บทที่ 485 การรวมตัวของครอบครัว

ณ สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน

เสียงท่องบทอาขยานดังไปทั่ว บัณฑิตใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวถือตำราอยู่ในมืออ่านพร้อมกับโยกศีรษะไปด้วยอย่างระมัดระวังมีเพียงเด็กวัยรุ่นสองคนที่คอยมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว

ทั้งสองคนมีหน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสุกใสเป็นประกายราวกับดวงดาวที่ส่องสว่างในท้องนภา

เขาคือเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย เมื่อพวกเขาได้ยินว่าบิดามารดากลับมาบ้านแล้ว หัวใจของทั้งสองคนก็แทบจะโบยบินกลับบ้านในทันที แต่น่าเสียดายที่สำนักศึกษายังไม่เลิก พวกเขาแทบจะทนรอไม่ไหวอยากจะรีบกลับไปหาบิดามารดาให้เร็วไว ทั้งคู่จึงเหม่อลอยไม่ตั้งใจเรียน

ไม่ไกลจากพวกเขามากนักมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งดูมีอายุมากกว่า จ้องมองดูพวกเขาที่มีทีท่าตื่นเต้น เขาเชิดหน้าขึ้นไขว่ห้าง ดูเกียจคร้าน ทว่ากลับมีบรรยากาศรอบกายที่สูงส่ง เขาคือองค์ชายหก จ้าวจิ่งซวน แต่เดิมเขาควรจะได้รับถวายการสอนจากท่านราชครูที่ในวังหลวง แต่เป็นเพราะความดื้อรั้นของเขาจนทำให้บรรดาราชครูที่เข้าไปถวายการสอนพากันโกรธหนีหายไปกันจนหมด

เสด็จแม่ของเขาจึงได้โยนเขามาที่สำนักศึกษาหลวงแห่งนี้ เป็นเพราะ กั๋วจื่อเจี้ยน จี้จิ่วเป็นท่านลุงของเขา

ลุงใหญ่ของเขาเป็นคนมีสีหน้าเคร่งขรึมตลอดทั้งวัน และหาเหตุลงโทษเขาได้เสมอ จ้าวจิ่งซวนไม่เคยกลัวใครยกเว้นท่านลุงของเขาผู้นี้ หากได้เห็นก็จะมีอาการเหมือนหนูที่เห็นแมว

ในตอนนั้นเองชาววัยกลางคนรูปร่างสูงหน้าตาดีไว้เครายาวเดินเข้ามา เขามองไปที่จ้าวจิ่งซวนซึ่งนั่งตัวตรงทันทีเมื่อเห็นเขา คนผู้นี้เป็นท่านลุงของจ้าวจิ่งซวนและเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบสำนักศึกษาแห่งนี้

เหลียงอวี้ เลิกคิ้ว ท่าทางเขาดูเคร่งขรึมจริงจัง มวยผมของเขาถูกรวบตึงไว้อย่างเรียบร้อย เสื้อผ้าที่ใส่ดูพิถีพิถันเป็นอันมาก

จ้าวจิ่งซวนกลัวเหลียงอวี้มาก แต่เขาไม่ถูกกับเด็กสองคนนั่น เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขาไม่ตั้งใจเรียน เขาจึงไม่ปล่อยโอกาสงามๆ อย่างนี้ไป

จ้าวจิ่งซวนยกมือขึ้นอย่างกล้าหาญ เหลียงอวี้พยักหน้า เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนทำความเคารพก่อนจะพูดฟ้องขึ้นมา

“ท่านอาจารย์ข้าอยากรายงานท่านว่าเว่ยจื่ออั๋งกับสวี่เจวี๋ยไม่ตั้งใจเรียนหนังสือขอรับ พวกเขาเอาแต่มองออกข้างนอกหน้าต่าง!” หลังจากพูดจบ จ้าวจิ่งซวนก็นั่งลงรอชมการแสดงที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า

ท่านลุงของเขาเป็นคนที่เข้มงวดมาก หากเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยกล้าที่จะไม่สนใจเรียน พวกเขาจะต้องโดนทำโทษอย่างแน่นอน

