เล่ม 1 ตอนที่ 130-2 หลอกหญิงชั่ว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 130-2 หลอกหญิงชั่ว

สุดท้ายหลินมามาก็เลือกจะเชื่อ อย่างไรเสียสูตรก็เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ในเมื่อสาวน้อยคนนี้มีแต้มต่อในมือ จะเรียกร้องราคาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ความโลภของคนขยายใหญ่ได้ง่ายดายอยู่แล้ว

เมื่อถูกปี้เอ๋อร์ขูดรีด หลินมามาก็ไม่ทันสงสัยสักนิดว่าสูตรเป็นของจริงหรือของปลอม เพราะหลินมามาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งจะกล้าใช้สูตรปลอมมาแลกเปลี่ยนกับฮูหยิน นางคิดว่านั่นจะต้องเป็นของจริงแน่ ปี้เอ๋อร์ถึงมั่นใจมากเช่นนี้ “เงื่อนไขของเจ้าคืออะไร”

ปี้เอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าต้องการสัญญาขายตัวของครอบครัวข้าทั้งหมดกับเงินอีกหนึ่งพันตำลึง”

“เจ้าเด็กน่าตาย กล้าขอหนึ่งพันตำลึงเชียวหรือ” ณ เรือนหลัก เมื่อได้ยินคำรายงานของหลินมามา สวีซื่อก็อารมณ์เสีย พักนี้นางเงินขาดมืออยู่แล้ว จะให้นางควักเงินออกมาพันตำลึง เท่ากับคว้านเนื้อของนางชัดๆ ส่วนสัญญาขายตัว นางไม่เห็นอยู่ในสายตานัก จวนเอินปั๋วมีบ่าวรับใช้มากมาย ครอบครัวพวกเขาอยากออกก็ออกไปสิ มีคนมาแทนมากไป

หลินมามาเอ่ยว่า “ฮูหยิน ขอเพียงพวกเราได้สูตรมา ย่อมไม่กลัวว่าจะหาเงินหนึ่งพันตำลึงนี้คืนมาไม่ได้”

ไม่ผิด ราคาขายไข่เยี่ยวม้าในตลาดคือฟองละสองร้อยอีแปะ สิบฟองก็สองตำลึงเงิน วันหนึ่งขายได้แปดร้อยถึงพันฟอง ไม่กี่วันก็หาเงินคืนกลับมาได้แล้ว แล้วยังมีการค้ากับในวังหลวงอีกไม่ใช่หรือ

ตอนนี้หากนางแย่งมันมาได้ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ร่ำรวยในชั่วข้ามคืน

สวีซื่อตกลงเงื่อนไขของปี้เอ๋อร์ บ่ายวันนั้นปี้เอ๋อร์ก็ได้สัญญาขายตัวมา นับจากนี้พวกเขาล้วนเป็นอิสระชน

ปี้เอ๋อร์ไปช่วยบิดามารดาเก็บของที่เรือนเล็กฝั่งตะวันออก บิดามารดาของนางไม่อยากไปสักนิด ปี้เอ๋อร์พับเสื้อใส่หีบ เฝิงซื่อก็นั่งไขว้ขา อ้าปากด่าเสียงดัง “เจ้าบอกมานะเจ้าไปทำอะไรเข้า ฮูหยินถึงจะไล่พวกเราทั้งบ้านออกไป ข้าให้กำเนิดตัวผลาญเงินอย่างเจ้ามาเสียเปล่าจริงๆ ! เงินสักอีแปะก็หาไม่ได้ แล้วยังเสียงานไปอีก! เหตุใดยายแก่อย่างข้าไม่กดเจ้าจมน้ำตายไปเสีย!”

