บทที่ 490 เพลงนี้ที่ฉันร้อง ก็คือคำสารภาพรักกับคุณ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

สือจินหว่านคิดหาจังหวะและโอกาสเพื่อสารภาพรักมาตลอด ท้ายที่สุดเธอก็หาโอกาสที่ดีได้แล้ว

และหลายวันมานี้ ในงานแต่งงานของมู่ยวี๋ฮั่น โอหยางจวิ้นก็อวยพรให้อย่างใจกว้าง ทั้งสองคนสวมกอดกันอย่างมิตรภาพในงานแต่ง ทำให้คนที่รู้ว่าพวกเขาเคยหมั้นหมายกัน ได้ขจัดการคาดเดาและความสงสัยในใจไปจนหมด

เข้าใจดีว่าการบีบบังคับมักจะไม่มีความสุข เมื่อขจัดความสงสัยของทุกคนออกไปแล้ว ก็ขอให้คู่บ่าวสาวอยู่กันไปจนแก่จนเฒ่า

งานแต่งงานของมู่ยวี๋ฮั่น สือจินหว่านก็มาร่วมงานด้วย เพียงแต่ว่าไม่ใช่วันหยุด ดังนั้นเธอแค่ไปเข้าร่วมพิธี แล้วก็กลับไปที่โรงเรียนต่อ

เวลาได้ดำเนินมาถึงปลายภาคเรียนแล้ว วันนี้หลังจากสือจินหว่านสอบจบการศึกษาแล้ว ก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงจบการศึกษากับเพื่อนร่วมชั้นที่จบการศึกษามาด้วยกัน

ในเมื่อเธอเข้าร่วมสมาชิกของวงดนตรีแล้ว เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่แสดงไม่ได้ วันนี้ก็มีการแสดงของเธอ เธอจึงแจ้งกับโอหยางจวิ้นให้ทราบล่วงหน้า

สือจินหว่านจบการศึกษาแล้ว โอหยางจวิ้นจึงมาถึงโรงเรียนแต่เช้า และนั่งในที่นั่งที่เธอจัดไว้ให้ เพื่อรอพิธีเปิดงานเลี้ยงตอนเย็น

สือจินหว่านเป็นนักเรียนที่จบการศึกษา ฉะนั้นบริเวณที่นั่งจึงห่างกับโอหยางจวิ้นพอสมควร เมื่อนึกถึงวันนี้ที่เธอรอคอยมาตลอด ภายในใจของเธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน

การแสดงของเธออยู่ระหว่างกลางจนเกือบท้ายๆ เมื่อเห็นว่าใกล้เข้ามาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง มองไปทางด้านโอหยางจวิ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบเดินไปที่ด้านหลังเวที

เครื่องแต่งกายเตรียมไว้พร้อมแล้ว เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดแต่งทรงผมของตนเอง แล้วพูดกับเพื่อนในวงดนตรีว่า : “ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม?”

“วางใจเถอะ วันนี้เป็นงานใหญ่ของคุณ พวกเราจะต้องช่วยสนับสนุนกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว!” นักร้องนำของวงดนตรีตบๆไหล่ของสือจินหว่าน : “คุณไม่เคยเป็นนักร้องนำอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่จงจำความรู้สึกตอนที่เราซ้อมไว้ อย่าตึงเครียด คิดว่าผู้ชมด้านล่างเวทีเป็นสัตว์ตัวน้อยๆก็พอ!”

สือจินหว่านพยักหน้า : “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว! ขอบคุณทุกคนนะ!”

วันนี้เธอเพิ่งบอกทุกคนว่าเธอกำลังจะขึ้นเวทีเพื่อสารภาพรัก เพราะเธอเชิญคนรักที่จะสารภาพรักมาด้วย ฉะนั้นจึงขอให้ทุกคนช่วยร่วมมือกันทำให้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ!

เวลาค่อยๆใกล้เข้ามา จนกระทั่งสือจินหว่านได้ยินพิธีกรประกาศการแสดงของเธอ

“สู้ๆนะ Wan!”

“Wan คุณทำสำเร็จอย่างแน่นอน!’

ทุกๆคนแปะมือให้กำลังใจอยู่ที่ด้านหลังเวที เมื่อม่านด้านหน้าถูกเปิดออก ทุกคนจึงเข้าสู่การแสดงพร้อมๆกัน

เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินชื่อ ก็นั่งตัวตรงทันที การแสดงของสาวน้อยของเขา เขาจะไม่ตั้งใจดูได้อย่างไร?!