หลังจากจ้าวจิ่งซวนพูดจบ เด็กทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นยืนทันที พวกเขาก้มลงทำความเคารพเหลียงอวี้ด้วยท่าทางสำนึกผิด

“อาจารย์”

“อาจารย์”

เหลียงอวี้เดินเข้ามาใกล้มองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกเจ้าเหม่อลอย ไม่ตั้งใจเรียนหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ขอรับ” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกับ “ท่านอาจารย์ได้โปรดลงโทษข้าด้วยเถอะขอรับ”

เมื่อได้ยินคำรับสารภาพของทั้งสองคน จ้าวจิ่งซวนรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันใด ท่านลุงของเขามักใช้เด็กสองคนนี้เป็นตัวอย่างเพื่ออบรมเขายกย่องว่าทั้งสองมีความเก่งกาจไม่เหมือนใคร ชอบเปรียบเทียบเขากับเด็กสองคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ดูสิ! ลูกศิษย์ที่เฉลียวฉลาดของพวกเขาก็มีวันที่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือเช่นกัน

ท่านลุงจะลงโทษเขาอย่างไร? จะตีฝ่ามือพวกเขายี่สิบทีตามกฎระเบียบหรือไม่? เด็กสองคนนั่นดูบอบบางอ่อนโยนออกอย่างนั้น หากโดนตีมือสักยี่สิบทีคงจะเลือดออกที่ฝ่ามือมากเป็นแน่ คิดแล้วจ้าวจิ่งซวนให้รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก

“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ใจลอย?” เหลียงอวี้ถาม

“ท่านอาจารย์ บิดาและมารดาของศิษย์เดินทางไปทำงานกันได้สองเดือนกว่าแล้ว วันนี้ศิษย์ได้ยินว่าพวกท่านกลับมาแล้วขอรับ ศิษย์จึงรู้สึกกระวนกระวายอยากหน้าบิดามารดา” เว่ยจื่ออั๋งเป็นคนตอบ

เหลียงอวี้ลูบเครายาวของเขาแล้วเอ่ยว่า

“เป็นเช่นนี้เอง เป็นเรื่องธรรมชาติที่บุตรย่อมคิดถึงบิดามารดาของพวกเขา อาจารย์มีความยินดีที่เจ้าทั้งสองคนเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ เอาละ พวกเจ้ากลับบ้านกันไปก่อนเถอะ”

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยมีความสุขเมื่อได้ยินที่ท่านอาจารย์เหลียงอวี้เอ่ยอนุญาตให้พวกเขาเลิกเรียนก่อนเวลา เขาจึงพากันคำนับท่านอาจารย์แล้วรีบออกจากห้องเรียนไป

จ้าวจิ่งซวน “……………”

แค่นี้เองหรือ? พวกเขาเหม่อลอยไม่ตั้งใจเรียน อาจารย์ไม่ทำโทษซ้ำยังชมเชยพวกเขา ปล่อยให้พวกเขากลับบ้านกันไปอีก เหตุใดถึงได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้

เหลียงอวี้เหลือบมองจ้าวจิ่งซวนที่ยังทำท่าโง่เขลาอยู่เช่นนั้นอย่างหงุดหงิด

“ไม่ว่าเจ้าจะยืนเหมือนไม่ยืน นั่งเหมือนไม่นั่งก็ตามที เจ้าต้องโดนลงโทษตีฝ่ามือยี่สิบครั้ง!”

จ้าวจิ่งซวน ?????

…………

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเดินไปที่ประตูของสำนักศึกษา ทั้งสองคนเดินตัวตรงช้าๆ อย่างนุ่มนวลดูเป็นบัณฑิตหนุ่มที่มีมารยาทดี ระหว่างทางเมื่อมีคนทักทายเขาทั้งสองคนก็ก้มศีรษะโค้งรับอย่างมีมารยาท

หลังจากออกจากสำนักศึกษา ทั้งคู่ก็วิ่งโกยอ้าวไปอย่างไม่สนใจว่าคนที่รู้จักพวกเขาจะมาเห็น หากวิ่งได้เร็วขึ้นก็ย่อมเจอบิดามารดาได้เร็วขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี ทั้งสองคนวิ่งอย่างเร็วด้วยหัวใจที่พองโต พวกเขามาหยุดที่หน้าประตูจวนอู่โหว แล้วจึงได้พากันจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เว่ยจื่ออั๋งหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้สวี่เจวี๋ย