ข่าวที่แม่เฒ่าฉางสืบมาได้ไม่ใช่เช่นนั้น นางพิงประตู บอกด้วยความหมั่นไส้ “ไม่ใช่ฮูหยินต้องการไล่พวกเจ้า แต่ลูกสาวบ้านเจ้าไม่อยากทำแล้ว บีบให้ฮูหยินปล่อยพวกเจ้าออกไป ลูกสาวเจ้าก็เก่งนะ บอกจะเอาสัญญาขายตัวไปก็เอาไปได้”

เฝิงซื่อไม่สนใจสัญญาขายตงขายตัวอะไรทั้งนั้น นางรู้แต่ว่าอยู่ในจวนปั๋วมีของดีให้กิน มีเสื้อผ้าดีๆ ให้ใส่ มีบ้านดีๆ ให้อยู่ นางไม่อยากไป แต่ตอนนี้ผู้อื่นมาไล่พวกเขาออกไปแล้ว เฝิงซื่อถอดรองเท้าออกมาตีลูกสาว “เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เจ้าทำอะไรลงไป เจ้าทำอะไรลงไป!”

แม่เฒ่าฉางเห็นว่าตนเองจุดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาแล้วก็เผ่นแน่บ

ปี้เอ๋อร์ถูกตีจังๆ ไปสองสามครั้ง เมื่อพื้นรองเท้าของเฝิงซื่อกำลังจะฟาดลงบนศีรษะ นางก็คว้ามือของเฝิงซื่อไว้แน่น “ท่านแม่ ข้าทำเรื่องที่เลวร้ายจนมิอาจอภัยลงไปแล้ว ฮูหยินคงอยากฆ่าพวกเราทั้งบ้านแน่ พวกท่านไม่อยากไป ก็ได้ แต่ถึงเวลาฮูหยินมาฆ่าพวกท่านระบายโทสะก็อย่าโทษว่าข้าไม่หาทางรอดไว้ให้พวกท่านก็แล้วกัน!”

เฝิงซื่อหวาดผวา

ปี้เอ๋อร์เก็บของเสร็จก็จ้างรถม้าคันหนึ่ง

เฝิงซื่อตกตะลึง “เจ้าเอาเงินที่ไหนมาจ้างรถม้า”

“เบี้ยรายเดือนของข้า”

เฝิงซื่อตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม “เจ้าเพิ่งไปทำงานไม่กี่วันก็มีเบี้ยรายเดือนแล้วหรือ”

ปี้เอ๋อร์ไม่ตอบ นางส่งสูตรให้หลินมามาแล้วรับตั๋วเงินจากมือหลินมามา จากนั้นพาบิดามารดากับน้องชายขึ้นรถม้า นั่งรถโคลงเคลงออกมาจากจวนปั๋ว

ตลอดทางเฝิงซื่อดุด่าปี้เอ๋อร์ไม่น้อย แต่เห็นแก่ ‘เงินตั้งตัว’ ก้อนนั้นจึงไม่ได้ลงไม้ลงมือ

ยามตะวันพลบ รถม้าก็มาถึงหมู่บ้าน เมื่อเห็นสถานที่มืดทึม โกโรโกโสเช่นนี้ เฝิงซื่อก็ทำหน้ารังเกียจ จวนหลังใหญ่โตดีๆ ไม่อยู่ มาอยู่ชนบทแร้นแค้นห่างไกลนี่ สมองพังแล้วจริงๆ

ปี้เอ๋อร์ขึ้นเขาไปพบเฉียวเวย “ฮูหยิน ข้าให้บิดามารดากับน้องชายมาอยู่บนเขาก่อนสักสองสามวันได้หรือไม่ รอข้าหาบ้านได้แล้วจะให้พวกเขาย้ายออกไป”

เฉียวเวยพยักหน้า

ปี้เอ๋อร์ยิ้มอย่างซาบซึ้ง หยิบตั๋วเงินฟ่อนหนึ่งในอกเสื้อออกมา “นี่คือเงินหนึ่งพันตำลึง ฮูหยินโปรดเก็บไว้”

เฉียวเวยกำลังคัดตัวอักษรอย่างขันแข็ง เมื่อได้ยินคำนี้ก็วางพู่กันลง แล้วบอกว่า “นี่เป็นเงินที่เจ้าเสี่ยงชีวิตแลกมา เก็บไว้เองเถิด”

