ตอนที่ 479 อิ๋นเอ๋อร์

“คนผู้นี้คือ?” ก่วนฟางอี๋ถามอย่างฉงนเล็กน้อย

“อสูร…” หนิวโหย่วเต้าอ้าปากพูดแต่ก็หยุดไป อสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นชื่อที่โลกภายนอกตั้งขึ้นมาในภายหลังเพื่อเรียกขานแบ่งชนชั้นอสูรผีเสื้อ จะเรียกว่าราชินีปีศาจผีเสื้อต่อหน้าอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่เหมาะเช่นกัน จะเรียกว่าผู้อาวุโส ก่วนฟางอี๋ก็คงฟังไม่เข้าใจ ตอนนี้ถึงได้นึกถึงปัญหานี้ขึ้นมา เขาหันไปเอ่ยถามอสูรศักดิ์สิทธิ์ “ข้าช่วยตั้งชื่อเรียกให้เจ้าดีหรือไม่”

อสูรศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

ก่วนฟางอี๋นึกสงสัย เป็นคนที่ไม่รู้จักชื่อ ทั้งยังต้องให้เจ้าตั้งชื่อด้วยอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร?

หนิวโหย่วเต้าครุ่นคิดเล็กน้อย “อิ๋นเอ๋อร์ ต่อไปเรียกเจ้าว่าอิ๋นเอ๋อร์แล้วกัน”

อสูรศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าแรงๆ ยกยิ้มสดใส เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง “อิ๋นเอ๋อร์!”

ก่วนฟางอี๋ทนไม่ไหว จึงถามไปว่า “เต้าเหยี่ย มันเรื่องอะไรกัน?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเรื่องอะไร”

ก่วนฟางอี๋ไม่เชื่อ “ใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เจ้าปล่อยให้อยู่ข้างกายจับเสื้อเจ้าไว้ไม่ปล่อยอย่างนั้นหรือ? ”

ใครที่ไหนก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ? หากพูดออกไปกลัวเจ้าจะตกใจเอาน่ะสิ หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้วเอ่ยไปว่า “ข้าย่อมทราบดีว่าเป็นผู้ใด ก็คนที่โจมตีจนเจ้าสลบไปก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า นางกลายเป็นคนแล้ว”

ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางเบิกตากว้างทันที มองไปที่อิ๋นเอ๋อร์อย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็พากันมองมือของอิ๋นเอ๋อร์ที่จับเสื้อหนิวโหย่วเต้าไว้ ต่างรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที

ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังรู้สึกแปลกๆ ในสถานที่บ้าบอเช่นนี้จะมีสตรีคนหนึ่งโผล่มาได้อย่างไร เห็นสตรีนางนี้สนิทสนมใกล้ชิดกับหนิวโหย่วเต้าก็นึกว่าเป็นคนรู้จักของหนิวโหย่วเต้า บางทีอาจจะตามมาช่วยอะไรทำนองนั้น ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าเข้ามาลึกถึงที่นี่ได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่น่าหวาดกลัวตนนั้น!

“นี่…” ก่วนฟางอี๋ยังคงหวาดหวั่นต่อการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวนั้นของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ถามอย่างค่อนข้างหวาดกลัว “เต้าเหยี่ย เจ้าไม่ได้ล้อเล่นกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าผายมือออก ท่าทางจนปัญญาอย่างมากเช่นกัน艾琳小說

เขาก็ไม่ได้อยากมีคนที่ติดตามไปทั่วเช่นนี้เลย ไม่ว่าท่าทีที่ดูไร้พิษภัยของอสูรศักดิ์สิทธิ์จะเป็นการเสแสร้งหรือไม่ แต่การที่มีราชินีปีศาจอันน่าหวาดผวาเช่นนี้ตามติดไปทุกฝีก้าวจะยังรู้สึกสบายใจได้อีกหรือ? ไม่มีใครรู้ว่านางจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตอนไหน หากว่านางไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ผลลัพธ์จะรุนแรงนัก เปรียบเสมือนมีจอมปีศาจติดตามอยู่ข้างกายซ้ำยังเป็นจอมปีศาจที่พร้อมจะซัดเจ้าให้ตายได้ทุกเมื่อ

ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางมองไปที่หยวนกัง ล้วนทราบดีว่าแม้คนผู้นี้จะไม่ชอบพูด แต่หากเปิดปากพูดส่วนใหญ่ไม่เคยโป้ปดเลย

หยวนกังพยักหน้าเล็กน้อย

จิตใจของก่วนฟางอี๋และหยวนฟางตึงเครียดขึ้นมา แม้ว่าอิ๋นเอ๋อร์จะดูบริสุทธิ์ไร้พิษภัย แต่ทั้งสองล้วนกระวนกระวายใจ เงียบงันเสมือนจักจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าพูดจาส่งเดชอีก

เดิมทีทั้งสองอยากจะถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จนใจที่อยู่ต่อหน้าอิ๋นเอ๋อร์จึงไม่กล้าถามมากอีก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องกลัว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว”

ดูเหมือนหรือ? ทั้งสองมองอิ๋นเอ๋อร์ เรื่องร้ายแรงถึงชีวิต ไม่มีผู้ใดทราบถึงอารมณ์ของราชินีปีศาจตนนี้ได้แน่ชัด จะใช้คำว่าดูเหมือนได้หรือ?

พอเห็นก่วนฟางอี๋มีสีหน้าย่ำแย่ หนิวโหย่วเต้าจึงเอ่ยถามไป “บาดเจ็บหนักมากหรือ?”

ก่วนฟางอี๋เหลือบมองอิ๋นเอ๋อร์ “พอไหว พักฟื้นไปสักระยะก็ดีขึ้นแล้ว”

พอกล่าวมาถึงตรงนี้ หยวนฟางอิจฉานักที่นางมีโอสถวิญญาณรักษาอาการบาดเจ็บติดตัว บาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้น ตอนแรกขยับนิดขยับหน่อยก็เต็มกลืนแล้ว สุดท้ายกินโอสถวิญญาณเข้าไปเม็ดเดียวก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ถึงแม้อาการบาดเจ็บจะไม่หายสนิท แต่ผลลัพธ์ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว

ก่วนฟางอี๋ก็มองเห็นแผลที่มือเขาแล้วเช่นกัน นางเอ่ยถาม “เจ้าปลอดภัยดีกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “จะปลอดภัยได้อย่างไร? ซี่โครงหักไปหลายซี่ แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง”

ก่วนฟางอี๋สังเกตเห็นไข่มุกสีทองในมือเขาแล้ว จึงเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง “นางมอบให้เจ้าหรือ?”

เรื่องนี้หนิวโหย่วเต้าไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายมอบให้ อสูรศักดิ์สิทธิ์คล้ายจะลืมไข่มุกสีทองเม็ดนี้ไปแล้ว แล้วก็ไม่ได้บอกว่ายกให้เขา เป็นหยวนกังที่เก็บกลับมา เขาเอ่ยยิ้มๆ “อยู่ในมือข้าก็ต้องเป็นของข้าสิ”

ก่วนฟางอี๋ยื่นมืออกไปทันที “ส่งมาให้ข้า!”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “เจ้าใช้ประโยชน์ได้หรือ?”

ก่วนฟางอี๋พลันแสดงสีหน้าเจ็บปวด “ยันต์กระบี่สวรรค์หนึ่งแผ่นมีราคามากเท่าไรเจ้าน่าจะรู้กระมัง? ข้าเสียหายมากขนาดนี้ก็ควรได้รับสิ่งชดเชยบ้างมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา โยนส่งให้โดยไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย

เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เขาย่อมต้องมีวิธีให้ก่วนฟางอี๋นำออกมา แค่มอบให้นางเก็บรักษาไปก่อนเท่านั้น

ชั้นเชิงในด้านนี้ก่วนฟางอี๋ไหนเลยจะสู้เขาได้ ไม่รู้เท่าทันความคิดเขา หลงนึกว่าตนได้กำไรแล้ว พอรับมาถึงมือก็เหลือบมองอิ๋นเอ๋อร์ก่อนเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าราชินีปีศาจไม่ได้มีท่าทีอะไรถึงได้ยิ้มหน้าบานเก็บไว้อย่างดีใจ โยนเรื่องสูญเสียยันต์กระบี่สวรรค์ออกไปจากสมองแล้ว