เวลานี้ม่านได้เปิดออกมา จึงเห็นสือจินหว่านสวมชุดเดรสคลาสสิกสีแดง ด้านหลังเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ โอหยางจวิ้นนั่งอยู่ด้านล่างของเวที จู่ๆก็รู้สึกว่า สาวน้อยของเขาเป็นวัยรุ่นแล้ว แล้วก็สวยจนทำให้คนไม่สามารถละสายตาไปได้

เธอเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับให้ผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วกล่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า : “บทเพลงในวันนี้ ฉันมาขับร้องให้ผู้ชมท่านหนึ่งในที่นี้ฟังโดยเฉพาะ ชื่อบทเพลงก็คือคำพูดที่อยากจะบอกกับเขา อยากขอบคุณที่เขาดูแลและคอยอยู่เคียงข้างมาตลอดหลายปีนี้ และหวังว่าในอนาคต ฉันจะสามารถดูแลและอยู่เคียงข้างเขาได้เหมือนที่เขาปฏิบัติกับฉัน!”

เธอพูดจบ ก็มองมาที่โอหยางจวิ้น แล้วพูดเป็นภาษาจีนว่า : “อาจวิ้นคะ บทเพลงนี้ขอมอบให้คุณค่ะ!”

สือจินหว่านพูดจบ เสียงดนตรีก็ดังขึ้นมา นักดนตรีด้านหลังเธอก็เริ่มบรรเลงเพลง

เวลานี้บนหน้าจอขนาดใหญ่ ปรากฏชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นแล้ว ก็หายใจไม่เป็นจังหวะ

《Love for the whole life》

เวลานี้เมื่อดนตรีจบลง สาวน้อยของเขาที่สวมชุดแดงไปทั้งตัว ก็จ้องมองมาที่เขา แล้วร้องเพลงด้วยภาษากว้างตุ้งที่เขาฟังไม่เข้าใจ : “วันวานผ่านพ้นไปไม่มีวันหวนกลับ กลีบกุหลาบแดงถูกกลบฝั่งอยู่ภายใต้ผงฝุ่นชั่วกาล จากเริ่มต้นจวบจนสิ้นสุดมิอาจที่จะแปรเปลี่ยน หลงทางอยู่ในหมู่เมฆาบนท้องนภาอันแสนกว้างใหญ่……”

น้ำเสียงของเธอเพราะที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา เวลานี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเนื้อเพลงสักคำ แต่เมื่อได้สบตากัน เขาเห็นประกายในแววตาของเธอ มันราวกับมีวังวน ที่ต้องการจะดึงดูดจิตวิญญาณของเขาไปสู่ส่วนลึกของจิตวิญญาณเธอ

“ความรักและเกลียดชังเวียนวนอยู่ในห้วงมหาสมุทรแห่งความขื่นขม ในโลกนี้มิมีผู้ใดที่หลีกพ้นจากเวรกรรมได้ แม้ว่าจะรักกันก็มิอาจอยู่ร่วมกัน หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา”

ที่ด้านข้างเวที ดูเหมือนว่าจะมีคนตั้งใจเปิดพัดลมโดยเฉพาะ เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ให้คล้ายกับลมพายุทะเลทราย ทำให้กระโปรงสีแดงของสือจินหว่านพลิ้วไหวอยู่ในฉากทะเลทรายสีเหลืองกว้างใหญ่

โอหยางจวิ้นรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกเธอนำพาไปยังโลกของทะเลทรายที่เปล่าเปลี่ยวและมีอาทิตย์อัสดงในแม่น้ำที่ทอดยาวเป็นสาย ในดวงตาของเขามีแค่เธอ และข้างๆหูก็มีแค่เสียงของเธอ

“คนรักที่จากไปไม่มีวันหวนกลับ นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้วเหม่อมองไปยังโลกแห่งความเงียบงัน แม้นบุปผาจะแห้งเหี่ยวโรยรา หมู่บุปผาจะเบ่งบานอีกครา ความรักในชีวิตของฉันนั้นดูเหมือนว่า ไกลลิบลิ่วเกินกว่าหมู่เมฆา……”

ดวงตาของเธอ มีสิ่งที่คล้ายๆน้ำเอ่อล้นขึ้นมา เขาพบว่าในขณะนี้ ความต้านทานในหัวใจของเขาที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าจะค่อยๆพังทลายลง

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ? เธอเป็นแค่สาวน้อยของเขา เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต……

แต่เมื่อเห็นประกายในแววตาของเธอ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองกลับเจ็บปวดขึ้นมาเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอ เป็นเพราะตนเอง หรือเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่

เธอยังคงร้องต่อไป และสายตาก็ไม่ละออกจากเขาไปเลย : “ความรักและเกลียดชังเวียนวนอยู่ในห้วงมหาสมุทรแห่งความขื่นขม ในโลกนี้มิมีผู้ใดที่หลีกพ้นจากเวรกรรมได้ แม้ว่าจะรักกันก็มิอาจอยู่ร่วมกัน หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา……”

