บทที่ 406 ฝ่าบาท เราสามารถสู้สักตั้ง

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 406 ฝ่าบาท เราสามารถสู้สักตั้ง

เป่ยหมิงฉี่ถูกปฏิเสธต่อหน้า สีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุ้บๆรางๆ “จวินหย่วนโยวผู้สมควรตาย สร้างความวุ่นวายภายในให้กับแคว้นเป่ยลี่ของข้า เขากลับไม่ยอมพบข้า น่าชิงชังนัก!”

“ไท่จื่อเป่ยลี่รีบไปสยบความวุ่นวายภายในดีกว่า หากความวุ่นวายภายในรู้ไปถึงหูอีกสามแคว้น ถึงเวลาสามแคว้นร่วมมือกันขึ้นมาเกรงว่าแคว้นเป่ยลี่คงจะถึงจุดจบแล้ว!” องครักษ์เงามังกรที่อยู่หน้าประตูกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่ดำมืดมากยิ่งขึ้น ปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะในชั่วพริบตา มือที่อยู่ข้างตัวกำหมัดเอาไว้แน่น กระดูกส่งเสียงดังกรอบแกรบขึ้นมา

“น่าชิงชังนัก!” ทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่ง เป่ยหมิงฉี่ก็จากไปด้วยความโกรธ

เขารู้อยู่แล้วเป็นไปไม่ได้ที่จวินหย่วนโยวจะปล่อยแคว้นเป่ยลี่ไปง่ายๆ เจ้าหมอนี่ไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว

ทั่วทั้งเมืองหลวงโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว ถึงแม้คำพูดของไท่จื่อจะทำให้เกิดความสงบมั่นคง แต่ไม่มีอาหารและเครื่องดื่มก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น คนมากมายเริ่มพากันหนีออกไปจากเมืองหลวงแล้ว

หลังจากที่เป่ยหมิงฉี่กลับไประดมพลทุกคน หารือมาตรการรับมือการขนส่งอาหาร ทั่วทั้งจวนไท่จื่อยุ่งวุ่นวายไปทั่ว เมืองหลวงของแคว้นเป่ยลี่มีทหารส่งฎีกาเร่งด่วนมาเป็นระยะๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องขาดแคลนอาหารทั้งสิ้น

เวลาแค่หนึ่งวัน ทั่วทั้งแคว้นเป่ยลี่ล้วนเผชิญหน้ากับสถารณ์วิกฤตขาดแคลนอาหาร สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วในทันที

เป่ยหมิงฉี่ก็รู้ว่าในเมื่อจวินหย่วนโยวทำเช่นนี้ ก็คือไม่มีการเจรจาใดๆแล้ว นาทีนี้เขาไม่เคยรู้สึกเกลียดชังเสด็จพ่อเช่นนี้มาก่อน

หากไม่ใช่ความผิดของเขาในตอนนั้น เวลานี้แคว้นเป่ยลี่ก็ไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้

และข่าวนี้ก็ถูกสายของแต่ละแคว้นส่งกลับไปยังแคว้นของตัวเอง

แคว้นต้าเยียน

ฮ่องเต้ได้ยินว่าแคว้นเป่ยลี่เกิดความวุ่นวายภายใน เผชิญหน้ากับสถานการณ์ขาดแคลนอาหาร รู้สึกตกตะลึงไปจริงๆ

“แคว้นเป่ยลี่ตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือ ดินแดนน้อยกว่าสามแคว้นอื่นๆเล็กน้อย ดังนั้นในปีก่อนๆแคว้นเป่ยลี่ล้วนจะกักตุนอาหารเอาไว้เป็นจำนวนมาก เผื่อเอาไว้ในกรณีฉุกเฉินหรือไม่ก็ภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากการกระทำของมนุษย์

เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังขาดแคลนอาหาร และเกิดความอดอยากไปทั่วทั้งแคว้นได้อีก แสดงให้เห็นว่ามีคนแอบลงมือต่อแคว้นเป่ยลี่ เพียงแต่ว่าใครที่มีความสามารถมากขนาดนี้ ถึงกับสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับแคว้นหนึ่งได้!” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น

จู่ๆเขาก็นึกถึงจวินหย่วนโยวขึ้นมา นอกจากเขาแล้วเกรงว่าคงไม่มีใครมีความสามารถเช่นนี้?

