนาง ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างร้อนรน “เสด็จแม่! เสด็จแม่! ตามหมอหลวงมา…”
ยามจิ้งไท่เฟยฟื้นขึ้นมาก็ปาเข้าไปกลางดึก
ฮ่องเต้แก้ฎีกาอยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านเหล่าโหวทุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
ฮ่องเต้ยังคิดไม่ออกว่าจะลงโทษเขาอย่างไร แต่หากจะให้เขาคุกเข่าอยู่ที่ลานกว้างต่อไปก็ขายขี้หน้า ขายขี้หน้าคนในราชวงศ์
ขันทีหนุ่มนายหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ เว่ยกงกงเดินเข้ามาใกล้ ฟังเขาพูดไม่กี่ประโยคก็พยักหน้าแล้วกลับเข้าไปในห้องหนังสือ เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท ไท่เฟยฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าฮ่องเต้กลับไร้ซึ่งความร้อนใจอยากจะไปดูอาการนางเหมือนแต่ก่อน หรือบางทีอาจเป็นเพราะเรื่องที่นางเลือกที่หนีไปนั้นทำร้ายจิตใจเขาเกินไป
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในใจของนาง เขานั้นเทียบไม่ได้แม้กระทั่งชายป่าเถื่อนที่คุกเข่าอยู่ข้างนอก
ฮ่องเต้ถลึงตาจ้องมองท่านเหล่าโหวอย่างเย็นชา ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องใช้พละกำลังมากมายเพียงถึงห้ามใจไม่ให้ชักกริชสวรรค์ออกมาฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร
เว่ยกงกงทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทอยากจะไปดูสักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่าอาการของไท่เฟยไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อครู่กระอักเลือดออกมาด้วย”
ได้ยินว่าจิ้งไท่เฟยกระอักเลือด ฮ่องเต้ก็กระวนกระวายใจขึ้นมา
เป็นแม่ลูกกันมานานหลายปี ใช่ว่าจะตัดก็ตัดได้ในทันใด
ฮ่องเต้ยืนขึ้นแล้วรุดไปยังตำหนักบรรทมของจิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยเพิ่งจะดื่มยาไป ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าหลายวันที่ผ่านมา
ฮ่องเต้พลันฉุกคิดขึ้นได้ว่าตั้งแต่นางกลับมาอยู่ที่วังหลวง แต่ละวันหากไม่เจ็บป่วยก็บาดเจ็บ แทบจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ที่นางคิดจะหนีไปคงเป็นเพราะเหนื่อยล้า เพราะทุกข์ทรมาน เพราะหวาดกลัวกระมัง
“พวกเจ้าออกไปก่อน” จิ้งไท่เฟยบอกกับแม่นมไช่และคนอื่นๆ
“เพคะ” แม่นมไช่พาเหล่านางกำนัลออกไป
ฮ่องเต้ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเตียง ไม่ได้เดินเข้าไปในทันใด
จิ้งไท่เฟยใช้ข้อศอกพยุงร่างขึ้น ไอโขลกสองสามครั้ง คราวนี้นางมิได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นอ่อนแอ บาดแผลเมื่อครั้งถูกคนเอากระสอบครอบหัวยังไม่ทันสมานดี เมื่อครู่ยังช้ำในจนกระอักเลือดออกมาอีก
นางเอ่ยถาม “ฝ่าบาทมีอะไรอยากจะถามข้าหรือไม่”
ฮ่องเต้กำหมัดแน่น
จิ้งไท่เฟยยิ้มระทม “ช่างเถิด ข้าพูดเองก็แล้วกัน เมื่อครู่ฝ่าบาทคิดว่าข้าจะทิ้งพระองค์ไปอย่างนั้นหรือ แค่ก แค่ก…”
ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วทรวงอกของนางอย่างรุนแรง ไอโขกออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ “หากข้าบอกว่าฝ่าบาทว่า ข้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะหนีไปจากฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสคำใด
“ก็จริง ที่ข้าไม่ได้สั่งให้องครักษ์หลงอิ่งขวางท่านเหล่าโหวเอาไว้ นั่นเป็นเพราะเขาเคยช่วยชีวิตข้ามาก่อน ขณะที่ข้ายังไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร จึงไม่อาจผลีผลามสั่งการให้องครักษ์หลงอิ่งสังหารเขาได้”
“นอกจากนั้นเขาคงร้อนใจ ทึกทักไปเองว่าข้านั้นทุกข์ทรมานยามอยู่ในวังหลวง จึงคิดจะพาข้าหนีออกไป ตอนนั้นเข้าเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ข้ากำลังจะปฏิเสธ ฝ่าบาทก็เสด็จมาถึงแล้ว”
กำปั้นของฮ่องเต้บีบแน่น สายตาเย็นชาไร้แวว “เช่นนั้น…เสด็จแม่กับเขาไม่เคยมีความรู้สึกอันใดต่อกันมาก่อนเลยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เคย” จิ้งไท่เฟยเอ่ย
“เสด็จแม่มั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ฮ่องเต้ถาม
จิ้งไท่เฟยไม่หลบตาฮ่องเต้แม้แต่นิด เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ใช่ ข้ามั่นใจในความรู้สึกของข้า ในใจของข้ามีเพียงฮ่องเต้พระองค์ก่อน ไม่เคยมีชายอื่น ข้าเห็นเขาเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตมาตลอด ไม่เคยคิดเชิงชู้สาวกับเขา เขาเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น”
นางพูดจบก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ก็พลันหันขวับไปทางประตู ก่อนจะเห็นท่านเหล่าโหวที่สีหน้าตกตะลึงและแสนปวดร้าวยืนอยู่ที่หน้าประตู
นางเองก็ชะงักไปในทันใด
“เจ้าอย่าได้วู่วามเช่นนี้อีกเลย เพราะจะเดือดร้อนไปถึงคนในครอบครัว ข้าเกิดมาเป็นคนในราชวงศ์ ตายเป็นก็เป็นผีในราชวงศ์ อย่างไรชาตินี้ข้าก็ไม่มีวันหนีพ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้าต้องมารับโทษเก้าชั่วโคตรเพียงเพราะช่วยเหลือข้า คนในตระกูลเจ้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์”
“คิดถึงฉังชิง คิดถึงเฉิงเฟิงกับเฉิงหลิน แล้วก็เด็กที่เป็นโรคหัวใจตั้งแต่ยังแบเบาะคนนั้น เจ้าทนเห็นพวกเขานอนอยู่ในหลุมศพเพราะความต้องการของเจ้าได้หรือ ข้าไม่ได้กลัวตาย แต่ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเขา”
“นับแต่วันนี้ไป คิดเสียว่าเจ้าไม่เคยพบข้ามาก่อน บอกต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทเสียว่าเป็นทั้งหมดเป็นเพราะความวู่วาม มิใช่ความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว”
“สิ่งใดที่ติดค้างเจ้า ชาติหน้า…ชาติหน้าข้าจะขอชดเชยให้เจ้า”
เดิมทีนางจะเอ่ยเพียงไม่กี่คำเพื่อสงบสติอารมณ์เขาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ใดเจ็บช้ำน้ำใจ
ทว่ายามนี้ ทุกอย่างนั้นสายเกินไปแล้ว
นางเหลียวกลับมามองฮ่องเต้
ฮ่องเต้หันไปอีกทาง มองท่านเหล่าโหวที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ความในใจของไท่เฟย ขุนนางกู้ได้ยินแล้วหรือไม่”
ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยิน
แต่ทุกคำพูดนั้นเหมือนกำลังทิ่มแทงที่กลางดวงในของเขา!
