ตอนที่ 148-2 ตำแหน่งเจ้าตระกูล

แน่นอนเฉียวเวยย่อมจำไม่ได้ว่า ‘ตนเอง’ เคยได้เงินไปเท่าใด แต่เพียงดูจากชีวิตของเจ้าของร่าง หากได้ค่าชดเชยมากมายมาจริง ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ตกต่ำถึงขนาดกลายเป็นเช่นนั้น

“ข้ามอบให้เจ้าห้าพันตำลึง” เฉียวเย่ว์ซานโต้

เฉียวเวยยิ้มละไม “ห้าพันตำลึงก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวเงินจากมรดกของบิดามารดาข้าเท่านั้นกระมัง หากเป็นดังท่านว่า ท่านขับไล่ข้าอออกจากตระกูลเพื่อช่วยข้า ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง รักข้าจากใจจริง ถ้าเช่นนั้นเหตุใดไม่มอบมรดกของบิดามารข้าทั้งหมดคืนให้ข้า ปล่อยให้ข้าเร่ร่อนอยู่ข้านอกยาวนานถึงห้าปี ข้าวไม่ได้กินอิ่ม ระเหเร่ร่อนจูงลูกสองคนจนเกือบหิวตาย ป่วยตายตั้งหลายหน ขอเพียงข้ามีบ้านกับที่นาเล็กๆ สักแห่งก็คงไม่ถึงกับต้องมีสภาพเช่นนั้น!”

เฉียวเวยพูดมามากมาย ทว่าเฉียวเย่ว์ซานกลับจับความได้เพียงประโยคเดียว “เจ้า…เจ้ามีลูกแล้วหรือ”

เฉียวเวยมองเขา ริมฝีปากคลี่ยิ้มที่มิคล้ายรอยยิ้ม “ทั้งตระกูลท่านต่างรู้แล้ว ทำไม ท่านถูกปิดบังอยู่ในกลองหรืออย่างไร”

เฉียวเย่ว์ซานกำหมัดแน่น หันหน้าไปเหลือบเห็นเงาที่ทอดอยู่บนพื้น เขาหมุนตัวสาวเท้าสองสามก้าวไปลากสวีซื่อที่อยู่หลังเขาจำลองออกมา “พวกเจ้าปิดบังสิ่งใดกับข้าไว้บ้างกันแน่!”

สวีซื่อขวัญผวาตัวสั่นตอบว่า “ไม่…ไม่มีสิ่งใด…นายท่าน ท่านอย่าฟังนางพูดเหลวไหล…นางตั้งใจ…จะมาหาเรื่อง…”

“โถ คำพูดนี้ของอาสะใภ้รองช่างไม่มีเหตุผลนัก พุดเหมือนข้าอยากมาหาเรื่องที่บ้านท่านมากมายนัก หากไม่ถูกพวกท่านบีบ ข้าไยต้องเอาเท้ามาเหยียบสถานที่น่ารังเกียจแห่งนี้” เฉียวเวยก้าวข้ามธรณีประตู เด็กรับใช้จะขวางแต่ถูกนางจับหมับโยนออกไปห่างสามเมตร เฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อมองตาค้าง

เฉียวเวยเอ่ยต่อ “ระหว่างพวกท่านสามีภรรยาปิดบังสิ่งใดกันไว้บ้างก็กลับไปค่อยๆ คุยกันเถิด ข้าไม่มีเวลาพูดไร้สาระกับพวกท่าน วันนี้ข้ามาเพื่อทวงของที่เป็นของข้ากลับคืน หากอารองตัดสินใจด้วยตนเองได้ก็ตรงไปตรงมาหน่อย คืนให้ข้าเสียตอนนี้ หากทำไม่ได้ ก็ไปเรียกพวกผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูลมาเป็นพยาน”

สวีซื่อปัดมือของสามีออกแล้วยืดร่างขึ้น นางเดินไปถึงตรงหน้าเฉียวเวย สายตามองเลยเฉียวเวยไปด้านนอกประตูใหญ่ นอกจากรถม้าที่ไม่สะดุดตาคันหนึ่งก็มีแต่บ่าวของเรือนใหญ่ที่เกษียณออกไปแล้วคนหนึ่ง บ่าวคนนั้นนางจำได้ว่านามว่าวั่งไฉ เป็นบ่าวที่ภักดีกับเรือนใหญ่ เคยคุมบัญชีของเรือนใหญ่ ความอดทนกับความภักดีหาข้อติไม่ได้ ไม่แปลกที่นางคนต่ำช้าคนนี้จะรู้เรื่องมรดกแล้ว คิดว่าเจ้าเฒ่าคนนี้คงบอกนาง

แต่ก็มีเพียงเจ้าเฒ่าคนนี้เพียงคนเดยีว ไม่เห็นเงาของเฉียวเจิง คิดว่ากระบองของเลี่ยวเกอร์ที่ฟาดไปหนึ่งทีนั่นคงตีเฉียวเจิงตายไปแล้ว

ในใจสวีซื่อฉับพลันมีความมั่นใจขึ้นมา นางเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เจ้าเป็นคุณหนูที่ถูกขับออกจากตระกูลไปแล้ว มีคุณสมบัติอันใดมาพบผู้อาวุโสในตระกูล บิดาของเจ้าเป็นคนตระกูลเฉียว มรดกของเขาเกี่ยวอันใดกับเจ้า มารดาเจ้าแต่งเข้าตระกูลเฉียวของพวกเราแล้ว ถ้าเช่นนั้นย่อมเป็นลูกสะใภ้ตระกูลเฉียว! ตอนเป็นนางเป็นคนตระกูลเฉียว ตอนตายก็เป็นผีตระกูลเฉียว ของของนางไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า!”