เพียงแต่ว่าเมื่อคืนเขาเพิ่งจะเล่นหมากรุกกับจวินหย่วนโยว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะวิ่งไปที่แคว้นเป่ยลี่ภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืน ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเช่นนี้

“ฝ่าบาท เมื่อครู่นี้พระองค์บอกว่าแคว้นเป่ยลี่เกิดวิกฤติขาดแคลนอาหาร เป็นเรื่องจริงหรือ?” โม่หลานถือหอกเดินเข้ามาถาม

เสียงที่ดังขึ้นมากะทันหัน ทำให้สีหน้าของฮ่องเต้เคร่งขรึมทันที “นังหนูอย่างเจ้าถึงกับแอบฟังข้าพูด ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ”

“ฝ่าบาททรงปรักปรำข้าแล้ว พระองค์เป็นคนลงโทษให้ข้ามาทำความสะอาดสนามฝึกเอง เมื่อครู่องครักษ์คนนั้นเสียงดังขนาดนั้น ข้าไม่อยากได้ยินยังยากเลย แต่ว่าสามารถทำให้แคว้นเป่ยลี่เกิดความวุ่นวายภายในได้ วิธีการนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ คงจะไม่ใช่การกระทำของหยุนถิงใช่ไหม?” โม่หลานโต้แย้ง

ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นมา “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็นหยุนถิงล่ะ?”

“นังหนูคนนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายที่สุด หากเป็นคนที่นางต้องการจะจัดการ ย่อมจะจัดการที่ต้นตออยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่นางก็ต้องเป็นจวินหย่วนโยวแน่นอน คนทั่วไปไม่มีความสามารถนี้หรอก” โม่หลานเบะปาก

ผู้พูดไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ฟังรู้สึกว่าประโยคนี้มีความหมาย

ดวงตาที่ลึกล้ำของฮ่องเต้มืดมนลึกล้ำ เมื่อครู่นี้เขาก็เดาได้เหมือนกัน แต่กลับไม่กล้าคิดไปไกล

ถึงแม้โม่หลานจะพูดออกมาลอยๆ แต่ในใจของฮ่องเต้ก็มีความคาดเดาเล็กน้อยแล้ว แต่ไหนแต่ไรจวินหย่วนโยวผู้นี้ไม่เคยให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองทำอะไรมาก่อน ตอนนี้กลับสร้างความโกลาหลวุ่นวายให้กับแคว้นเป่ยลี่อย่างเอิกเกริกเช่นนี้ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรที่ตัวเองไม่รู้

“ฝ่าบาท หลีอ๋องขอเข้าพบ!” ซูกงกงเอ่ยปาก

หลีอ๋องที่ตามอยู่ด้านหลังเขารีบคำนับทันที “กระหม่อมคำนับเสด็จพี่ คิดว่าเสด็จพี่คงได้ยินเรื่องความวุ่นวายภายในของแคว้นเป่ยลี่แล้ว”

“หลีอ๋อง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังสืบไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของใคร สำหรับแคว้นต้าเยียนของเราแล้วล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ตอนนี้แคว้นเป่ยลี่กำลังขาดแคลนอาหาร เราสามารถขายอาหารให้แคว้นเป่ยลี่ในราคาที่สูงได้ เช่นนี้ก็จะสามารถทำเงินมากมายให้กับท้องพระคลังอย่างแน่นอน” โม่ฉือหานตอบ

“ฮ่าๆ!” โม่หลานหัวเราะออกมาอย่างดูหมิ่น

สีหน้าของโม่ฉือหานเคร่งขรึมลงมาทันที จ้องมองไปทางนางด้วยความโกรธ “โม่หลานเจ้าหัวเราะอะไร?”

“ข้าก็แค่หัวเราะให้กับความโง่เขลาของหลีอ๋อง เห็นเพียงผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ในเมื่อมีคนสามารถซื้ออาหารทั้งหมดของแคว้นเป่ยลี่อย่างเงียบๆได้ แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินไม่ใช่เล่นๆ

หลีอ๋องอย่าได้เห็นแก่ผลประโยชน์ตรงหน้าเพียงเล็กน้อยนี่ ก็ไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ถ้าหากคนผู้นั้นหันกลับมาต่อกรกับแคว้นต้าเยียน ทำให้แคว้นต้าเยียนตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหารเหมือนกัน ถึงเวลานั้นสามแคว้นอื่นๆจะไม่ฉวยโอกาสผสมโรงไปด้วยหรือ?” โม่หลานถามกลับ

นัยน์ตาสีดำที่มืดมิดราวกับคืนมืดมิดของฮ่องเต้มีความชื่นชมแว๊บผ่านไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าโม่หลานที่พูดจาไม่รู้กาลเทศะมาตลอดยังสามารถกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาได้

โม่ฉือหานถูกตอกหน้าต่อหน้า รู้สึกขายหน้าและโมโหสุดขีด “นับแต่โบราณผู้หญิงห้ามยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมือง หญิงงามที่เพิ่งเข้าวังอย่างเจ้าก็กล้ามาออกความเห็นที่นี่ ทหาร ลากตัวโม่หลานออกไปลงโทษให้หนัก!”

