บทที่ 431 ความเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษ คำสาปแช่งจากอริยะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 431 ความเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษ คำสาปแช่งจากอริยะ

หลี่มู่อีพยายามเข้าฝันหานเจวี๋ยหลายครั้ง จนยอมแพ้ไปในที่สุด

[ความเกลียดชังที่หลี่มู่อีมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 2 ดาว]

ช่างเป็นอริยะที่เอาแต่ใจจริงๆ

หานเจวี๋ยแอบบ่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด

ความเกลียดชังระดับ 2 ดาวยังถือว่าอยู่ในระดับความประทับใจต่ำ อยู่ในขั้นเหม็นขี้หน้า แต่ยังไม่ถึงขั้นที่อยากจะฆ่าแกงกัน

หานเจวี๋ยตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่สร้างความสัมพันธ์กับอริยะง่ายๆ เพราะอันตรายเกินไป

รอให้เขาพิสูจน์มรรคได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

หลังจากแตกกิ่งคลื่นวนมิติครั้งแรก ความเร็วในการบำเพ็ญของต้นฝูซังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปราณฟ้าประทานที่ผลิตออกมาก็พลอยมากขึ้นตามไปด้วย

ภายในระยะสั้นๆ ต้นฝูซังยังคงไม่สามารถแตกแขนงคลื่นวนมิติกิ่งที่สองได้ แต่ตามคำแนะนำของระบบ ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเชื่อมต่อกับปวงสวรรค์หมื่นโลกาได้แล้ว

ถึงตอนนั้นหานเจวี๋ยจะใช้ต้นฝูซังเป็นชุมทางเพื่อข้ามไปยังปวงสวรรค์หมื่นโลกา และอาจถึงขั้นสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือยิ่งกว่าปวงสวรรค์หมื่นโลกา ราวกับชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นอาณาเขตเต๋าของอริยะขึ้นมาได้

นี่เป็นแผนการระยะยาว แต่ก่อนที่หานเจวี๋ยจะพิสูจน์มรรค เขาจะไม่มีวันสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสร้างปัญหาขึ้นมาเป็นอันขาด

นอกจากต้นฝูซังแล้ว ในกายของหานเจวี๋ยยังมีปราณเทพมารที่สามปรากฏขึ้นแล้ว ลักษณะเหมือนกับปราณเทพมารสองกลุ่มก่อนหน้า เพียงแต่ยังอยู่ในระหว่างการบ่มเพาะ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานอีกเท่าไรถึงจะบ่มเพาะออกมาเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้

จะต้องเป็นการรอคอยที่ยาวนานแรมปีอย่างแน่นอน อาจต้องรอจนถึงมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งถัดไปก็เป็นได้

หานเจวี๋ยเข้าสู่การบำเพ็ญประจำวัน ทุกวันดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร

หนึ่งศตวรรษผันผ่านราวกับห้วงฝัน

เมื่อไม่นานมานี้อู้เต้าเจี้ยนได้เข้าสู่ระดับจักรพรรดิ หลังจากได้รับวิชาสืบทอดจากหานเจวี๋ย

ถือเป็นเรื่องปกติ ที่คนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับจักรพรรดิซึ่งก็คือไก่คุกรัตติกาลและสวินฉางอัน จะไม่สามารถเอาชนะอู้เต้าเจี้ยนได้ เพราะเท่ากับว่าหานเจวี๋ยเปิดประตูหลังให้นาง

หลังจากก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ อู้เต้าเจี้ยนก็กลายเป็นคนที่มีจิตใจฮึกเหิม ฉู่ซื่อเหรินที่ถูกกระตุ้นจากเรื่องนี้ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญอย่างเอาเป็นเอาตาย หวังจะทะลวงระดับจักรพรรดิให้ได้เช่นกัน

ในหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา สงครามระหว่างวังสวรรค์และเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออ่านจดหมายก็จะเห็นคนบาดเจ็บและถูกโจมตีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

ไม่อาจรู้ได้เลยว่าทั้งสองฝ่ายจะเข่นฆ่ากันต่อไปอีกนานเท่าไร

ตบะของฟางเหลียงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้สามารถไปถึงระดับจักรพรรดิเซียนห้าวัฏได้แล้ว

นี่จะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างแน่นอน

บางทีนี่อาจจะเป็นข้อดีของการต่อสู้แย่งชิงดวงชะตา ไม่แปลกใจเลยที่สรรพชีวิตทั้งหลายจะลุ่มหลงมันมากขนาดนี้

อยู่มาวันหนึ่ง

หานเจวี๋ยนำดวงจิตประหลาดไปขังไว้ในบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร จากนั้นหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งต้าจิ่วเทียน

ผ่านมาตั้งร้อยปีแล้ว ต้าจิ่วเทียนคงจะไม่ได้อยู่ข้างกายอริยะแล้วกระมัง

ลองคำนวณดูหน่อย!

