บทที่ 413 ย้ายออกไปแล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีไปที่ที่เลขาของคุณปู่เคยอาศัยอยู่

ที่ตรงนั้น เขาอยู่ที่นั่นแสนนาน และถามคำถามมากมาย

สุดท้ายคำตอบที่ได้รับ เหมือนกับที่วารุณีพูด และที่เขาคาดเดาไว้แทบทั้งหมด การตายของคุณพ่อคุณแม่ของเขา ไม่ใช่วรยาเป็นคนชน แต่เป็นคนของขงเบ้ง

ผลลัพธ์นี้ ที่ทำให้นัทธีได้รับการกระทบกระเทือนอย่างสุดขีด ตอนที่ออกมาจากที่พักเลขา ฝีเท้าของเขานั้นสับสนมาก

ตอนที่เดินลงมาจากข้างบน ถึงขั้นเกือบจะตกบันได ดีที่มารุตพยุงขาเอาไว้ทัน ถึงได้หลีกเลี่ยงจากผลลัพธ์เช่นนั้นได้

“ท่านประธานครับ พวกเรากลับไปที่คฤหาสน์หรือเปล่าครับ?”

มารุตเองก็พึ่งรู้ว่าที่แท้ขงเบ้งเป็นคนฆ่านายท่านและคุณหญิง ไม่ใช่คุณแม่ของวารุณี

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านประธานทำกับวารุณีในตอนนั้น กลายเป็นเรื่องตลก และกลายเป็นการทำร้ายวารุณี

ดังนั้น เขาสามารถคาดได้ถึงความรู้สึกของท่านประธานในตอนนี้ว่าเสียใจแค่ไหน ทุกข์ทรมานเพียงใด

“กลับคฤหาสน์” นัทธีส่ายหัว และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

เขาต้องกลับไปพบวารุณี ต้องการขอโทษเธอ

อยากให้เธอรู้ว่า เขาผิดไปแล้วจริง ๆ

“ครับ” มารุตพยุงนัทธีไปที่รถ แล้วขับรถมุ่งไปทางคฤหาสน์

ในตอนที่กลับมาถึงคฤหาสน์ ฟ้าได้มืดลงแล้ว

นัทธีเดินเข้าไป ในคฤหาสน์นั้นว่างเปล่า เงียบสงบอย่างสุดขีด ถ้าไม่ใช่เพราะมีเสียงดังออกมาจากทางห้องครัว เขาแทบจะคิดว่าไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นี่

“ป้าส้ม!” นัทธีเอ่ยปากเรียก

เมื่อป้าส้มที่อยู่ในห้องครัวได้ยินเสียง ก็ได้รีบวิ่งออกมา “คุณผู้ชาย ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะคะ”

“คุณผู้หญิงล่ะ?” นัทธีไม่ตอบแต่ถามกลับ

ในเวลานี้ วารุณีน่าจะอยู่บ้านกับเด็กทั้งสองคน แต่เมื่อสักครู่ตอนที่เขาเข้ามา ไม่เห็นรองเท้าของพวกเขาทั้งสามอยู่ที่ทางเดินตรงประตู

หรือว่า พวกเขาจะยังไม่กลับมาจากข้างนอก? เมื่อได้ยินนัทธีถามหาวารุณี “คุณผู้ชายคะ คุณผู้ชายรีบไปตามคุณผู้หญิงกลับมานะคะ เมื่อตอนบ่าย คุณผู้หญิงร้องไห้กลับมา และขนของไปจนหมด ขนกลับไปที่คอนโดที่เคยอยู่เมื่อก่อน”

“อะไรนะ?” รูม่านตาของนัทธีหดตัวลง “เธอย้ายกลับไปแล้วเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ดิฉันยื้อไว้ยังไงก็ดึงเอาไว้ไม่ได้ คุณผู้ชายคะ รีบให้คุณผู้หญิงกลับมาเถอะนะคะ” ป้าส้มพยักหน้า

นัทธีเม้มปากจนเป็นแนวตรง และกำลังจะพูดอะไร

ป้าส้มพลันนึกอะไรขึ้นมาได้อีก และชี้ขึ้นไปที่ชั้นบน “ใช่แล้วค่ะ คุณผู้ชาย ก่อนที่คุณผู้หญิงจะออกไปยังบอกอีกว่าได้ทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้คุณอยู่ในห้อง บอกว่าเมื่อคุณผู้ชายกลับมา จะต้องไปดูให้ได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น นัทธีก็รีบก้าวเท้าเดินขึ้นไปชั้นบนทันที ไม่นานก็มาถึงห้อง

นัทธีเปิดประตูห้องออก ในห้องนั้นเงียบมาก ภายในห้องตกแต่งอย่างครบถ้วน ทุกอย่างยังอยู่ครบ แต่ของของวารุณีนั้นได้หายไปจนหมด

เธอได้ขนเอาของของตัวเองไปจนหมดจริง ๆ ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว!

