ตอนที่ 256 สถานที่วิญญาณสิงสถิต
อวี้ชิงลั่วมิได้ปฏิเสธ เพียงแต่พยักหน้าเดินตามฟางซานไปที่สวนด้วยรอยยิ้ม
ฟางซานได้รับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่ ย่อมเข้าใจว่าต้องดูแลนางอย่างระมัดระวัง ด้วยเหตุนี้นางจึงมิกล้าทำอะไรประมาทเลินเล่อตั้งแต่ต้นจนจบและมิกล้าปล่อยให้นางเหนื่อย หิว หรือกระหาย
ดังนั้นเมื่อมาถึงสวนแล้ว ฟางซานจึงพาอวี้ชิงลั่วไปนั่งที่ศาลาเพื่อมิให้ถูกแสงแดดแผดเผา
อวี้ชิงลั่วปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท กล่าวขอบคุณและทำท่าทางมองดูทิวทัศน์รอบตัวอย่างจริงจัง ระหว่างนั้นก็เอ่ยปากชื่นชมถึงความงามภายในสวน เดี๋ยวก็ชมว่าดอกไม้ดอกนี้สวย เดี๋ยวก็ชมว่าน้ำทางฝั่งนั้นใสสะอาด
ฟางซานแย้มยิ้ม เหลือบเห็นท่าทางของนางที่ดูกระตือรือร้น จึงรีบประจบประแจงไปว่า “แม่นางชิง อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าว แม่นางนั่งรอตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ ฟางซานจะสั่งให้แม่ครัวนำน้ำเย็นยกมาให้ ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“งานเหล่านี้จะให้แม่นางฟางซานทำได้อย่างไรกัน? ให้เยว่ซินไปเถิด ถึงอย่างไรนางก็คุ้นเคยกับที่จวนแห่งนี้ ย่อมทราบดีว่าต้องไปอย่างไร”
ตั้งแต่เยว่ซินเดินเข้ามาด้านในจวนอวี๋ นางก็มิได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด คุณหนูสั่งไว้ว่าให้ยืนอยู่เงียบ ๆ ก็พอแล้ว
ครั้นได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ นางจึงรีบก้มหน้าลง ท่าทางยังดูเหมือนกับตอนที่อยู่จวนอวี๋ก่อนหน้านี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า “เจ้าค่ะ แม่นาง เยว่ซินจะไปเดี๋ยวนี้”
ฟางซานเห็นนางยังเป็นเช่นนั้น จึงมิกล้าพูดอะไร และรู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่านางคงทำตามที่ฮูหยินใหญ่เคยกำชับไว้
ถึงอย่างไรฮูหยินใหญ่ก็ไม่ไว้วางใจให้เยว่ซินอยู่ข้างกายแม่นางชิง เพราะกลัวว่านางจะพูดจาเหลวไหลไปทั่ว และกลัวว่าจะทำให้แม่นางชิงรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ขึ้นมา
ตอนนี้เมื่อได้เห็นท่าทางหวาดกลัวเช่นนี้ จึงมิได้มีความกังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
นางรีบพยักหน้าเพื่อให้เยว่ซินไปทำหน้าที่แทนตนเอง
ครั้นอวี้ชิงลั่วเห็นเยว่ซินเดินไปไกลแล้ว จึงแย้มยิ้มและหันมากินขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ ระหว่างนั้นก็ดมกลิ่นหอมของดอกไม้ภายในสวนไปพลาง ๆ
ฟางซานยืนดูแลอยู่ด้านหลัง เพียงไม่นาน จู่ ๆ นางก็รู้สึกแน่นท้อง ราวกับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น
นางก้มหน้ามองอวี้ชิงลั่วที่กำลังจิบน้ำชาอย่างสบายใจ รีบใช้ฝ่ามือกดท้องเบา ๆ พร้อมกับเม้มริมฝีปากมิกล้าพูดอะไร
ทว่าเพียงไม่นาน จู่ ๆ ความรู้สึกมวนท้องก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นเหงื่อซึมออกมาจากผิวหนัง เย็นวาบไปทั้งร่างกาย นิ้วมือหงิกอย่างไม่เป็นสุข