“เช็ดเหงื่อของเจ้าด้วยสิ” เหงื่อไหลหยดลงจากใบหน้าที่บอบบางของเด็กหนุ่ม สวี่เจวี๋ยเชิดหน้าขึ้น

“เจ้าเช็ดหน้าให้ข้าสิ”

เว่ยจื่ออั๋งโยนผ้าเช็ดหน้าให้เขาแล้วกลอกตา

“เจ้าไม่มีมือหรือ?” สวี่เจวี๋ยรับผ้ามาเช็ดหน้า

หลังจากที่เด็กสองคนเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็หยอกล้อกัน แต่พอเข้ามายังห้องโถงเว่ยจื่ออั๋งเห็นมารดาของเขาท่ามกลางผู้คนที่รุมล้อม สองเดือนผ่านไปมารดาของเขาไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลย แต่ใบหน้ากลับดูเหนื่อยล้าไปสักเล็กน้อย เขามองมารดาตาแทบไม่กะพริบ

ความสัมพันธ์ของเขากับมารดานั้นไม่ธรรมดา เขาจำได้ว่าเมื่อแรกที่ได้เจอมารดาครั้งแรกนั้น นางอ่อนโยนมากเพียงใดและไม่ได้รังเกียจพวกเขาเลย ยามที่บิดาได้รับบาดเจ็บที่ขา มารดากอดเขาเอาไว้แล้วบอกว่ายังมีนางอยู่ตรงนี้ ในใจของเขา มารดาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่คอยบังลมบังฝนให้เขา

มารดาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในหัวใจของเว่ยจื่ออั๋ง

เมื่อถังหลี่เห็นเด็กทั้งสองคน นางมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เรียกเบาๆ ว่า

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย” ทั้งสองคนเดินเข้าไปหาถังหลี่ รอบๆ ตัวถังหลี่มีฮูหยินกู้ กู้หวนเนี่ยน กู้หวยจิ่นและเว่ยจื่ออี้ที่กำลังพิงแขนมารดาอยางออดอ้อน เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองเข้ามาเขาจึงลุกขึ้น

“ท่านยาย ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงสาม” เด็กทั้งสองทำความเคารพ จากนั้นจึงได้เดินไปหาถังหลี่

ถังหลี่มองเด็กหนุ่มที่ตอนนี้สูงกว่านางทั้งคู่ด้วยสายตาที่อ่อนโยน นางยื่นมือออกมาลูบหัว เด็กทั้งสองก้มหัวลงให้มารดาสัมผัสศีรษะของพวกเขา

“แม่ไม่อยู่สองเดือน พวกเจ้าสบายดีไหม ทำให้อาจารย์โมโหกันหรือเปล่า?”

“ท่านแม่ พวกเราเป็นเด็กดีมาก ท่านอาจารย์ชอบพวกเรากันมากขอรับ” เว่ยจื่ออั๋งเล่าให้มารดาฟัง

“พวกเราเป็นถั่วน้อยของอาจารย์ พวกเขามีความสุขเมื่อเห็นพวกเรา เขาจะโมโหเราได้อย่างไร?” สวี่เจวี๋ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ถังหลี่เคาะหน้าผากบุตรชายเบาๆ

“เจ้านี่แหละนะ”

“ข้าไม่ได้พูดปดนะท่านแม่ ไม่เชื่อให้จื่ออั๋งเป็นพยานก็ยังได้ !”

เด็กทั้งสองพากันกระเซ้าเย้าแหย่ไปรอบๆ ถังหลี่

เมื่อครอบครัวมารวมตัวกัน บรรยากาศก็เป็นไปด้วยความอบอุ่น ในตอนนั้นเองที่เว่ยฉิงกลับมาพอดี

เดิมทีเขารีบกลับมาหาภรรยาตั้งใจหมายจะล้างตาและออดอ้อนภรรยาของเขา แต่กลายเป็นรอบๆ ตัวนางมีแต่ผู้ชายล้อมรอบจนเขาเข้าไปไม่ถึง

ทุกคนพากันทักทายเขา แสดงความเป็นห่วงเขา แต่ไม่มีใครลุกให้เขานั่งแม้แต่คนเดียว!