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “บ่าวไม่กล้าเก็บไว้ หากไม่ได้ฮูหยินชี้แนะ บ่าวคงรีดไถเงินหนึ่งพันตำลึงนี้มาไม่ได้”

เฉียวเวยมองนางหนหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินไปอาบน้ำให้ลูกทั้งสองคนที่ท้ายเรือน

ปี้เอ๋อร์รู้แล้วว่าฮูหยินไม่ยอมรับจริงๆ แต่นางก็ไม่กล้าเอามาครองเป็นของตนเช่นกัน อย่างไรเสียเรื่องในครั้งนี้นางก็ทำผิด นางอยากทำความชอบชดใช้ความผิด

หลังจากต่อสู้ในใจอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ปี้เอ๋อร์ก็ทิ้งตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงไว้บนโต๊ะ อีกห้าร้อยตำลึงตนเองนำกลับไป

เมื่อได้รับอนุญาตจากเฉียวเวย ปี้เอ๋อร์ก็ลงจากเขาไปรับบิดามารดาบนรถม้าขึ้นมาบนเขา

แรกเริ่มเห็นบ้านเก่าๆ ประปรายเหล่านั้นในหมู่บ้าน เฝิงซื่อคิดว่าบ้านบนเขาก็คงไม่เท่าไร ผู้ใดจะคิดว่ามาถึงหน้าประตูมองเห็นแวบแรกก็ตาค้างในพริบตา บ้านหลังใหญ่ใหม่เอี่ยม เชิงชายปลายงอน รั้วงดงาม บนรั้วปลูกกุหลาบสีชมพู ในสวนก็ยังปลูกกุหลาบขาว งดงามราวกับคฤหาสน์ผู้ดีในชนบท

“เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่หรือ” เฝิงซื่อถามติดอ่าง

“นี่คือคฤหาสน์ของฮูหยิน ข้าอยู่ที่เรือนเล็ก” ปี้เอ๋อร์ชี้เรือนอีกหลังหนึ่งที่มีรั้วลอบรอบ ด้านหน้าของเรือนหลังนั้นคือลานกว้างแห่งหนึ่งซึ่งปลูกผักไว้เล็กน้อย ด้านหน้าคือโรงงาน ด้านหลังจึงจะเป็นห้องพักที่พวกเขาอาศัย ตอนนี้ลอมรั้วเสร็จแล้ว ดูแล้วจึงคลับคล้ายจวนที่แยกส่วนหน้ากับส่วนในหลังหนึ่ง ห้องเก็บฟืน ห้องอาบน้ำ ห้องครัว ห้องพักทุกสิ่งมีครบครัน เพียงแต่ห้องส้วมไกลอยู่บ้างเท่านั้น อยู่นอกตัวเรือน แต่ก็ห่างเพียงไม่กี่ก้าว สะดวกกว่าจวนปั๋วมากนัก

เฝิงซื่อตามปี้เอ๋อร์มาถึงด้านหลังของเรือน

ปี้เอ๋อร์กับชีเหนียงต่างเป็นคนที่รักการเก็บของให้เป็นระเบียบอย่างยิ่ง ทุกมุมของเรือนรวมไปถึงโอ่งเก็บน้ำจึงสะอาดเอี่ยมอ่อง

ห้องในจวนปั๋ว ทั้งชื้นทั้งมืด ทั้งปีไม่ถูกแดด บนพื้นมีราขึ้น เครื่องเรือนล้วนเป็นของที่ผู้อื่นใช้มาก่อน สีล้วนลอกจนหมดแล้ว แล้วยังมีรอยแตกอีก แต่ห้องที่นี่ทั้งกว้างทั้งสว่าง เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะตัวเล็ก…ทั้งหมดล้วนเป็นของใหม่

เฝิงซื่อไม่กล้าเชื่อสายตาตนเองอยู่เล็กน้อย “ลูกสาวเอ้ย เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ”