เฉียวเวยอึ้งไปวูบหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะ “เคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่มิเคยพบคนหน้าไม่อายเท่านี้ พวกท่านฮุบมรดกของบิดามารดาข้า แล้วยังกล่าววาจาวางโตอย่างไม่อายว่าไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของบิดามารดาข้า มรดกของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับข้า แล้วเกี่ยวข้องกับน้องชายน้องสะใภ้ลูกอนุอย่างพวกท่านเหล่านี้หรือไร”

สวีซื่อตอบอย่างหน้าหนา “นั่นแน่นอน! พวกเราแซ่เฉียว!”

ริมฝีปากของเฉียวเวยเผยรอยเย้ยหยันจางๆ “ได้พวกท่านแซ่เฉียว ข้าได้ยินว่า ออกเรือนเชื่อฟังสามี สิ้นสามีเชื่อฟังบุตร”

สวีซื่อตอบอย่างดูแคลน “เจ้ายังอุตส่าห์รู้จักคำนี้ มารดาของเจ้าไม่เคยให้กำเนิดบุตรชายเสียหน่อย ลูกสาวไม่เอาไหนอย่างเจ้าก็ทำความผิดมหันต์จนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียวแล้ว เจ้าไฉนจึงยังกล้าเพ้อฝันจะทวงของของนางกลับไปอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ชัด เจ้าอย่าฝันว่าจะเอาเงินไปจากตระกูลเฉียวได้แม้แต่อีแปะเดียว!”

เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “ข้าไม่ใช่คนตระกูลเฉียวแล้ว ถ้าเช่นนั้นบิดาของข้าใช่หรือไม่”

สวีซื่อตะลึง

เฉียวเวยหันไปบอกซิ่วไฉเฒ่า “ท่านบัณฑิต รบกวนท่านเชิญพ่อข้าลงมาหน่อย”

เฉียวเย่ว์ซานสงสัยว่าตนเองฟังผิด

สวีซื่ออ้าปากกว้าง

ทั้งสองคนหันไปมองซิ่วไฉเฒ่าพร้อมกันโดยไม่ได้นัด รถม้าคันนี้ทำมาเป็นพิเศษ จุดเด่นก็คือตัวรถม้ามีประตูหลัง เมื่อดึงไม้พาดชิ้นหนึ่งออกมาวาง รถเข็นก็ขึ้นลงได้พอดี

ซิ่วไฉเฒ่าเข็นรถเข็นลงมาจากรถม้า

พริบตาที่เห็นเฉียวเจิงบนรถเข็น เฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อต่างตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง

สารถีหยิบแผ่นไม้ที่พับอยู่ออกมาจากใต้รถม้าแล้วกางออกพาดบนขั้นบนไดหน้าประตูใหญ่ตระกูลเฉียว จากนั้นช่วยซิ่วไฉเฒ่าเข็นรถเข็นขึ้นไป

ต่อมาสารถีก็เอาแผ่นไม้ปูไว้บนธรณีประตูอีก ให้รถเข็นข้ามธรณีประตูไป

ซิ่วไฉเฒ่าเข็นรถเข็นไปหยุดอยู่ข้างกายเฉียวเวย จากนั้นคำนับเฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่ออย่างพอเป็นพิธี “นายท่านรอง ฮูหยินรอง ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่”

เฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อแข็งเป็นหินไปแล้ว…

ในจวนไม่เคยปิดบังเรื่องใดได้ แทบจะทันทีที่เฉียวเจิงปรากฏตัวขึ้นที่จวนเอินปั๋ว ข่าวก็แพร่ไปถึงในตระกูล ผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายล้วนตกตะลึง คนที่ตายไปแล้วสิบกว่าปีบอกว่าจะกลับมาก็กลับมา นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่

ผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายมิกล้าชักช้า รีบเร่งมายังตระกูลเฉียวอย่างไม่รีรอ

เหล่าไท่ไท่กับเรือนสาม เรือนสี่ในตระกูลเฉียวย่อมได้ยินข่าวแล้วเช่นกัน เมิ่งซื่อกับฮูหยินสามตกใจยิ่งนัก ปฏิกิริยาแรกของพวกนางเป็นเช่นเดียวกับสวีซื่อ ไม่คิดว่านั่นคือคนเป็น แต่คิดว่าเป็นวิญญาณของเฉียวเจิง

พวกเขาไม่เพียงฮุบบสมบัติของเฉียวเจิงกับเสิ่นซื่อ แต่ยังขับไล่บุตรสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาออกจากตระกูล เฉียวเจิงจะต้องโมโหแน่ ดังนั้นจึงปีนกลับมาจากนรกมาคิดบัญชีแค้นกับพวกเขา…

ฮูหยินสามตะโกนลั่น “ล้วนต้องโทษพี่สะใภ้รอง! ตอนนั้นข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าลงมือเด็ดขาดเช่นนั้น! นางก็ไม่ฟัง!”

