ตอนที่ 477 ข้านับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าลิงถึงต้องทุบตีเจ้า!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 477 ข้านับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าลิงถึงต้องทุบตีเจ้า!

แม้จะหนีออกมาไกลแล้ว แต่ดินแดนแห่งนี้เงียบสงัด เสียงต่อสู้ดังครึกโครมยังคงแว่วมาให้ได้ยินอยู่

หยวนฟางที่อุ้มคนเหินทะยานอยู่เหนือคาคบไม้พลันหยุดชะงัก ค่อยๆ หันกลับไปมอง เสียงต่อสู้ที่แว่วมาอย่างเลือนรางคล้ายจะหยุดลงแล้ว

การต่อสู้จบลงแล้วหรือ? เต้าเหยี่ยชนะหรือว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ชนะกันเล่า? ดวงตาหยวนฟางฉายแววตระหนกสงสัย

ไม่นานนักเขาก็ทำการสรุปภายในใจ เต้าเหยี่ยจะใช่คู่ต่อสู้ของอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ราชินีปีศาจตนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว

น้ำตาเอ่อออกมาจากดวงตาของหยวนฟาง เขาสะอื้นไห้ เอ่ยพึมพำว่า “เต้าเหยี่ย ไม่ใช่ว่าข้าไร้คุณธรรม แต่กำลังของข้ามีจำกัดจริงๆ ไม่อาจช่วยเหลือท่านได้จริงๆ รั้งอยู่ก็มีแต่จะเป็นภาระของท่าน เป็นท่านที่บอกให้ข้ารีบหนี ข้าก็หนีมาตามที่ท่านสั่ง ไม่อาจกล่าวโทษข้าได้ หากว่าข้าสามารถรอดกลับไปได้ จะจุดธูปสวดวิงวอนต่อหน้าพุทธองค์ทุกเช้าเย็น ขอให้อำนวยพรแก่ท่านในชาติหน้า”

“อืม…เจ้าหมี เจ้าพึมพำอะไรอยู่?” ทันใดนั้นก่วนฟางอี๋ที่ถูกอุ้มอยู่ในวงแขนก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาอย่างสะลึมสะลือ

“เอ่อ…” หยวนฟางก้มหน้าลง เห็นว่าก่วนฟางอี๋ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้ว จึงอดดีใจขึ้นมาไม่ได้ “หงเหนียง เจ้าฟื้นแล้วหรือ?”

หงเหนียงที่ฟื้นขึ้นมาจากการสลบตอบ “อืม” คำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าทรมาน “เจ็บจะตายอยู่แล้ว”

หยวนฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อดทนหน่อย อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น ข้าตรวจดูอาการบาดเจ็บของเจ้าแล้ว ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต รักษาให้หายได้”

ก่วนฟางอี๋มองเขา “เจ้าร้องไห้ทำไม?”

หยวนฟางเอ่ยว่า “เปล่า ข้าแค่ดีใจเท่านั้น เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว ข้าดีใจจนน้ำตาไหลน่ะ”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาอย่างอ่อนแรง จากนั้นหันศีรษะมองสภาพรอบกายเล็กน้อย อุทานออกมาอย่างแปลกใจ “พวกเราพ้นอันตรายแล้วหรือ?”

นางถูกอสูรศักดิ์สิทธิ์โจมตีจนสลบคาที่ ร่วงลงสู่มือของหยวนฟางตอนไหน มาถึงที่นี่เมื่อไรล้วนแต่ไม่ทราบเลย

หยวนฟางเอ่ยว่า “ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว”

ก่วนฟางอี๋รู้สึกแปลกใจไปหมด นางเคยรับรู้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นของอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองมาแล้ว ยังสามารถรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของอสูรศักดิ์สิทธิ์มาได้ จะไม่ให้แปลกใจก็คงเป็นไปได้ยาก นางพลันกวาดสายตามอง มองไปที่หน้าอกของตน จากนั้นสายตาก็เคลื่อนไปยังมือของหยวนฟางที่แปะอยู่ตรงหน้าอกข้างหนึ่งของตนพอดี เอ่ยเสียงเข้มว่า “เจ้าพระเฒ่า มือเจ้าแตะตรงไหนอยู่? เชื่อหรือเปล่าว่าข้าจะตอนเจ้าเสีย!”