ปี้เอ๋อร์เก็บสัมภาระเข้าไปในห้อง “ข้าเพิ่งย้ายมาใหม่ ข้าวของยังมีไม่มาก ห้องของชีเหนียงจึงจะเรียกว่าสวย” ชีเหนียงจะประดับดอกไม้ ทุกวันเด็ดดอกไม้ป่ากับกุหลาบกลับมาปักแจกัน ทั้งหอมทั้งน่ามอง

เฝิงซื่อนั่งลงบนเตียงของปี้เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง กลัวว่าหากนั่งแล้วเตียงจะพัง ก้นเพิ่งแตะถูกเตียงก็กระเด้งลุกขึ้นยืน

ปี้เอ๋อร์เห็นมารดาของตนทำท่าทางระวังปานนั้นก็ปวดใจอย่างห้ามไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านนั่งเถิด ไม่เป็นไรหรอก”

เฝิงซื่อนั่งลงอย่างเกร็งๆ ในความทรงจำของเฝิงซื่อ สาวใช้ล้วนแต่ได้นอนบนฟูกรวม บ่าวที่ได้รับจัดสรรห้องจะมีเตียงวางอยู่ในห้อง แต่นั่นก็เป็นเพียงโครงไม้สองชิ้นที่มีไม้กระดานแผ่นหนึ่งวางพาดเท่านั้น เป็นเตียงหลังหนึ่งจริงๆ อย่างห้องที่นี่ของลูกสาวเสียที่ไหน บนโครงหัวเตียงหน้าตาเรียบง่ายยังแกะสลักลายอีกต่างหาก

“ห้องของเหมยอี๋เหนียงก็เป็นเตียงแบบนี้”

เหมยอี๋เหนียงเป็นอนุภรรยาของนายท่านรอง ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านรองยิ่งนัก ของที่นางกิน ของที่นางสวม ของที่นางใช้ แม้แต่สวีซื่อยังเห็นแล้วขัดตา

“ลูกสาวเอ้ย เจ้า เจ้าตอนอยู่กับฮูหยินคนนี้ได้รับความเอ็นดูมากเลยสินะ”

เฝิงซื่อถาม

เพิ่งทำเรื่องที่ผิดต่อฮูหยินไป จะได้รับความเอ็นดูอะไรเล่า

ปี้เอ๋อร์หยิบเสื้อผ้าออกมาจากห่อสัมภาระ เก็บเสื้อผ้าแต่ละชุดเข้าไปในหีบ แล้วเอ่ยว่า “ผ่านไปไม่กี่วันท่านก็จะรู้ ฮูหยินไม่เหมือนกับเจ้านายพวกนั้นในเมือง ฮูหยินดีต่อบ่าวรับใช้ยิ่งนัก”

“ปี้เอ๋อร์” ชีเหนียงยกผลไม้ที่หั่นเรียบร้อยแล้วจานหนึ่งเดินเข้ามา แล้วคลี่ยิ้มทักทายบิดามารดาของปี้เอ๋อร์ “นี่คือท่านป้ากับท่านลุงสินะ”

เฝิงซื่อยิ้ม บิดาของปี้เอ๋อร์ก็ยิ้มด้วย

ปี้เอ๋อร์แนะนำ “ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่คือชีเหนียง ทำงานที่นี่เหมือนกัน”

เฝิงซื่อกับสามีทักทายอย่างเกรงใจและระมัดระวัง

ชีเหนียงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าหั่นผลไม้มาเล็กน้อย พวกท่านทานดับร้อนกันสักหน่อยก่อน อีกเดี๋ยวอาหารก็จะเสร็จแล้ว”

ปี้เอ๋อร์บอกอย่างไม่สบายใจ “รบกวนเจ้าแล้วจริงๆ ชีเหนียง แต่เดิมควรเป็นข้าทำอาหาร”

ชีเหนียงหัวเราะเสียงละมุน “พวกเราไม่พูดเรื่องนี้กัน ข้าไปทำอาหารก่อน เจ้ายังมีสัมภาระอันใดยังไม่ขนขึ้นเขามาหรือไม่ ข้าให้อากุ้ยไปขน”