นัทธีสีหน้าเคร่งเครียดลง ในใจนั้นมีความรู้สึกว่างเปล่า

เขายืนอยู่ที่เดิม กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ได้เห็นของที่วารุณีน่าจะทิ้งเอาไว้ให้เขาอยู่บนเตียง

เขาเดินเข้าไป เป็นสองใส่เอกสารซองหนึ่ง

และซองใส่เอกสารซองนี้ นำให้เขานึกถึงหนังสือหย่าในวันนั้นขึ้นมา

งั้นข้างในนี้……

นัทธีหรี่ตาเล็กน้อย และหยิบซองเอกสารขึ้นมาเปิดออก

เป็นอย่างที่คิดไม่ผิด ข้างในนี้เป็นหนังสือหย่าอีกชุด

ความกดอากาศของรอบตัวของนัทธีลดต่ำลงอย่างกะทันหัน เขาดึงเอาหนังสือหย่าออกมา และฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ อีกครั้ง ปลิวว่อนอยู่ในอากาศ

ท่ามกลางเศษกระดาษที่ปลิวว่อน ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขาปรากฏให้เห็นวับ ๆ แวม ๆ ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

อยากหย่างั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก

ในตอนที่เขาคิดว่า คนที่ขับรถชนคุณพ่อคุณแม่ของเขาคือวรยา เขายังไม่คิดที่จะหย่ากับเธอเลยสักครั้ง

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นการเข้าใจผิด เขาจะหย่าได้ยังไง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นัทธีก็หมุนตัวเดินลงไปด้านล่าง และเดินตรงไปที่ประตูทางเข้า

ป้าส้มมองดูแผ่นหลังของเขาพลางตะโกน: “คุณผู้ชายคะ คุณจะไปไหนเหรอคะ?”

“ไปรับผู้หญิงที่หนีออกจากบ้านกลับบ้าน” นัทธีตอบกลับเสียงทุ้ม จากนั้นประตูคฤหาสน์ก็ถูกปิดลงดังปัง

ป้าส้มยิ้ม

เธอดูออกว่าท่าทีของคุณผู้ชายนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นคุณผู้ชายคนเดิม

ถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้คุณผู้ชายกลับมาเหมือนเดิม แต่เธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดี

นัทธีขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโด

ขับรถระยะทางราวห้าสิบกว่านาที แต่เขาขับเพียงแค่สามสิบนาทีก็มาถึงแล้ว ตำรวจจราจรขับตามเขามาตลอดทาง

สุดท้ายก็ได้เขียนใบสั่งให้กับนัทธีสองใบถึงได้จากไป

นัทธีมองดูใบสั่งที่อยู่ในมือ เขาเม้มปากเล็กน้อย และยัดใบสั่งลงไปในกระเป๋าเสื้อสูท แล้วเดินเข้าไปในคอนโด

ภายในคอนโด วารุณีและเด็กทั้งสองคนกำลังทานข้าว

เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งดังขึ้น แม่ถูกทั้งสามคนก็ได้มองไปที่ประตูพร้อมกัน

“หม่ามี๊เดี๋ยวผมไปเปิดประตูนะครับ” อารัณกล่าวไป และจะปีนลงจากเก้าอี้

วารุณีห้ามเขาเอาไว้ “ลูกน่ะทานข้าวไปเลย เดี๋ยวหม่ามี๊ไปเอง”

นี่เป็นตอนกลางคืน เธอไม่กล้าให้เด็กไปเปิดประตูจริง ๆ ใครจะไปรู้ล่ะว่าข้างนอกนั่นเป็นใคร

ต่อให้อารัณฉลาดแค่ไหน เพราะตัวยังเล็กอยู่ ยังไงก็สู้ผู้ใหญ่ไม่ได้

วารุณีปลอบใจเด็กทั้งสองคน วางช้อนลงและเดินไปที่ประตู

เมื่อมาถึงประตู วารุณีก็ได้เปิดจอแสดงภาพ เพื่อดูว่าคนข้างนอกนั้นเป็นใคร

และหลังจากที่ได้เห็นว่าคนที่อยู่ในจอแสดงภาพนั้นเป็นนัทธี เธอก็ชะงักไป

เขามาได้ยังไง?