หยวนฟางมองตาม เหงื่อตกทันที เรื่องนี้เป็นเพราะเขาสนใจแต่จะหนีเอาชีวิตรอด อุ้มท่าไหนสะดวกย่อมอุ้มไปท่านั้น ไม่เคยสังเกตเห็นเรื่องนี้จริงๆ เขารีบปรับท่าอุ้มใหม่ ชักมือออกมาแล้วรีบเอ่ยขอโทษขอโพย “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเจตนาจะเอาเปรียบเลย เจ้าวางใจเถอะ อาตมาออกบวชแล้ว ไม่มีทางคิดล่วงเกินเช่นนั้น”

“อืม…” ก่วนฟางอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความทรมาน ด่าออกไปว่า “ซี่โครงข้าน่าจะหักเสียแล้ว อย่าขยับส่งเดช เจ็บ!”

“แล้วแบบนี้ล่ะ? แบบนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หยวนฟางปรับท่าทางอย่างต่อเนื่อง

ก่วนฟางอี๋ทนรับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ไม่ไหว เจ็บจนเหงื่อซึมออกมา กล่าวว่า “ปล่อยข้า ปล่อยข้าลง อย่าขยับมั่วซั่ว วางข้าลงซะ”

หยวนฟางเหินร่างลงจากเหนือยอดไม้ ร่อนลงบนกิ่งไม้ด้านล่าง วางนางนอนราบลงบนกิ่งไม้ที่ลาดเอียง

ต้นไม้สูงใหญ่ กิ่งไม้ใหญ่ราวกับเตียง ให้คนผู้หนึ่งนอนได้ไม่มีปัญหา

หยวนฟางเหลียวมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง เวลานี้เขาตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง

ก่วนฟางอี๋ยกมือคลำไปตามร่างกายตนอย่างเชื่องช้า ล้วงเอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา เทโอสถหุ้มขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งออกมา บิขี้ผึ้งหุ้มออก เผยให้เห็นโอสถสีแดงสดแวววาว กลิ่นหอมสดชื่นแผ่อบอวลออกมาทันที

หยวนฟางได้กลิ่นหอมจึงหันกลับมา เห็นนางกำลังจะกินยาก็รีบเอ่ยเตือนว่า “ระหว่างทางข้าป้อนยารักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าแล้ว”

ก่วนฟางอี๋ดูแคลน “เจ้าไหนเลยจะมียารักษาชั้นดีอันใดได้ ยารักษาของข้าสิที่เป็นยาชั้นเลิศ ข้าบาดเจ็บสาหัส ย่อมต้องใช้โอสถวิญญาณอย่างดีที่สุด” นางโยนยาเข้าปากกลืนลงไป โคจรลมปราณกระตุ้นฤทธิ์ยา

วาจานี้มิใช่คำเท็จเลย โอสถเม็ดนี้ของนางคือโอสถสวรรค์บรรเทา ยารักษาอาการบาดเจ็บชั้นเลิศของโลกบำเพ็ญเพียร ชื่อเรียกของโอสถมีความหมายว่าสวรรค์ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บให้แก่เจ้า แสดงว่าประสิทธิภาพของมันย่อมไม่ธรรมดา โอสถเม็ดเล็กๆ เพียงเม็ดเดียวก็มูลค่านับล้านเหรียญทองแล้ว พูดแล้วอาจจะดูเกินไป แต่ขอเพียงยังมีสัญญาณชีพอยู่ ผลลัพธ์ของโอสถสวรรค์บรรเทาแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าชุบคนตายให้ฟื้นเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ตอนที่หนีออกจากแคว้นฉี หนิวโหย่วเต้าบังคับให้นางมอบให้เฮยหมู่ตานไปหนึ่งเม็ด แต่จนใจที่อาการบาดเจ็บของเฮยหมู่ตานสาหัสเกินไป อาการบาดเจ็บถูกถ่วงรั้งมานานเกินไป สัญญาณชีพไม่มีเหลืออยู่แล้ว อาศัยปราณแท้ยื้อชีวิตเอาไว้เท่านั้น ใช้ไปหนึ่งเม็ดแล้วก็ไม่อาจขอชีวิตคืนจากสวรรค์ได้ ว่าไปแล้วก็นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ

หยวนฟางไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องราวครั้งนั้นจึงไม่ทราบเรื่องพวกนี้ รู้เพียงว่าสตรีนางนี้มีนิสัยเช่นนี้เสมอมา