การแสดงของเธอดูแน่วแน่และอบอุ่น ทำให้เขานึกถึงการกระทำที่บอกเป็นนัยๆของเธอก่อนหน้านี้ที่ปฏิบัติต่อเขา

เมื่อก่อนเขาไม่เชื่อว่าสาวน้อยจะมีความรู้สึกที่มากมายเช่นนี้ เวลานี้จากบทเพลงนี้ที่ฟังไม่ออก แต่เมื่อมองเห็นก็เชื่อหมดใจแล้ว

เดิมทีไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเธอ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าที่จะสืบลึกไปจนถึงต้นเหตุ

เธอรู้เรื่องตั้งแต่เด็ก รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ตอนนี้เธอโตแล้ว มีความกล้าหาญ ยืนหยัด แล้วก็มุ่งมั่น

ก็เหมือนกับตอนที่เขาเห็นเธอแข่งขันว่ายน้ำ เธอทุ่มเทมาโดยตลอด

ดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่เธอเฉยชากับเขา ก็เพียงเพราะว่าเขามีคู่หมั้น

ตอนนี้ ที่เธอกระตือรือร้นกับเขา ก็เพราะว่าเขากลับมาโสดแล้ว

แทนที่จะพูดว่าเขาดูแลเธอมาตลอดหลายปี จะดีกว่าที่จะพูดว่า หลายปีมานี้ เพราะเธอ ในที่สุดเขาจึงมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

เรียนรู้ที่จะเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นนอกเหนือจากครอบครัว ความรุ่งโรจน์ และผลประโยชน์ เข้าใจอารมณ์ดีใจโกรธเศร้าสุขมากขึ้น และเธอยังทำให้โลกที่จืดชืดน่าเบื่อทั้งใบสว่างไสวขึ้นมาอีกด้วย

“แม้ว่าจะรักกันก็มิอาจอยู่ร่วมกัน หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา……..”

ในสายตา ทะเลทราย ชุดกระโปรงที่พลิ้วไหว ดวงตาที่จับจ้องมาที่เขาเพียงผู้เดียว เสียงที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเขา……โอหยางจวิ้นรู้สึกเพียงว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เขาก็จะไม่มีทางลืมทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้ และสาวน้อยคนนั้นที่กล้าหาญที่จะร้องเพลงเพื่อเขา

เวลานี้ มีเพื่อนนักเรียนเดินมายังตรงหน้าโอหยางจวิ้น แล้วส่งดอกกุหลาบหนึ่งช่อให้กับเขา : “คุณอา เอาให้Wanเถอะค่ะ เพื่อนคนอื่นๆที่ออกไปแสดงมีดอกไม้กันหมดแล้วนะคะ!”

โอหยางจวิ้นหยิบดอกไม้ เพราะความใจลอย จึงถูกหนามด้านบนแทงเล็กน้อย

ความเจ็บปวดแพร่เข้ามา เขาจึงตื่นจากภวังค์ เงยหน้ามองหญิงสาวบนเวทีที่ยังคงร้องเพลงให้เขา จากนั้น ก็ลุกขึ้นยืน

เขารู้ว่าตอนนี้เขายังไม่สามารถให้คำตอบอะไรกับเธอได้ แต่เวลานี้ แค่อยากขึ้นไป แล้วโอบกอดเธอ

บนเวที สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นเดินเข้ามา จึงเริ่มรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ เธอก็คิดว่าตนเองหวาดกลัว แต่เมื่อได้เห็นเขา อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ก็ถูกทิ้งเอาไว้ในสมอง เธอร้องเพลงให้เขาเพียงคนเดียว เนื้อเพลงทุกประโยค ล้วนเป็นคำสารภาพรัก และยังมีอีกมากมาย ที่เธอต้องการจะร้องเป็นเพลงออกมา

เธอรู้ว่า เธอยังเด็ก เขาสามารถปฏิเสธได้ และยังนึกถึงว่าอาจจะมีตัวแปรอีกมากมายในอนาคต แต่เธอก็ต้องการที่จะให้เขารับรู้ หัวใจของเธอ

เธออยากให้เขารับปากสักคำ แม้เพียงคำเดียวก็ยังดี

เวลานี้ เขาเดินเข้าไปทีละก้าวๆ หัวใจของเธอ ก็ราวกับจะกระโดดขึ้นมาที่ลำคอ ชั่วพริบตา คาดไม่ถึงว่ามือไม้จะทำอะไรไม่ถูก

“หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา……” สือจินหว่านร้องเพลงประโยคสุดท้ายออกมา

โอหยางจวิ้นนำดอกไม้ในมือส่งให้ : “หวันหว่าน ฉันให้คุณ”

ดอกกุหลาบสีแดงสด ก็ไม่อาจสู้ความประกายแวววาวที่เด่นชัดในดวงตาของเธอ

เธอรับดอกไม้ของเขา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง โอหยางจวิ้นก็ยื่นแขนออกมา แล้วโอบกอดสือจินหว่านเอาไว้แน่น : “หวันหว่าน คุณร้องเพลงได้ไพเราะอย่างมาก!”