ปี้เอ๋อร์รีบบอกว่า “ไม่มีสัมภาระอะไรแล้ว ก็แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด” ข้าวของเครื่องใช้ที่จวนปั๋วมีการจดบันทึกไว้ ยามไปแม้แต่เข็มเล่มเดียวก็อย่าคิดเอาไปด้วย

อาหารเย็นทำเสร็จอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อเฝิงซื่อเห็นเนื้อน้ำแดงเคลือบน้ำมันวาววับ ปลาทอดตัวน้อยสีเหลืองกรอบ น้ำแกงซี่โครงกลิ่นหอมยั่วยวนบนโต๊ะก็ตกตะลึงจนปากเกือบหุบไม่ลง

ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเคยผ่านความรู้สึกอย่างเฝิงซื่อมาแล้ว จึงหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร ต่างคนต่างหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว

ครอบครัวของอากุ้ยมาถึงกลุ่มแรก ต่อจากนั้นก็เสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยเป็นโจร เขาไม่เข้าใจคำว่ามารยาท เวลากินข้าวจึงมาร่วมโต๊ะเดียวกับพวกอากุ้ยสองสามีภรรยา ต่อมามีปี้เอ๋อร์เพิ่มมา นางเห็นทุกคนนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันหมด คิดว่าเป็นธรรมเนียมของที่นี่จึงนั่งโต๊ะเดียวกันตามด้วย

ผู้อื่นเป็นแม่นางน้อยยังไม่ถือสา หากอากุ้ยบ่นก็คงดูเรื่องมาก แล้วอีกอย่างเวลาเสี่ยวเว่ยร่วมโต๊ะก็ไม่เคยเห็นชีเหนียงลำบากใจ

แต่ตอนนี้มีผู้อาวุโสมาด้วย ชีเหนียงจึงแยกโต๊ะอย่างใส่ใจ นาง ปี้เอ๋อร์กับเฝิงซื่อนั่งโต๊ะหนึ่ง พวกผู้ชายนั่งกันอีกโต๊ะ

จงเกอร์ติดชีเหนียงจึงยกถ้วยเดินมาหา พอเขาเดินมา น้องชายตัวน้อยของปี้เอ๋อร์ก็มาด้วย

เด็กน้อยสองคนชอบกินเนื้อน้ำแดง

ชีเอ๋อร์คีบให้จงเกอร์ชิ้นหนึ่ง เมื่อจะคีบชิ้นที่สองก็พบว่าเนื้อน้ำแดงในจานไม่เหลือแล้ว

พอหันไปมองชามของน้องชายปี้เอ๋อร์ เนื้อน้ำแดงกองเป็นภูเขาลูกน้อย

ปี้เอ๋อร์อับอาย ส่งสายตาให้มารดา “ท่านแม่!”

เฝิงซื่อไม่สังเกตสักนิด นางหยิบถ้วยเปล่าใบหนึ่งมาตักน้ำแกงซี่โครงให้บุตรชายอย่างมีความสุข น้ำแกงมีอยู่นิดเดียว ที่เหลือมีแต่ซี่โครง

จงเกอร์ไม่ได้กินเนื้อก็เสียใจนัก

ปี้เอ๋อร์อับอายขายหน้ามาก นางอยากจะขุดรูมุดเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด กินข้าวร่วมโต๊ะกับคนอื่น มารดาของนางไม่ทำตัวน่าขายหน้าเช่นนี้จะได้หรือไม่ ทำเหมือนกับว่าไม่ได้กินเนื้อมาแปดชาติอย่างนั้น ไม่สนบ้างหรือว่าบนโต๊ะยังมีเด็กอยู่อีกคนหนึ่ง

ชีเหนียงใจกว้างจึงไม่พูดอะไร

จงเกอร์นิสัยดีจึงไม่โวยวาย นั่งกินข้าวขาวในชามอย่างเงียบๆ จนหมด

รอจนทุกคนกินเสร็จแล้ว ปี้เอ๋อร์จึงไปล้างถ้วยชาม ชีเหนียงแบ่งอาหารที่เก็บไว้ให้ครอบครัวเสี่ยวเว่ยทุกวันออกมาถ้วยหนึ่ง เรียกให้จงเกอร์ถือไปกินในห้อง