สัญลักษณ์สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ สมบัติที่ทำให้อวิ๋นจียอมเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นเพื่อให้ได้มา ขอถามหน่อยเถิดว่ามูลค่าของยันต์กระบี่สวรรค์แผ่นหนึ่งจะเทียบกันได้หรือ นางย่อมคิดว่าตนได้กำไรแล้ว ย่อมไม่คิดถือสาเรื่องที่สูญเสียยันต์กระบี่สวรรค์อีกต่อไป

สมบัติล้ำค่าเชียวนะ! แววตาหยวนฟางเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่เขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไร ในฐานะที่เป็นคนดียวที่หนีเอาตัวรอดไปในยามที่ประสบอันตราย ตัวเขาก็รู้สึกละอายใจเช่นกัน ได้แต่ทำตัวเป็นผู้ตามอย่างอ่อนน้อมว่าง่าย เลี่ยงไม่ให้สร้างปัญหาแก่ตัวเอง

หลังเก็บมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ไปนางก็นึกถึงเจ้าของคนก่อนหน้านี้ ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปประโยคหนึ่ง “อวิ๋นจีตายแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหันไปมองอิ๋นเอ๋อร์เล็กน้อย “นางไม่ได้บอก เจ้าคิดว่านางลงมือแล้ว อวิ๋นจีจะมีจุดจบที่ดีอันใดหรือ?” ว่าแล้วก็ถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าโหวฉิงเทียนจะรู้หรือไม่ว่าอวิ๋นจีมาพบเขา หลังออกจากแดนความฝันไป เกรงว่าต้องเผชิญกับคำถามแน่นอน เรื่องนี้ยากจะอธิบายได้จริงๆ คงได้แต่ต้องบอกว่าไม่รู้เท่านั้น

พอจะนึกภาพออกเลยว่าเขาข้ามเมฆาที่ขาดอวิ๋นจีไป เกรงว่าคงจะลำบากแล้ว

ในเมื่อราชินีปีศาจนางนี้ไม่พูด ก่วนฟางอี๋ก็ได้แต่ตอบว่า “โอ้” เท่านั้น ไม่ได้ถามมากความอีก แต่คิดๆ ไปแล้วก็ถูก นางเคยประจักษ์ในพลังของอสูรศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าอวิ๋นจีจะประสบเคราะห์ไปแล้ว

“เลิกพูดเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว ไปกันเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าร้องเรียก

….

“กี้ด!”

บนกำแพงพระราชวัง อิ๋นเอ๋อร์แผดเสียงแหลมยาว อสูรผีเสื้อทั่วสารทิศที่มารวมตัวพากันแยกย้ายจากไป

อสูรโลหิตหลายตัวบินขึ้นไป มีมนุษย์หลายคนห้อยโหนอยู่เบื้องล่าง บินโฉบไปยังส่วนลึกของป่ามหัศจรรย์อันกว้างใหญ่

อสูรโลหิตที่หิ้วหนิวโหย่วเต้าค่อนข้างลำบากเล็กน้อย ช่วยไม่ได้จริงๆ ยังมีใครอีกคนที่เอาแต่จับเสื้อหนิวโหย่วเต้าไว้ไม่ยอมปล่อย จึงทำให้อสูรโลหิตตัวนั้นประสบความลำบาก

ตัวอิ๋นเอ๋อร์ก็สามารถกางปีกเรืองแสงโบยบินเองได้ แต่เป็นหนิวโหย่วเต้าที่นึกกลัวจึงขอให้อีกฝ่ายเก็บปีกเอาไว้ อาภรณ์ฉีกขาดเป็นเรื่องเล็ก ประเด็นหลักคือปีกเรืองแสงสีเงินคู่นั้นสะดุดตาเกินไป แตกต่างกับอสูรผีเสื้อตัวอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

ระหว่างทาง ก่วนฟางอี๋อดใจไม่ไหวเอ่ยถามไป “เต้าเหยี่ย เจ้าจะพานางออกจากแดนความฝันจริงๆ หรือ?”