“อึก…” ในที่สุดฟางซานก็ทนมิไหว ก้มหน้าเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับกุมท้องแน่นยิ่งขึ้น นอกจากนี้บรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มมีกลิ่นเหม็นประหลาดเกิดขึ้น
ในที่สุดอวี้ชิงลั่วก็หันกลับมามอง ครั้นเห็นสีหน้าของฟางซานดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้น ไม่สบายตรงไหนรึ? ให้ข้าดูให้หรือไม่”
“ไม่…ไม่ต้องเจ้าค่ะ” สีหน้าของฟางซานถึงกับแดงก่ำ นางรีบยกมือขึ้นมากุมท้องและถอยหลังออกไปสองก้าว เพียงไม่นานนางก็ทนมิไหวอีกต่อไป รีบเปล่งเสียงว่า “แม่… แม่นางชิง… ขอ… ขอโทษเจ้าค่ะ บ่าวแอบรู้สึกปวดท้อง ขอ… ขอไปห้องสุขาสักครู่หนึ่งเจ้าค่ะ”
นางพูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเถิด หากยังรู้สึกไม่สบายตัวก็กลับมาหาข้า ข้าจะจ่ายยาให้”
“ขอบ… ขอบคุณเจ้าค่ะแม่นางชิง” ฟางซานเม้มปากพยักหน้าด้วยความซึ้งใจ ในเวลาเดียวกันก็รีบเดินออกจากศาลาไปด้วยความโล่งอกและทุลักทุเล
จนกระทั่งเดินมาถึงด้านหลังของภูเขาจำลอง จู่ ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างหนัก พร้อมกับวิ่งบึ่งไปยังห้องสุขาแบบไม่คิดชีวิต
อวี้ชิงลั่วยกมือขึ้นมาปิดจมูกและกระโดดลงจากศาลา มุมปากกระตุกเป็นเส้นโค้งก่อนจะเดินไปยังฝั่งตรงข้ามกับที่ฟางซานวิ่งออกไป
เยว่ซินไปรออยู่ที่นั่นก่อนหน้านี้แล้ว ครั้นเห็นนางเดินมา จึงรีบยกมือขึ้นมาป้องปากพลางกระซิบ “คุณหนู ร้ายกาจเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”
“เอาล่ะ รีบนำน้ำหวานถ้วยนี้ไปวางไว้ที่ศาลา”
“เจ้าค่ะ” เยว่ซินรีบขานตอบอย่างมีความสุข จากนั้นจึงนำน้ำหวานไปวางไว้บนโต๊ะหิน ก่อนจะวิ่งกลับมาข้าง ๆ อวี้ชิงลั่วอีกครั้ง “คุณหนู เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พวกเราไปกันเถิด”
“อืม” อวี้ชิงลั่วพยักหน้า ก่อนจะเดินตามหลังเยว่ซินไปที่สวนชิงจู๋… ที่นั่นคือสถานที่ที่อวี้ชิงลั่วเคยพักอาศัยเมื่อหกปีก่อน
เยว่ซินอยู่ที่นี่มาหกปีแล้ว ย่อมคุ้นชินกับสถานที่ภายในจวนแห่งนี้ โดยเฉพาะเรือนชิงจู๋(ไผ่เขียว) ที่นั่นได้สลักลงไปในใจของนางอย่างสมบูรณ์แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้นางจึงนำทางอวี้ชิงลั่วมาโดยใช้เส้นทางที่ใกล้และปลอดผู้คน นับว่าสะดวกสบายอย่างยิ่งยวด
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนชิงจู๋
เรือนที่อยู่ตรงหน้าดูชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชงอกรกรุงรังทั่วลาน สภาพดูวังเวงและเงียบเหงา ประกอบกับสถานที่แห่งนี้อยู่ด้านหลังจวนอวี๋และค่อนข้างห่างไกลจากส่วนอื่น ๆ จึงรู้สึกได้ถึงความมืดหม่นที่เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