เขาเองก็ไม่ได้เพิ่งรู้จักก่วนฟางอี๋แค่วันสองวัน ได้ยินว่านางเคยชินกับการเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี เป็นคนเจ้าสำอางติดความฟุ้งเฟ้อหรูหรา เขามักจะได้ยินก่วนฟางอี๋บ่นถากกางว่ากระท่อมฟางเป็นสถานที่ในชนบทอัตคัดจนเคยชินไปเสียแล้ว สตรีนางนี้ปากคอเราะร้าย แต่ความจริงนิสัยใจคอไม่เลวเลย艾琳小說

ดังนั้นถึงจะถูกดูแคลนก็ไม่ได้ถือสาอะไร หยวนฟางหัวเราะแหะๆ เคยชินกับปากนางแล้ว

ฤทธิ์ยาของโอสถสวรรค์บรรเทาเริ่มส่งผล ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ฤทธิ์ยาแล่นไปทั่วร่าง บรรเทาความเจ็บปวดในบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้สีหน้าก่วนฟางอี๋ผ่อนคลายลง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาพลางเอ่ยครวญว่า “น่าจะรอดตายแล้ว พ้นเคราะห์รอดตายมาได้ วันหน้าต้องมีโชคแน่!”

เป็นการพูดเพื่อปลอบใจตนเอง

ในใจหยวนฟางยังคงหวาดกลัวอยู่ “เจ้าก็นับว่าชะตายังไม่ถึงฆาต การโจมตีของราชินีปีศาจน่ากลัวถึงขนาดนั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรอดมาได้ หากเปลี่ยนเป็นข้าเกรงว่าคงตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ “ชะตายังไม่ถึงฆาตอะไรกัน เป็นเพราะมีพลังงานอันรุนแรงของยันต์กระบี่สวรรค์ปกป้องไว้พอดี พลังงานของยันต์กระบี่สวรรค์ยังไม่ได้ถูกใช้ไปจน จึงช่วยสกัดการโจมตีให้ข้าได้ หากว่าราชินีปีศาจตนนั้นรอจนพลังของยันต์กระบี่สวรรค์หมดสิ้นลงแล้วค่อยโจมตีด้วยหมัดนั้น ข้าคงถูกนางชกตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะรอดมาคุยไร้สาระกับเจ้าอยู่ที่นี่ได้ แต่พลังของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ก็น่ากลัวอย่างมากจริงๆ…”

พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ ในที่สุดนางก็นึกบางอย่างออกแล้ว นางเหลียวมองซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว ถามด้วยความประหลาดใจ “เต้าเหยี่ยล่ะ? เจ้าตัวโตล่ะ? พวกเขาหนีไปไหนแล้ว?”

หยวนฟางก้มหน้าลง เอ่ยอย่างหม่นหมอง “เต้าเหยี่ยกับหยวนเหยี่ยพวกเขา…เพื่อปกป้องให้พวกเราหนีรอดมาได้ พวกเขาทุ่มชีวิตสู้ตายกับราชินีปีศาจแล้ว”

เขาไม่มียอมพูดออกไปว่าเป็นตนที่ขี้ขลาดกลัวตายจึงหนีออกมาก่อน

“อะไรนะ?” ก่วนฟางอี๋เบิกตากว้าง เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ใช่แล้ว พลังของราชินีปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น หากไม่มีใครถ่วงเวลาไว้ พวกนางสองคนจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไรเล่า?

ด้วยความร้อนใจ นางใช้มือดันตัวคิดจะลุกขึ้นนั่ง แต่ความเจ็บบริเวณซี่โครงที่แล่นแปลบขึ้นมาทำให้นางทรุดตัวลงอีกครั้ง ถามด้วยความร้อนรน “พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

หยวนฟางเอ่ยเสียงแผ่วเบา“ไม่รู้”

คำว่า ‘ไม่รู้’ ประโยคเดียวทำให้จมูกของก่วนฟางอี๋แสบเคืองขึ้นมา น้ำตาร้อนๆ เอ่อล้นออกมาจากขอบตา นางขบริมฝีปากแน่น ค่อยๆ เงยหน้ามองท้องนภา นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองใบไม้เรืองแสงที่บดบังคั่นฟ้าไว้ ไม่จำเป็นต้องคิดก็เดาออกได้ว่าสองคนนั้นที่เข้าไปสู้ตายกับอสูรศักดิ์สิทธิ์จะมีจุดจบอย่างไร

น้ำตาไหลอาบสองแก้มอย่างเงียบงัน นางยังคงจดจำเหตุการณ์ในตอนที่หนิวโหย่วเต้าตวาดสั่งให้นางรีบหลบหนีได้!