เฝิงซื่อบังเอิญมาเห็นเข้า เฝิงซื่อเดินไปข้างบ่อน้ำที่ลานด้านหลังแล้วกระซิบกับลูกสาว “ชีเหนียงคนนั้นแอบเก็บเนื้อไว้เอง ให้จงเกอร์แต่ไม่ให้น้องชายเจ้า!”

ปี้เอ๋อร์แทบจะบ้า “ท่านแม่! ตอนเย็นน้องกินเนื้อทั้งโต๊ะจนหมด ทำเอาจงเกอร์กินไม่อิ่ม ท่านยังจะเอาอะไรอีก”

เฝิงซื่อสะอึก “เจ้า เจ้าโกรธอะไรเล่า เขามีของให้กินทุกวัน น้องชายเจ้าหลายวันกว่าจะมีเนื้อนิดหน่อยให้ได้ชิม กินเนื้อมากหลายชิ้นหน่อยจะเป็นอะไร”

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่บ้านมักจะยอมให้น้องชาย ยอมให้จนชินแล้วจนไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง จนวันนี้มาอยู่ข้างนอก อยู่ด้วยกันกับเด็กคนอื่น ถึงพบว่ามารดาแท้ๆ ของตนทำเกินไปมากจริงๆ “ลูกของท่านเป็นเด็ก ลูกของผู้อื่นไม่ใช่หรือไร ของที่ผู้อื่นกินทุกวันก็ไม่ใช่ของที่ได้มาเปล่าๆ เสียหน่อย”

เฝิงซื่อหน้าบึ้ง “ถ้าเช่นนั้นน้องชายเจ้ามากินเปล่าๆ หรือไร เจ้าก็ทำงานที่นี่ไม่ใช่หรือ”

ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ครอบครัวอื่นเลี้ยงปากเดียว ผู้ใดจะเหมือนข้า พาทั้งครอบครัวยกโขยงมากิน”

เฝิงซื่ออ้าปากกว้าง “เจ้ารังเกียจพวกเราใช่หรือไม่ หากไม่ใช่เพราะเจ้า ตอนนี้พวกเราก็ยังทำงานดีๆ อยู่ในเมือง! พวกเราถูกผู้ใดทำร้ายจนเป็นเช่นนี้”

“นั่นก็เป็นเพราะพวกท่านพนันเสียเงินจนข้าหมดหนทางไม่ใช่หรือ หากไม่ใช่เพราะต้องช่วยพวกท่าน ผู้ใดจะอยากทำงานให้สวีซื่อ อย่างมากข้าก็เพียงเอาหัวโขกเสาตายให้รู้แล้วรู้รอด ดูซิว่านางจะทำอย่างไรกับข้าได้”

“เจ้าลูกเวรคนนี้!”

เฝิงซื่อเงื้อฝ่ามือขึ้นจะตบปี้เอ๋อร์

ชีเหนียงรีบก้าวเข้ามากอดแขนของเฝิงซื่อไว้ “โธ่ เหตุไฉนทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเล่า ท่านป้า มีอะไรพูดจากันดีๆ!”

เฝิงซื่อดิ้นรนจะเข้าไปตีปี้เอ๋อร์ “เจ้าเด็กน่าตาย คอยดูข้าจะตีนางให้ตาย!”