จากเรื่องราวเห็นได้ชัดว่าการพาราชินีปีศาจตนนี้ออกไปมิใช่เรื่องดีอันใดเลย มีแต่จะชักนำความเดือดร้อนมาให้ตน

อิ๋นเอ๋อร์กลับมอบคำตอยให้นางแล้ว

พอได้ยินว่าจะให้ตนแยกกับหนิวโหย่วเต้า อิ๋นเอ๋อร์ที่จับเสื้อหนิวโหย่วเต้าไว้พลันกวาดสายตาเย็นชามองมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่พอใจ มองออกชักเจนว่าไม่พอใจนาง รู้สึกโกรธมาก

แม้แต่หนิวโหย่วเต้าก็เพิ่งเคยเห็นนางแสดงความโกรธออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่กลายร่างเป็นมนุษย์ บรรยากาศตอนนี้หนักอึ้งขึ้นมาในชั่วพริบตา

จิตใจก่วนฟางอี๋สั่นสะท้าน หดคอทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้ง “ล้อเล่นน่ะ ล้อเล่น” นางเบือนหน้าหนี ทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรออกมา

มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ราชินีปีศาจตนนี้ต้องการออกไป เกรงว่าหนิวโหย่วเต้าก็คงขัดนางไม่ได้เช่นกัน

ที่สำคัญคืออีกฝ่ายเกาะหนิวโหย่วเต้าไว้ไม่ปล่อย จะคิดแผนวางอุบายใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น เจอคนดื้อด้านเกาะติดเช่นนี้เข้า ต่อให้จะคิดแผนสลัดทิ้งออกมาได้ แต่เจ้าก็ไม่มีทางเริ่มลงมือได้ หากว่าเจ้ามีปัญญาก็ลองดูสิ

….

ทั้งคณะไม่กล้าย้อนกลับไปทางหน้าผาแห่งนั้นอีก ได้แต่อ้อมวนไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าแล้วถึงจะร่อนลงพื้น

หลังจากอสูรโลหิตทั้งหลายแยกย้ายจากไปแล้ว พวกหนิวโหย่วเต้าก็เริ่มแยกกลุ่มกัน หนิวโหย่วเต้าให้พวกหยวนกังทั้งสามไปก่อน ให้ทั้งสามผ่านทางเข้าออกแดนความฝันออกไปก่อน ไม่ได้ไปพร้อมกัน หากเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นจะได้ไม่ตกอยู่ในอันตรายไปด้วยกันหมด

ส่วนอิ๋นเอ๋อร์ไม่อาจสลัดทิ้งได้ หนิวโหย่วเต้าได้แต่ต้องพาไปด้วย

เฉาเซิ่งไหวที่นอนอยู่บนพื้นค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา พอลืมตามองเห็นหนิวโหย่วเต้าก็ตกใจหดตัวไปด้านหลัง คลานลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เขามองดูสตรีที่ยืนจับเสื้อหนิวโหย่วเต้าอยู่ทางด้านหลัง ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงเอ่ยด้วยความตระหนกหวาดกลัว “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่ทำอะไร ย่อมต้องปล่อยเจ้าไปตามที่เคยพูดไว้”

เฉาเซิ่งไหวสับสนไม่แน่ใจ “จริงหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ

เฉาเซิ่งไหวคิดว่าเรื่องราวน่าจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เขาเอ่ยถามไปประโยคหนึ่ง “ข้าเป็นคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เจ้าไม่กลัวข้าออกไปแล้วจะล้างแค้นเจ้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าเคยมอบบทเรียนให้ศิษย์สำนักเพลิงนภามาแล้ว แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ดี ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้วอย่างไรเล่า? อยากล้างแค้นหรือ หากมีปัญญาก็เชิญได้เต็มที่เลย ข้าจะรอ”

เฉาเซิ่งไหวถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หนิวโหย่วเต้าจากมณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยน!”