วารุณีเม้มปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเปิดประตูหรือเปล่า

นัทธีที่อยู่ด้านนอกราวกับรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้น มองดูกล้องวงจรปิดที่อยู่บนหัว “เปิดประตู”

วารุณีรู้ว่าเขากำลังพูดกับตัวเองอยู่ เลยกัดริมฝีปากตอบไป “ไม่ต้องเปิดประตูหรอก คุณกลับไปเถอะ”

“เปิดประตู!” นัทธีกล่าวอีกครั้ง

วารุณีขมวดคิ้ว “นัทธี คุณต้องการอะไรกันแน่ ในเวลานี้ คุณควรจะไปตรวจสอบดูตามที่ฉันบอกไม่ใช่เหรอ มาที่นี่ทำไม?”

“ผมตรวจสอบดูแล้ว” ริมฝีปากบาง ๆ ของนัทธีขยับเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

วารุณีชะงักงัน

เร็วขนาดนี้เชียว?

“งั้นเหรอ แล้วผลลัพธ์ที่คุณได้ล่ะ ที่ฉันพูดไม่เป็นความจริง หรือว่า……”

“ที่คุณพูดเป็นความจริง” นัทธีตัดบทเธอไป

วารุณีขอบตาแดงก่ำขึ้นมาทันที และรู้สึกแสบร้อนที่ดวงตา

เธอเงยหน้าขึ้นและหายใจเข้าหลายครั้ง ถึงทำให้น้ำตาไม่ไหลออกมา แต่น้ำเสียงก็ยังสะอื้นเล็กน้อย “งั้นเหรอ งั้นตอนนี้คุณมาทำไม?”

“ผมอยากจะขอโทษคุณ” นัทธีเองก็ไม่ปิดบัง และบอกสาเหตุการมาของตัวเองออกไปตรง ๆ

วารุณียิ้มเยาะ “เพราะอะไร คุณขอโทษฉันก็ต้องยอมรับงั้นเหรอ? การทำร้ายและความเจ็บปวดที่คุณนำมาให้ฉันในช่วงนี้ แค่คำขอโทษก็สามารถลบล้างได้งั้นเหรอ? ฉันจะบอกคุณให้นะ มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก”

“ผมรู้” นัทธีก้มหน้า

เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าการขอโทษจะไม่ง่ายอย่างนั้น

แต่ขอโทษ ยังไงก็ต้องขอโทษ

“ในเมื่อคุณรู้ งั้นก็กลับไปเถอะ” วารุณีเริ่มออกปากไล่

นัทธียืนอยู่ตรงนั้นไม่จากไป

วารุณีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “นัทธี คุณอย่าบอกฉันนะว่า คุณจะยืนอยู่ข้างนอกแบบนั้นไปตลอด!”

“ผมอยากจะพบคุณ” นัทธีกล่าว

วารุณีฝังความหมายของเขาออก

นั่นก็คือ ถ้าเธอไม่เปิดประตู ให้เขาได้เจอเธอ เขาก็จะไม่ไป

วารุณีโมโหจนอยากจะหัวเราะ

ผู้ชายคนนี้ ทำได้แม้แต่เรื่องหน้าไม่อายแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน

ข่มขู่เธองั้นเหรอ? คิดว่าเธอจะกลัวไหมล่ะ?

“ได้ ในเมื่อคุณอยากจะยืน งั้นคุณก็ยืนไปเถอะ” เมื่อวารุณีพูดจบ เธอก็ปิดจอแสดงผลลงและกลับไปที่โต๊ะอาหาร

เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนต่างไม่ทานข้าว จ้องมองดูตัวเอง วารุณีก็ดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลงอย่างยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เป็นอะไรเหรอ?”

“หม่ามี๊ ใช่คุณพ่อไหมคะ?” ไอริณถามพลางกะพริบตาปริบ ๆ

ถึงแม้อารัณจะไม่ได้พูด แต่ท่าทางบนใบหน้าของเขาเองก็กำลังถามคำถามนี้

วารุณีเองก็ไม่คิดจะปิดปังเด็กทั้งสองคน เธอลูบหัวไอริณ และยิ้มบาง ๆ ตอบ: “ต่อไปจะเรียกคุณพ่อไม่ได้อีกแล้วนะ ต้องเรียกลุงนัทธี”

ถึงแม้จะได้ลบล้างความเข้าใจผิดว่าคุณแม่ของเธอฆ่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาแล้ว

แต่เธอก็ยังตัดสินใจ ที่จะหย่ากับนัทธี

ถึงแม้ไอริณไม่ยินดีที่จะเปลี่ยนคำเรียกนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของหม่ามี๊ ก็ยังคงตอบรับอย่างว่าง่าย

“หม่ามี๊ ลุงนัทธีมาทำไมเหรอครับ?” อารัณเอ่ยถาม