ท่านเหล้าโหวเดือดพล่านจนสั่นไปทั้งร่าง กำมือแน่นจนเสียงลั่นกรอบแกรบ
สีหน้าของจิ้งไท่เฟยพลันเปลี่ยน ริมฝีปากเผยออ้าราวกับอย่างจะพูดอะไร
ทว่าท่านเหล่าโหวไม่ให้โอกาสนางเอ่ยปากอธิบาย ล้วงเชือกถักสีแดงที่เฝ้าถนอมมานานหลายปีออกมาจากอกเสื้อก่อนจะโยนลงกองไฟลุกโชน จากนั้นหันหลังเดินจากไปในทันใด!
จิ้งไท่เฟยหลับตาลง นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้างจิกแน่นจนซีดเผือด
…
เหตุการณ์ที่ตำหนักหวาชิงแพร่กระจายไปทั่ว ทั้งบ่าวทั้งนายใจตำหนักหวาชิงถูดสั่งให้ปิดปากเงียบ แม้แต่เซียวฮองเฮาที่มาถามไถ่ก็ยังไม่ได้ความอันใด
ทางฝั่งจวงไทเฮาเองก็ไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน
ฮ่องเต้ทราบซึ้งเป็นอย่างมาก
น้อยครั้งนักที่เขาจะเอ่ยทักจวงไทเฮาระหว่างทางไปประชุมยามเช้า เขาเอ่ยขอบคุณเสียงกระอักกระอ่วน
“ขอบคุณข้าเรื่องอันใด” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ
ตอนนี้ไม่มีใครจับตามองเสียหน่อย จะมาเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่ออะไร
“เปล่า” ฮ่องเต้เดินต่อไปไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา
จวงไทเฮากลอกตามองบน “ดูทำท่าทำทางเข้า!”
สำนักชีของวังหลวงบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว จิ้งไท่เฟยก็ย้ายเข้าไปอยู่เรียบร้อย ได้ยินว่าวันนั้นฮ่องเต้ภารกิจรัดตัว จึงไม่ไปส่งนางเข้าสำนักชีด้วยตนเอง
“คงไม่ตกอันดับหรอกกระมัง” ภายในสวนดอกไม้หลวง นางกำนัลสาวที่กำลังปัดกวาดอยู่เอ่ยเสียงพึมพำ
ขันทีหนุ่มที่อยู่ข้างนางเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร ไท่เฟยเป็นถึงเสด็จแม่ของฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นคนไปรับนางกลับมาจากสำนักชี!”
“แต่พวกเจ้าไม่รู้ข่าวหรือว่าพักนี้ฝ่าบาทกับไทเฮาคืนดีกันแล้ว แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงได้รีบร้อนให้ไท่เฟยย้ายออกจากตำหนักฮว๋าชิง…”
นางกำนัลสาวพูดได้เพียงครึ่ง ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนหยิกแขนนาง
“ข้าไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย! ข้า…” นางเหลียวไปมอง ก็เห็นเกี้ยวของจิ้งไท่เฟยจอดอยู่ด้านหลังนาง
นางตกใจจนเข่าทรุดลงในทันใด “ไท่…ไท่…ไท่เฟย!”
จิ้งไท่เฟยไม่ได้เอ่ยคำใด แต่เป็นแม่นไช่ที่มองนางราวจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไปเถิด” จิ้งไท่เฟยเอ่ย
“เพคะ” แม่นมไช่ขานรับ
หลังจากเคลื่อนออกไปไกล จิ้งไท่เฟยถึงได้เอ่ยกับแม่นมไช่ “อาเย่ว์ เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ คนในวังหลวงแห่งนี้ล้วนแต่ต้องพึ่งพาฝ่าบาท…เว้นเสียแต่คนผู้นั้นที่ตำหนักเหรินโซ่ว”
แม่นมไช่มองนางอย่างปวดใจ “ไท่เฟย”
จิ้งไท่เฟยเด็ดใบไม้ใบหนึ่งติดมือมา ลูบไล้ไปพลางเอ่ยเสียงพึมพำ “หากไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ต่อให้อยู่ในวังหลวง ดื่มน้ำอึกเดียวก็สำลักตายได้ แต่นางกลับไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลย อาเย่ว์ นางไม่ต้องทำสิ่งใดเลย!”