เฉาเซิ่งไหวตะลึงงัน “เจ้าคือหนิวโหย่วเต้าหรือ”

ในโลกบำเพ็ญเพียร ณ ปัจจุบันนี้ แม้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร แต่ก็เป็นคนมีชื่อเสียง ขอเพียงไม่ถูกปิดกั้นข่าวสารก็จะต้องพอได้ยินข่าวมาบ้าง

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จริงหรือเท็จไม่สำคัญ จงจำไว้ หลังกลับไปให้ติดต่อมาหาข้าที่โรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์ในเมืองวั่นเซี่ยง ”

“ได้!” เฉาเซิ่งไหวตอบรับ ยามนี้ถึงได้ยอมเชื่อขึ้นมาว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไปจริงๆ แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตนทำลงไป เขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่เหอโหย่วเจี้ยนของข้าล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้ว “เจ้าสังหารน้องชายแท้ๆ ของเขา ข้าห่วงว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเจ้า เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดการต่อสู้กันอีก จึงจัดการพาเขาออกมาจากแดนความฝันก่อนแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงเจ้าไม่ยินดีจะให้เขากลับไปยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เขาย่อมไม่ปรากฏตัวขึ้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์แน่นอน เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจความหมายของข้า”

เฉาเซิ่งไหวตระหนักบางอย่างได้แล้ว จิตใจหนักอึ้ง แว่วตาเปี่ยมไปความเศร้างหมอง

เพราะเรื่องพวกนั้นที่เขากระทำไว้ ทำให้เขาไม่อาจจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเมื่อเหอโหย่วเจี้ยนกลับไปยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบของสำนักใดก็มิใช่เพียงของที่ตั้งประดับไว้ดูเฉยๆ ต่อให้เป็นท่านปู่ก็ปกป้องเขาไว้ไม่ได้

ต่อให้เขายอมสารภาพผ่อนหนักให้เป็นเบา บอกว่าถูกคนผู้นี้บีบบังคับจนหมดทางเลือก แต่คนที่สังหารศิษย์ร่วมสำนักเพื่อเอาตัวรอดจะยังมีอนาคตในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้อีกหรือ?

ท่านปู่ของเขามีฐานะเป็นผู้อาวุโสทรงเกียรติ ไม่เพียงแต่จะไม่ปกป้องเขาเท่านั้น แต่อาจจะลงโทษเขาอย่างหนักต่อหน้าคนอื่นด้วย

เรื่องเหล่านี้หนิวโหย่วเต้าย่อมทราบดี หยวนกังรู้ว่าเขาต้องการอะไร ยามที่ไต่สวนสามศิษย์พี่น้องจึงพุ่งเป้าไปที่พื้นฐานนิสัยพวกเขา

“ข้าไม่ใช่คนไร้สิทธิ์ไร้เสียงอันใดที่จะปล่อยให้ผู้ใดมาข่มเหงได้ คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เล่นนอกกติกา ข้าสังหารคนเพื่อป้องกันตัว ต่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะรู้ก็ทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น ต่อให้เจ้าร้องเรียนไปก็ไม่ส่งผลใดๆ ต่อข้า คนที่จะซวยก็มีแต่เจ้าเท่านั้น อย่าได้ทำให้ท่านปู่ของเจ้าลำบากเลย ต่อให้เจ้าจะขอให้ปู่เจ้ามากำจัดข้าก็ไม่มีประโยชน์ ปู่เจ้าไม่มีทางสังหารคนของข้าได้หมดสิ้น ในมณฑลหนานโจวของข้ามีคนที่ติดต่อกับผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเจ้าได้ ปู่เจ้าเองก็ขวางไม่ได้เช่นกัน หากเรื่องลุกลามใหญ่โต ปู่เจ้าคงรักษาตำแหน่งผู้อาวุโสไว้ไม่อยู่ เจ้าจะยิ่งลำบาก ตัวข้าผู้นี้ไม่มีทางเอาเปรียบสหาย เรื่องเงินทองคุยกันง่าย ข้าจะให้คนนำมามอบให้เจ้าตามเวลาที่กำหนด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเสี่ยงๆ เลย เจ้าแบกรับไม่ไหวหรอก” หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไป พลางหยิบตั๋วเงินมูลค่าหมื่นเหรียญทองสิบแผ่นยัดใส่มือเขา

………………………………………………………………….