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

หากว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ข้างกายอริยะต่อไปแล้ว เขาก็จะลงทุนอายุขัยสักสองพันล้านปีเพื่อสาปแช่งอีกฝ่าย นั่นไม่ต่างอะไรจากขนนกหรอก!

[เขาอริยะยังคงอยู่ข้างกายอริยะ]

‘ไอ้ชาติสุนัข! คิดจะหลบอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิตเลยหรืออย่างไร’

หานเจวี๋ยแอบแดกดันต้าจิ่วเทียนที่ทำตัวไร้ยางอาย

ภายในพระราชวังไร้ขอบเขต

ต้าจิ่วเทียนที่นั่งสมาธิอยู่ขมวดคิ้วและกัดฟันโดยไม่รู้ตัว

‘เจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังไม่เลิกแล้วต่อกันอีก! ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร อีกฝ่ายไปจับสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลขนาดนั้นมาจากไหนกัน หรือว่าเขาจะกักขังแล้วเลี้ยงเอาไว้?’

ต้าจิ่วเทียนสบถด่าอยู่ในใจ รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด

หากรู้แต่แรก เขาคงไม่ไปยั่วโมโหเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ว่าแต่เขาเป็นอริยะท่านใดกันแน่ ไม่คิดว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของตนเป็นการลดทอนคุณค่าตนเองบ้างหรืออย่างไร

ในใจของต้าจิ่วเทียนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

อริยะเทพสูงสุดหนานจี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยถาม “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเจ้าอีกแล้วหรือ”

ต้าจิ่วเทียนถอนหายใจและกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ ศิษย์ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีแล้วขอรับ”

เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยพึมพำ “ในบรรดาอริยะทั้งหมด คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุดเห็นจะมีแต่สำนักพุทธแดนปัจฉิมผู้นั้น”

ต้าจิ่วเทียนเบิกตาโพลง เขาถามอย่างสงสัย “แต่ว่าข้าไม่เคยพุ่งเป้าไปยังสำนักพุทธเลยนะขอรับ แม้ว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนจะเคยท้าทายสำนักพุทธมาแล้ว แต่ว่าเขาแจ้งต่ออริยะสำนักพุทธล่วงหน้าแล้ว”

เทพสูงสุดหนานจี๋กล่าวอย่างใจเย็น “เขาอาจจะจำใจตกลงเพราะกลัวเสียหน้าก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วเหล่าอริยะเคยเดิมพันกันว่าชัยชนะของนิกายฉ่านจะเป็นโอกาสที่ทำให้จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนคว้าดวงชะตาอันยิ่งใหญ่มาได้ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้อริยะจากทุกท่านเกิดเปลี่ยนใจกันหมด ฝูซีเทียนถึงกับลงสนามด้วยตนเองซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลก”

ต้าจิ่วเทียนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาไม่กล้าออกความเห็นอะไรเกี่ยวกับอริยะ

เทพสูงสุดหนานจี๋ยกมือขวาขึ้น ดวงแสงอันเจิดจ้าปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ก่อนจะรวมตัวกันเป็นรูปร่างของชายชราผู้หนึ่ง

“ขอบังอาจถามบรรพชนเต๋า มหาเคราะห์ครานี้จะทุกข์เข็ญเพียงใด” เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยถาม

ต้าจิ่วเทียนก้มศีรษะจนติดกับพื้น ไม่กล้ามองบรรพชนเต๋าตรงๆ

บรรพชนเต๋าตอบกลับ “อริยะเข้าสู่เคราะห์ มรรคาสวรรค์ตกอยู่ในอันตราย”

เทพสูงสุดหนานจี๋ขมวดคิ้ว

เขาสะบัดมือหนึ่งที ภาพเสมือนของบรรพชนเต๋าก็พลันสลายไป

ต้าจิ่วเทียนเงยหน้าขึ้น เขาเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ไม่ใช่ว่าท่านผู้เฒ่าบรรพชนเต๋า…”

เทพสูงสุดหนานจี๋ตอบกลับ “นี่คือร่างจำลองของบรรพชนเต๋า เป็นสิ่งชี้ทางให้แก่อริยะ ทว่าทำได้เพียงไต่ถามความเป็นไปในภาพรวมเท่านั้น ไม่อาจตัดสินชะตาของเหล่าอริยะและสรรพชีวิต”

ต้าจิ่วเทียนฟังแล้วก็เข้าใจในทันที

เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ย “นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจงอยู่ภายใต้อาณาเขตเต๋า ข้าจะเกณฑ์คนอื่นให้เข้าสู่เคราะห์แทน”