“ข้าเป็นคนลงโทษให้นางทำความสะอาดสนามฝึกเอง แต่ว่าคำพูดของโม่หลานก็สมเหตุสมผลอยู่เล็กน้อย” ฮ่องเต้ตรัสอย่างราบเรียบ

โม่ฉือหานจ้องมองไปทางโม่หลานด้วยความโกรธแค้น ถึงได้ตอบอย่างไม่เต็มใจ “แล้วแต่เสด็จพี่จะตัดสินใจ!”

“โม่หลาน สถานการณ์ในตอนนี้เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร?” ฮ่องเต้ถาม

โม่ฉือหานก็ยังตกตะลึงไป ฝ่าบาทถึงกับสอบถามโม่หลาน หญิงสาวบ้าๆบอๆที่รู้จักแต่ตีรันฟันแทงคนหนึ่ง เสด็จพี่เลอะเลือนไปแล้วหรือ

โม่หลานได้ใจอย่างยิ่ง “ฝ่าบาท ข้าคิดว่าเราสามารถสู้สักตั้ง!”

“เหลวไหล โม่หลานที่นี่คือวังหลัง ไม่ใช่สถานที่เล่นขายของ!” โม่ฉือหานห้ามปรามอย่างเย็นชา

“ข้ายังพูดไม่จบ หลีอ๋องรีบร้อนอะไร ฝ่าบาท ข้ายินดีรับอาสาออกรบเอง เช่นนี้ไม่เพียงจะไม่ล่วงเกินคนที่จัดการกับแคว้นเป่ยลี่ ไม่แน่ว่ายังสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขอบคุณอีกด้วย

แคว้นเป่ยลี่ในตอนนี้เกิดความวุ่นวายภายใน หากมีศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นมาอีก จิตใจของผู้คนก็จะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียว ราชสำนักวุ่นวาย หากสองแคว้นอื่นๆอยากได้และเข้าร่วมด้วย เช่นนั้นสามแคว้นทำลายแคว้นเป่ยลี่แบ่งฮุบดินแดนของแคว้นเป่ยลี่จะไม่ดียิ่งกว่าหรือ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากไม่สามารถทำลายแคว้นเป่ยลี่ได้ ตีเขตเมืองกลับมาได้ และขยายดินแดนของแคว้นต้าเยียนเราได้เล็กน้อยก็ไม่เลวเช่นกัน อย่างไรเสียโอกาสเช่นนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ” โม่หลานกล่าวความคิดของตัวเองออกมา

“ฮ่าๆ สมกับที่เป็นลูกสาวของเหล่าโม่ พยัคฆ์ย่อมไม่ออกลูกเป็นสุนัข คำขอนี้ของเจ้าข้าอนุญาต ข้าออกคำสั่งให้หลีอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่นำกำลังทหารหนึ่งแสนนาย ไปสมทบกับซวนอ๋องโจมตีแคว้นเป่ยลี่ โม่หลานเป็นรองแม่ทัพ ช่วยเหลือหลีอ๋อง หากฝ่าฝืนกฎระเบียบทหาร จะต้องถูกลงโทษตามกฎของทหาร!” ฮ่องเต้ออกคำสั่งอย่างเย็นชา

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับพระบัญชา!”

“ข้าขอบพระทัยฝ่าบาท!” โม่หลานตื่นเต้นอย่างยิ่ง ในที่สุดนางก็สามารถออกรบอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรมแล้ว ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ

หลีอ๋องกับโม่หลานออกไปเตรียมตัวทันที ฮ่องเต้ไปเยี่ยมหลิ่วเฟย และเล่าเรื่องนี้หลิ่วเฟยฟัง

หลิ่วเฟยกล่าวชมเชยทันที “ฝ่าบาทสายตาเฉียบแหลม หญิงสาวที่กล้าหาญและมีไหวพริบอย่างคุณหนูโม่ไม่แน่ว่าจะสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับฝ่าบาทจริงๆ บางทีวันหน้าคุณหนูโม่อาจจะกลายเป็นแม่ทัพหญิงก็ได้!”

ฮ่องเต้มีหลากหลายความรู้สึก “นิสัยของโม่หลานไม่เหมาะจะอยู่ในวังหลัง ถึงแม้ข้าจะลงโทษให้นางไปทำความสะอาดสนามฝึก บ่าวรับใช้ก็มารายงานว่า ตอนที่นางทำความสะอาดถึงกับใช้ไม้กวาดประลองกับบรรดาทหารของข้า แต่แล้วนางก็ยังชนะได้ เจ้าว่าข้าควรจะโกรธหรือว่าหัวเราะดี นังหนูคนนี้คือม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียน ขัดเกลานิสัยของนางไปก่อนค่อยว่ากัน”