เขายืนอยู่นอกวงสนทนา มองภรรยาเขาอย่างกระตือรือร้น แต่นางกลับเอาแต่คุยกับคนอื่นไม่ได้สนใจเขาเลย เว่ยฉิงกลอกตา ในที่สุดก็เรียกบุตรชาย

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย มาหาพ่อหน่อยสิ” เด็กทั้งสองคนเดินมาหาบิดา พลางเงยหน้ามองเขา เว่ยฉิงตบบ่าบุตรชาย

“พวกเจ้าโตแล้ว!” จากนั้นเขาจึงรีบเข้าไปนั่งใกล้ถังหลี่แทนที่เด็กๆ อย่างรวดเร็ว

เว่ยจื่ออั๋ง “……..”

สวี่เจวี๋ย “ …….”

เว่ยฉิงขยับเข้าไปใกล้ถังหลี่พูดเสียงเบาๆ ว่า

“ภรรยา ข้าเจ็บมือมากเลย” น้ำเสียงเขาน่าสงสารดึงดูดความสนใจของถังหลี่ได้ทันที

ถังหลี่มองเขา เว่ยฉิงขมวดคิ้วดูเจ็บปวดมาก

“ไหน ให้ข้าดูสิ” ถังหลี่พูดอย่างกระวนกระวาย ยกแขนเขาขึ้น นางเห็นเลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผล ถังหลี่ไม่อาจนั่งอยู่เฉยได้ นางขอตัวจากทุกคนเพื่อไปทำบาดแผลให้เว่ยฉิง

“ท่านแม่ น้องสาวและน้องเขยคงจะเหน็ดเหนื่อยกันมาก ให้พวกเขาพักผ่อนให้พอกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้พวกเราค่อยมากันใหม่” กู้หวนจิ่นเอ่ยออกมา

ฮูหยินกู้พยักหน้า สกุลกู้ทั้งสามคนจึงได้พากันกลับไปก่อน

ถังหลี่จูงมือเว่ยฉิงกลับไปที่ห้อง ให้เขานั่งลง จากนั้นจึงได้เปิดหีบใส่ยาออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิดออก ถังหลี่จับแขนของเว่ยฉิงอย่างอย่างเบามือค่อยๆ เอาผ้าพันแผลเดิมของเขาออก บาดแผลดูน่ากลัวและยังมีเลือดไหลซึมออกมา ถังหลี่ทำแผลให้อย่างเบามือเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บ

“ข้ายังไม่ได้อาบน้ำ ร่างกายยังมีกลิ่นคาวเลือด ต้วนโส่วฝู่สังเกตเห็นจึงได้รายงานต่อฝ่าบาท ฮ่องเต้ทรงกริ้ว รับสั่งให้กู้หวนเนี่ยนเป็นคนสืบหาผู้ที่สังหารข้า” เว่ยฉิงเล่าให้นางฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัง

ดวงตาของนางหรี่ลง เมื่อปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่ตรวจสอบ เรื่องนี้ไม่ใช่ผลดีแก่จ้าวชูนัก

“เมื่อยามที่มีการเอ่ยถึงรางวัลที่ข้าควรได้รับ ก็มีขุนนางได้เสนอตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ให้ข้า”

ถังหลี่ชะงัก

ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์มีกำลังพลอยู่ถึงเรือนหมื่น ใครก็ตามที่ได้ตำแหน่งนี้นับว่ามีอำนาจมากที่สุดในเมืองหลวง ประหนึ่งว่ากำลังเดินอยู่บนมีดที่คมกริบ ส่วนที่จะเป็นใครนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้จะทรงเชื่อพระทัยมากแค่ไหน แต่เห็นได้ว่าฮ่องเต้ยังไม่ไว้วางใจสามีของนางถึงได้มีการแนะนำตำแหน่งนี้ให้เว่ยฉิง

“ข้าไม่ยอมรับ” เว่ยฉิงพูดออกมา ถังหลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“คนของเจ้าจะโง่เช่นนั้นเลยหรือ?” เว่ยฉิงอดดุนางไม่ได้