ต้าจิ่วเทียนรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก รีบคำนับขอบคุณอีกฝ่ายยกใหญ่

อันที่จริงเขาไม่กล้าเข้าสู่เคราะห์อีกแล้ว แต่ทว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังคงจับตามองเขาอยู่

“ข้าจะไปหาสำนักพุทธแดนปัจฉิมสักหน่อย” เทพสูงสุดหนานจี๋กล่าวพร้อมกับลุกขึ้น

ต้าจิ่วเทียนเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก “ท่านจะกลับมาเมื่อใดหรือขอรับ”

เทพสูงสุดหนานจี๋เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “ไปพบอริยะ ใช้ร่างต้นไปพบนับเป็นมารยาท อยู่ในอาณาเขตเต๋าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่กล้าเข้ามาสังหารเจ้าหรอก ส่วนคำสาปแช่ง อาณาเขตเต๋าจะช่วยสกัดกั้นให้เจ้าส่วนหนึ่ง ไม่ต้องกังวลไป ไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว”

ต้าจิ่วเทียนทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

สาปแช่งไปแล้วห้าวัน อายุขัยของหานเจวี๋ยเริ่มลดลง สีหน้าของเขาเศร้าหมองลงเล็กน้อย

หากต้าจิ่วเทียนเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ภายในอาณาเขตเต๋าของเทพสูงสุดหนานจี๋ไปชั่วชีวิต เขาก็ไม่มีวันสังหารอีกฝ่ายได้เลยน่ะสิ?

ไม่มีทาง

ระดับของความเกลียดชังของอีกฝ่ายอยู่ในระดับที่สูงมาก อีกทั้งเขายังเป็นภัยคุกคามต่อจักรพรรดิสวรรค์อีกด้วย

อย่างไรก็ต้องสังหารเสีย

“หรือจะลองคำนวณดูอีกครั้งดี เผื่อออริยะจะเพิ่งจากไป”

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

ลองคำนวณแค่ครั้งเดียวพอ!

ไม่ได้ ตอนนี้ต้องปล่อยวางไปก่อน

ถึงกระนั้น หานเจวี๋ยก็ยังผลาญอายุขัยไปอีกสองพันล้านปีอยู่ดี

[อริยะไม่ได้อยู่ข้างเขา]

หานเจวี๋ยเบิกตาโพลงทันที ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย

โอกาสมาแล้ว!

บิดาจะได้สังหารเจ้าให้ตายสักที!

หานเจวี๋ยทุ่มกำลังสาปแช่งอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ อายุขัยลดลงอย่างรวดเร็ว

ต้าจิ่วเทียนที่อยู่ภายในอาณาเขตเต๋าของอริยะสีหน้าเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน

แย่แล้ว! คนผู้นี้ต้องเป็นอริยะอย่างแน่นอน! เทพสูงสุดหนานจี๋เพิ่งจากไปไม่นาน อีกฝ่ายก็เริ่มสาปแช่งเขาอย่างรุนแรงทันทีเลยหรือ หากไม่ใช่อริยะแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า?

ต้าจิ่วเทียนรีบเคลื่อนย้ายลมปราณเพื่อต่อต้านทันที

ภายในอาณาเขตเต๋าเกิดพายุคลั่งพัดกระหน่ำ คลื่นลมนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าไปในกายของต้าจิ่วเทียน แปรเปลี่ยนเป็นพลังลึกลับ ที่ช่วยให้เขาต้านทางแรงสาปแช่งได้

ทว่าแรงสาปแช่งคราวนี้รุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการต้องการสังหารเขา!

บัดซบ!

ต้าจิ่วเทียนคำรามลั่น “อาจารย์! ช่วยข้าด้วย!”

แม้ว่าเทพสูงสุดหนานจี๋จะออกไปแล้ว แต่ขอเพียงเขาเรียกขาน เขาเชื่อว่าเทพสูงสุดหนานจี๋จะต้องได้ยินอย่างแน่นอน

“ตอนนี้ข้าอยู่ในวงล้อมของอริยะ ยังช่วยเหลือเจ้าไม่ได้ เจ้าพยายามช่วยเหลือตัวเองไปก่อนก็แล้วกัน”

เทพสูงสุดหนานจี๋ส่งเสียงตอบกลับมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

ใบหน้าของต้าจิ่วเทียนซีดขาว มิน่าเล่าเทพสูงสุดหนานจี๋ถึงได้จากไปหลายวันและยังไม่กลับมา ที่แท้ก็เป็นแผนการนี่เอง!

อริยะจงใจเรียกตัวเทพสูงสุดหนานจี๋ออกไป จากนั้นก็จะสังหารเขาหรือ? ทำไมล่ะ! นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!

………………………………………………..