ยังคงจดจำเหตุการณ์ที่หยวนกังสร้างโอกาสเพื่อให้หนิวโหย่วเต้าหลบหนีได้ แต่นางกลับเห็นหนิวโหย่วเต้ายอมทิ้งโอกาสหลบหนีแล้วพุ่งทะยานเข้ามาหา!

ในที่สุดก็ยังคงเป็นชายสองคนนั้นที่สู้ตายกับราชินีปีศาจอย่างมีคุณธรรมเพื่อปกป้องให้นางและหยวนฟางพ้นภัยมาได้

น้ำตาไหลรินออกมามากขึ้นเรื่อยๆ หลั่งไหลออกมาคล้ายไม่หมดไม่สิ้น ร้องไห้พลางก่นด่าออกมา “ไอ้สารเลวสองคนนั้น ข้าซวยหนักแล้วจริงๆ ดันมาพบไอ้ตัวร้ายสองคนนี้เข้า…”

นางงร่ำไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ ร่ำไห้จนไม่มีเสียง ร่ำไห้จนตัวสั่นไหว สะเทือนบาดแผลจนเจ็บขึ้นมา

แต่ในเวลานี้ความเจ็บที่แผลก็ยังไม่เท่าความเจ็บปวดในใจนาง ครั้งนี้หัวใจนางเจ็บปวดจนร้าวรานเข้าไปถึงในกระดูกอย่างแท้จริง เจ็บเหมือนใจสลาย ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย

นางเคยปวดใจเพราะความรักชายหญิงมา แล้วก็เคยสะเทือนอารมณ์กับความรักชายหญิง แต่ครั้งนี้ต่างกันจริงๆ

นางเคยพบเจอผู้คนมากมายหลากหลายประเภท นางรู้ดีว่าคนเช่นไรที่ควรทะนุถนอมไว้!

“เจ้าคือราชาหมีขนทองมิใช่หรือ? ราชาหมีคนทองน่าจะฟันแทงไม่เข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ไปช่วยพวกเขา?” ก่วนฟางอี๋ร่ำไห้พลางหันไปด่าทอหยวนฟาง

หยวนฟางเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “นี่สีกา ข้าฟันแทงไม่เข้าเพียงผิวกายเท่านั้น หากถูกซัดพลังใส่ก็ตายได้อยู่ดี! เจ้าคิดว่าข้าเข้าไปแล้วจะมีประโยชน์หรือ? อีกอย่างข้าก็ทำไปเพื่อปกป้องเจ้ามิใช่หรือ?”

“ข้าขอให้เจ้ามาปกป้องหรือ?” ก่วนฟางอี๋ด่าสวนกลับไปทันที “รอให้อาการบาดเจ็บของข้าทุเลาลง พอดีขึ้นแล้วพวกเราจะกลับไปทันที!”

“ห๊า!” หยวนฟางตกใจ “เอาจริงหรือ? ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะหนีออกมาได้ ยังต้องวิ่งกลับไปหาความตายอีกหรือ?”

ก่วนฟางอี๋เช็ดน้ำตา “หนีหรือ? หนีไปไหนเล่า? พวกเราถูกไอ้สารเลวสองคนนี้ทำให้ซวยแล้ว หากไม่มีไอ้สารเลวสองคนนั้น พวกเราไม่มีทางหนีออกไปได้ พวกเราอยู่ในส่วนลึกของแดนความฝัน อาศัยเพียงเจ้ากับข้าจะหนีรอดไปได้อย่างนั้นหรือ? อสูรผีเสื้อที่ไปรวมตัวกันอยู่ทางพระราชวังนั้นจะต้องเป็นเพียงอสูรผีเสื้อที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่รับรู้ถึงราชินีได้จึงออกมารวมตัวกันแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ทั่วแดนความฝันจะมีอสูรผีเสื้ออยู่เพียงแค่นั้น เจ้าคิดว่าพวกเราจะหนีรอดหรือ?”