“ไม่โง่ๆ สามีของข้าฉลาดที่สุด” ถังหลี่รีบกล่าวชมเขา

“ภรรยา ฮ่องเต้ได้พระราชทานตำแหน่งเก้ามิ่งให้เจ้า พรุ่งนี้น่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าลงมา” เว่ยฉิงเอ่ยให้ภรรยาฟัง

“การแต่งตั้งเก้ามิ่งฟูเหริน” เป็นแค่บรรดาศักดิ์ รับเบี้ยหวัดแต่ไร้อำนาจที่แท้จริง แต่นับได้ว่าฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัย ทำให้มีสถานะที่ดีขึ้น

มารดาของนางได้รับยศเป็น “อี้ผินเก้ามิ่งฟูเหริน”

คนธรรมดาทั่วไปอาจจะยินดี หากถังหลี่กลับไม่สนใจบรรดาศักดิ์เช่นนี้

“ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลอะไรให้ท่านอีก?”

“แต่งตั้งให้เป็นเจ้ากระทรวงอาญา และให้รางวัลหมื่นตำลึงทอง” เว่ยฉิงกล่าว

จากรองเจ้ากรมอาญาได้เลื่อนเป็นเจ้ากรมอาญา ฟังดูเผินๆ อาจจะเป็นแค่การเลื่อนเพียงขึ้นเดียว แต่ในความเป็นจริงกลับมีอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตำแหน่งของเจ้ากรมอาญานั้นรับผิดชอบกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นหนึ่งในหกของกรมรวมอยู่ด้วย

หลังจากที่สามีของนางได้ขึ้นสู่อำนาจ เขามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงแก้ไขกรมราชทัณฑ์ให้ดีขึ้นด้วย ต่อไปสถานะของเขาจะดีขึ้นกว่านี้ ความสำเร็จจะอยู่อีกไม่ไกล

ถังหลี่จัดแจงพันผ้าให้เขาเสร็จสรรพเรียบร้อย

“ภรรยา ข้าตัวเหนียวมาก ข้าอยากอาบน้ำ” เว่ยฉิงพูดออกมาทื่อๆ

ตลอดทางที่กลับมาพวกเขาไม่ได้อาบน้ำเลย นางได้กลิ่นเหงื่อจากสามีทั่วร่างกาย

“งั้นก็อาบน้ำเถอะ” บ่าวรับใช้ไปตักน้ำเตรียมไว้ให้แล้ว

“ภรรยา ข้าขยับมือไม่ได้…”

เว่ยฉิงพูดอย่างน่าสงสาร

“ข้าจะช่วยท่านถอดเสื้อผ้า” ถังหลี่รีบช่วยสามี

เว่ยฉิงยิ้มอย่างดีใจ รีบลุกขึ้นยืน แบมือออก

นางถอดเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้น พยายามหลีกเลี่ยงบาดแผลของเขา หลังจากถอดแล้วจึงเผยให้เห็นร่างกายที่แข็งแกร่งของเว่ยฉิง เมื่อเห็นภรรยามอง เขาทำท่าพองกล้ามเนื้ออวดสายตาของภรรยา ถังหลี่กลับพินิจดูบาดแผลบนเรือนร่างของเขา

บาดแผลมากมายขนาดนี้ต้องเจ็บปวดอย่างมากมาย ยังจะมาเล่นทำเป็นตลกขบขันอีก ถังหลี่ทั้งขันทั้งสงสาร การเคลื่อนไหวของมือจึงได้อ่อนโยนลง

เขามีบาดแผลที่ตัวมากมาย การอาบน้ำจึงค่อนข้างยาก ถังหลี่จึงได้เช็ดตัวและทำความสะอาดให้เขา หลังจากอาบน้ำสบายตัวกันดีแล้วพวกเขาจึงพากันเข้านอน

เตียงที่บ้านนุ่มน่านอนเป็นที่สุด พวกเขาขี่ม้ามากันเกือบสิบวันแล้ว ไม่เคยได้นอนหลับสนิทกันสักวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงได้โล่งใจ ในที่สุดก็หลับได้สนิท

ถังหลี่นอนจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นก็ได้พบกับใบหน้าน่ารักไร้เดียงสา

…………………..