ถึงแม้ว่าฉันจะฟังเนื้อเพลงไม่เข้าใจเลยสักประโยค แต่ฉันเข้าใจหัวใจของคุณ โอหยางจวิ้นกล่าวเสริมภายในใจ

น้ำตาที่เธออดกลั้นมาเป็นเวลานาน ถึงตอนนี้จึงไหลรินออกมา

โอหยางจวิ้นรู้สึกถึงความชุ่มชื้นในลำคอ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน แต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

“อาจวิ้น คุณอย่าเพิ่งไปนะ การแสดงของฉันจบแล้ว จะไปหาคุณทันที” สือจินหว่านพยายามระงับเสียงที่สั่นเครือในเวลานี้

“โอเค” เขารับปากพลาง ค่อยๆปล่อยเธอช้าๆ แล้วยื่นมือออกไป ช่วยเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มให้เธอ : “เชื่อฟังนะ ขืนร้องไห้อีกเครื่องสำอางจะเลอะเอาได้นะ”

เธอยิ้มขึ้นมา ความอบอุ่นคล้ายกับสามารถทำให้เขาละลายได้

ด้านหลัง การบรรเลงเพลงของวงดนตรีก็ค่อยๆหยุดลง โอหยางจวิ้นเดินลงมาล่างเวที สือจินหว่านและคนทั้งวงดนตรีแสดงความเคารพต่อผู้ชมด้านล่างแล้วลงจากเวทีไป

“Wan วันนี้คุณร้องเพลงได้เจ๋งมากเลย! ถึงแม้พวกเราจะฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็ถูกคุณทำให้หลงเสน่ห์อย่างมาก!”

ใช่ๆ ถ้าฉันเป็นคนรักที่ถูกคุณสารภาพรักนะ จะตอบรับคุณทันทีเลยแหละ!”

“Wan มีข่าวดีแล้วจะต้องบอกพวกเราทันทีเลยนะ!”

“โอเค!” สือจินหว่านได้ฟังคำพูดของทุกคนแล้ว ก็กล่าวว่า: “ตอนนี้ฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาเขา เพื่อถามคำตอบของเขา!”

“สู้ๆนะ!”

ทุกคนโอบกอดสือจินหว่าน : “Fighting!”

เธอพยักหน้า ไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็วิ่งออกไปทางหลังเวที

โอหยางจวิ้นได้รับข้อความที่สือจินหว่านส่งมาให้ เห็นเธอบอกว่าอยู่ที่สวนหย่อมของโรงเรียน รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นไปยังที่นั่นทันที

จากที่ไกลๆ เขาเห็นเธอยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น เหมือนกับตอนเด็กๆที่รอเขา น่าเอ็นดูจนทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร

หัวใจของเขาสั่นเล็กน้อย จากนั้น ก็เดินเข้ามาทีละก้าวจนมาถึงตรงหน้าเธอ

“อาจวิ้น!” สือจินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวเสียงดังว่า : “คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงนัดคุณมาที่นี่?”

เขาสบตาของเธอ เวลานี้ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเอ่ยปากว่า : “หวันหว่าน คุณ…….”

แต่เธอดึงเขา แล้วตัดบทเขาทันที : “อาจวิ้น ฉันไม่อยากให้คุณพูดเรื่องอื่น! ฉันอยากบอกคุณว่า ฉันชอบคุณ อยากให้คุณเป็นแฟนของฉัน!”

เธอโตมาขนาดนี้แล้ว นี่คือช่วงเวลาที่กล้าหาญที่สุด มือของสือจินหว่านจับโอหยางจวิ้นเอาไว้แน่น ยืนกรานว่าต้องการคำตอบของเขา

“หวันหว่าน คุณยังเด็ก อีกอย่างตอนนี้…..” เขาเห็นท่าทีของเธอ ในหัวใจก็เจ็บปวด พออยากจะอธิบาย แต่เห็นว่าจู่ๆเธอก็ร้องไห้ คำพูดช่วงท้ายของเขาก็หยุดลงทันที และพูดไม่ออกอีกเลย

“อาจวิ้น คุณรังเกียจที่ฉันเป็นเด็กใช่ไหม คุณไม่เชื่อฉันใช่ไหม?” สือจินหว่านเงยหน้า มองไปยังโอหยางจวิ้นทั้งน้ำตาอย่างดื้อรั้น : “งั้นวันนี้คุณก็คิดซะว่าฉันโตแล้ว พวกเรามาลองคบกัน วันเดียวก็ได้ โอเคไหม?”