หยวนฟางถอนหายใจ “หงเหนียง ข้าก็กังวลกับเรื่องนี้อยู่ ตอนนี้ยังไม่เห็นอสูรผีเสื้อในบริเวณนี้เลย น่าจะเป็นเพราะไปรวมตัวกันที่พระราชวังแล้ว เจ้าบอกให้กลับไปมันก็เป็นไปได้เหมือนกัน หากตกไปอยู่ในมืออสูรผีเสื้อเข้า มันก็ต้องตายเหมือนกันมิใช่หรือ?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยเตือนเขา “หนีออกไปด้านนอก พวกเราหนีไม่รอดแน่นอน ต่อให้พวกเราคลำทางไปถึงทางออกได้ แต่ความเร็วในการงมหาทางเองมันจะไปถึงหน้าประตูได้ทันก่อนแดนความฝันปิดตัวลงหรือ? เจ้าคิดว่าพวกเราจะอยู่รอดในแดนความฝันได้ถึงสิบปีหรือ?”

“จะได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองพยายามให้เต็มที่ก่อน ยังไงก็ดีกว่ากลับไปให้อสูรศักดิ์สิทธิ์ฆ่าแน่นอน!”

“เจ้าติดตามหนิวโหย่วเต้ามานานหลายปี หนิวโหย่วเต้าเป็นคนอย่างไรเจ้าไม่รู้หรือ? คนผู้นั้นเรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์ลื่นเหมือนปลาไหล จับไว้ในมือก็ยังไหลลื่นหลุดไปได้ คนที่แข็งแกร่งกว่าเขามีอยู่มากมาย แต่เจ้าเคยเห็นผู้ใดที่สังหารเขาได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ? เจ้าลืมคำพูดที่เขาบอกก่อนจะให้พวกเราหนีไปแล้วหรือ? เขาจะรั้งอยู่รับมือกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคิดว่าหากเขาไม่มีความมั่นใจ เขาจะทำเช่นนั้นได้หรือ? บางทีเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้!”

วาจานี้ครึ่งหนึ่งเป็นการหลอกล่อหยวนฟาง อีกครึ่งหนึ่งเป็นการโอบอุ้มความหวังไว้ ในใจยังคงหวังว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ตาย จิตใจนางไม่ยินดีจะยอมรับความจริงว่าหนิวโหย่วเต้าสิ้นใจไปเช่นนี้ ในใจยังคงเฝ้าหวังให้หนิวโหย่วเต้ามีไหวพริบเอาชีวิตรอดได้

ไม่ว่าทางไหนก็ไม่อาจหนีรอดจากอาณาเขตของอสูรผีเสื้อได้ นางจึงอยากกลับไปดู หากหนิวโหย่วเต้าแค่บาดเจ็บสาหัส หากว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการรักษาเล่า บนตัวนางมีโอสถวิเศษล้ำค่าอยู่

จะไม่หลอกล่อหยวนฟางก็ไม่ได้อีก ด้วยสภาพร่างกายของนางในตอนนี้ทำให้เคลื่อนไม่สะดวก

หยวนฟางส่ายหน้ารัวๆ “ไหนเลยจะจัดการอันใดได้ มีแต่ปะทะกันตรงๆ เท่านั้น ข้าได้ยินเสียงต่อสู้ดังไม่หยุด เราคิดหาทางหนีจะดีกว่า พุทธองค์ต้องคุ้มครองพวกเราแน่”

ก่วนฟางอี๋ยิ้มเยาะ “ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าลิงถึงต้องทุบตีเจ้า! หากเจ้าไม่ไป ข้าจะไปเอง ข้าไม่สามารถสื่อสารกับอสูรผีเสื้อพวกนั้นได้ แต่อย่างน้อยอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นก็พูดภาษามนุษย์ได้ อย่างน้อยก็สื่อสารกันได้ เมื่อสื่อสารกันได้ก็ยังพอจะมีความหวังอยู่ จะเลือกพุทธองค์หรือจะเลือกอสูรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน ข้าไม่บังคับเจ้า”

หยวนฟางอ้าปากพะงาบๆ เกาหัวขึ้นมา เหตุใดถึงรู้สึกว่าคำพูดฟังดูค่อนข้างมีเหตุผลกันเล่า เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าพุทธองค์ไม่น่าพึ่งพาเท่าอสูรศักดิ์สิทธิ์

…………………………………………………………….