ชีเหนียงเอ่ยกับปี้เอ๋อร์ “ปี้เอ๋อร์ ท่านป้าเพิ่งมาถึง เหตุใดเจ้าไม่ดูแลดีๆ เอาแต่ทำให้ท่านป้าโมโห”

ปี้เอ๋อร์ยกชามที่ล้างเสร็จแล้วเดินไปห้องครัว

ชีเหนียงคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านป้า ปี้เอ๋อร์ทำงานแต่ละวันเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก บางครั้งก็หงุดหงิดจนลืมความเหมาะควรไปบ้าง ท่านเป็นมารดา ปากด่าทอนาง แต่ในใจย่อมรักนางที่สุด ท่านอย่าถือสานางเลย”

เฝิงซื่อกระแอม “ใช่ ใช่แล้ว ข้ารักนางที่สุดแล้ว”

“ท่านคงแค่อยากสั่งสอนนางให้รู้จักกฎระเบียบ” ชีเหนียงพูดพร้อมรอยยิ้ม

เฝิงซื่อดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง “ใช่…เฮ้อ! ข้าไม่ใช่กลัวนางไม่รู้ความ ทำลายกฎระเบียบของพวกเจ้าที่นี่หรือไร”

ชีเหนียงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ท่านป้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรดียิ่งนัก”

เฝิงซื่อผู้ถูกยอเสียเลิศเลอไม่สะดวกจะอาละวาดต่ออีก จึงปัดแขนเสื้อแล้วกลับห้องไป

ชีเหนียงลอบถอนหายใจแล้วเดินไปห้องครัว ปี้เอ๋อร์กำลังเช็ดถ้วยชามไป น้ำตาไหลไป ชีเหนียงเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องร้อง มารดาเจ้าอยู่เพียงไม่กี่วัน อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

ปี้เอ๋อร์สะอื้น “ตอนอยู่ตระกูลเฉียวนางจะทำอย่างไร ข้าไม่สนใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่นี่เป็นที่ทำงานของข้า นางไว้หน้าข้าสักนิดไม่ได้หรือ นางทำเช่นนี้ วันหน้าจะให้ข้าเงยหน้ามองผู้คนเช่นไร”

แต่ละบ้านล้วนมีเรื่องลำบากของตนเอง ชีเหนียงเป็นคนนอกย่อมไม่สะดวกตำหนิว่าเฝิงซื่อทำไม่ถูก ได้แต่พูดว่า “คนกันเองทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดล้อเลียนเจ้าหรอก”

ปี้เอ๋อร์สูดน้ำมูก “วันนี้ทำผิดต่อจงเกอร์แล้วจริงๆ”

“เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”

ชีเหนียงปลอบปี้เอ๋อร์อีกหลายคำ แล้วหยิบเสื้อที่ยืมมาจากเฉียวเวยไปคืนให้เฉียวเวย

เฉียวเวยถามถึงบิดามารดาของปี้เอ๋อร์ “อยู่กันดีหรือไม่”

ชีเหนียงคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังฮูหยินจึงบอกว่า “ไม่ดีเท่าไรนัก มารดาคนนั้นในใจมีแต่น้องชายของปี้เอ๋อร์ ไม่มองปี้เอ๋อร์เป็นลูกสาวสักนิด”

รักลูกชายมากกว่าลูกสาวเรื่องนี้อยู่ที่ไหนๆ ก็เจอ แม้แต่บ้านสกุลหลัว ถึงทุกคนจะจัดการแต่ละเรื่องอย่างยุติธรรม แต่เวลาพูดถึงเรื่องอะไรก็มักจะพูดถึงแต่จิ่งอวิ๋น ของอร่อยที่แบ่งให้ทั้งสองคน ช้อนแรกก็ต้องให้จิ่งอวิ๋น ช้อนที่สองถึงจะให้วั่งซู

ยิ่นอ๋องก็เป็นเช่นนี้ เห็นชัดว่าเขาชอบจิ่งอวิ๋นมากกว่าชอบวั่งซูมากนัก

หากวันนั้นคนที่ตกน้ำไปคือวั่งซู ก็ไม่รู้ว่าเขาจะลงแรงตามหาปานนั้นหรือไม่

เพียงแต่ว่าจะลำเอียงรักลูกชายก็ส่วนลำเอียงรักลูกชาย แต่ลูกสาวโตจนป่านนี้แล้วยังตบตีอย่างเฝิงซื่อก็ออกจะมากเกินไปหน่อยจริงๆ