เยว่ซินเห็นบรรยากาศเช่นนี้ ก็แอบรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา “เรือนหลังนี้มิได้มีใครมาดูแลหกปีแล้ว และไม่มีใครอาศัยอยู่เลยเจ้าค่ะ เมื่อหกปีก่อนฮูหยินใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าใกล้ที่นี่ และไม่ให้ใครเข้ามาด้านในนี้ ที่นี่จึงถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์ เอาแต่บอกว่าภายในจวนหลังนี้มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาทำความสะอาด ก่อนหน้านี้บ่าวเองก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าฮูหยินใหญ่มีจิตใจหยาบช้า ขู่คนอื่นให้กลัวคุณหนูและไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาที่นี่ ทว่าบ่าวแอบวิ่งมาที่นี่เพื่อมากราบไหว้รำลึกถึงคุณหนูอยู่บ่อยๆ เฮ้อ… ตอนนั้นบ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูยังมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้น…”
อวี้ชิงลั่วยังไม่ตอบสิ่งใด เพียงแต่กวาดตาสำรวจรอบ ๆ บ้านหลังนี้อย่างละเอียด จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน
เยว่ซินรีบก้าวเท้าตาม “คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ ที่พื้นมีก้อนหินเยอะมาก”
อวี้ชิงลั่วยืนอยู่ด้านหน้าประตู ตอนที่เยว่ซินคิดจะผลักประตูเข้าไป กลับถูกนางห้ามไว้ “เข้าไปทางหน้าต่าง”
“อ๋อ…” เยว่ซินดึงมือกลับมา เลือกหน้าต่างที่อยู่อีกมุมหนึ่ง แหวกใยแมงมุมที่เกาะอยู่ด้านนอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเปิดหน้าต่างและรีบปีนเข้าไปด้านใน
อวี้ชิงลั่วกระโดดพลิกตัวเข้าไปด้านในด้วยท่วงท่างดงาม มองการตกแต่งภายในห้อง มุมปากพลันเม้มตึงโดยไม่รู้ตัว
ดูจากสภาพเช่นนี้ ก็พอจะรู้แล้วว่าอวี้ชิงลั่วในตอนนั้นอยู่ในสถานะเช่นไรภายในจวนอวี๋แห่งนี้ ภายในห้องแทบไม่มีอะไรเลย โต๊ะและเก้าอี้ก็เป็นงานหยาบไร้ความประณีต ตู้และกล่องเก็บของก็มีแค่หนึ่งสองกล่องเท่านั้น เมื่อเทียบกับการตกแต่งภายในห้องของหลี่หรานหร่านแล้ว ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริง ๆ
“ห้องของแม่นมเก๋ออยู่ที่ใด?” นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันกลับมาถามเยว่ซิน
เยว่ซินชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้นได้สติกลับมาก็รีบชี้ไปทางขวามือ กล่าวว่า “อยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้างกายของคุณหนูมีแม่นมเก๋อคอยดูแล เพื่อมิให้แม่นมต้องวิ่งเทียวไปเทียวมา จึงให้อยู่ร่วมกันในห้องเจ้าค่ะ”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า จากนั้นจึงยกชายกระโปรงเดินไปที่เตียงของแม่นมเก๋อ
ทางฝั่งนี้ถูกจัดวางไว้เรียบง่ายยิ่งกว่าของนางเสียอีก มองเพียงปราดเดียวก็จำได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง ที่นี่มีเตียงหนึ่งตัวและตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งตู้เท่านั้น มิได้มีสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้
อวี้ชิงลั่วกวาดตาสำรวจไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดจึงก้าวเท้าไปยังตู้บานนั้นที่ถูกเปิดทิ้งไว้
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วคนเก่าดูเป็นสนามอารมณ์ของทุกคนยังไงไม่รู้ค่ะ สภาพความเป็นอยู่แร้นแค้นยิ่งกว่าคนใช้อีก
ไหหม่า(海馬)