การตัดสินใจหนนั้นไม่ใช่ของสวีซื่อเพียงคนเดียว แต่ฮูหยินสามไม่กล้าสาดโคลนใส่บุตรชายที่เหล่าไท่ไท่ให้กำเนิดต่อหน้าเหล่าไท่ไท่ จึงได้แต่ผลักทุกสิ่งไปไว้บนศีรษะของสวีซื่อ

เมิ่งซื่อไม่ตอบ ถานมามาปลดเกษียณกลับบ้านเกิดไปแล้ว ยามนี้คนที่ใช้งานได้มากที่สุดข้างกายนางก็คือเซวียมามา “เสวี่ยฉิน เจ้ารีบไปดูที่ห้องรับรอง! เฉียวเจิงฟื้นกลับมาจากความตายจริงหรือไม่”

“…เจ้าค่ะ!” เซวียมามาข่มกลั้นความหนาวสะท้านที่แผ่ไปทั่วร่างแล้วซอยเท้าก้าวจากไป

ภายในห้องรับรอง เฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้านอย่างไม่มียอม เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายนั่งอยู่สองฝั่งตามลำดับ รถเข็นของเฉียวเจิงจอดอยู่กลางห้องโถงใหญ่ เฉียวเวยกับซิ่วไฉเฒ่าอยู่เคียงข้างเขา

หน้าตาของเฉียวเจิงเปลี่ยนไปจากเมื่อสิบห้าปีก่อนเล็กน้อย ปอยผมมีสีขาวแซม แววตาผ่านร้อนผ่านหนาว บนศีรษะมีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบอยู่ แต่ก็ยังมองออกตั้งแต่แวบแรกว่าเขาก็คือเฉียวเจิง

ยามอยู่ต่อหน้าชาวบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราวกลุ่มหนึ่ง สวีซื่อยังพอปฏิเสธตัวตนของเฉียวเจิงได้ แต่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสในตระกูลมากมายที่มองดูเฉียวเจิงเติบใหญ่มา สวีซื่อไม่กล้าบิดเบือนความจริงส่งเดช

สวีซื่อขยำผ้าเช็ดหน้าแน่น ไม่รู้ว่าใช้เรี่ยวแรงไปมากเท่าใดจึงทำให้ตนเองไม่เสียกิริยา ณ ที่ตรงนั้นได้

สายตาของเฉียวเวยกวาดผ่านสวีซื่อผู้แสร้งทำเป็นนิ่งสงบ รวมถึงคนทั้งหมดที่ตาโตอ้าปากค้างกันอยู่ “ทุกคนคงจำได้แล้วสินะ”

ทุกคนไม่ตอบคำ แต่แววตาเผยคำตอบแล้ว

ผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยขึ้นว่า “นี่…นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เฉียวเจิงกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร”

ผู้อาวุโสหกเอ่ยขึ้นบ้าง “ในเมื่อเฉียวเจิงยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่กลับมา”

สวีซื่อถามอย่ารวดเร็ว “ใช่แล้ว หากนี่เป็นพี่ใหญ่ตัวจริง เหตุใดเขาไม่รีบกลับมาหาพวกเราเล่า เจ้าคงจะไม่ได้…หาคนหน้าตาคล้ายกันสักคนมาหลอกลวงพวกเราหรอกกระมัง”

ติ๊ง!

อี้เชียนอินจิ้มกระดิ่งบนรถเข็น สองตาวาวโรจน์มองสวีซื่อ แววตาโกรธแค้นนั่นทำให้ขนทั่วร่างของสวีซื่อลุกชัน!

เฉียวเวยอธิบายว่า “หลังจากบิดาของข้าพลัดตกน้ำก็ลอยไปติดอยู่บนเกาะร้างแห่งหนึ่งในทะเล เกาะร้างไม่มีคนอาศัย ทั้งไม่มีคนออกไปและไม่มีคนมาเยือน บิดาข้าเคยลองทำแพไม้ไผ่เพื่อออกจากเกาะ แต่คลื่นลมแรงเกินไปจึงไม่สำเร็จ จนกระทั่งไม่นานมานี้มีเรือสินค้าลำหนึ่งผ่านทางมาถูกคลื่นลมทำเสากระโดงเสียหาย ต้องจอดพักบนเกาะร้างอย่างไร้ทางเลือก บิดาของข้าจึงมีโอกาสออกมาจากเกาะร้างได้ในที่สุด”

“ขอถามว่าเป็นเรือสินค้าของที่ใด” ผู้อาวุโสห้าถาม

เฉียวเวยตอบว่า “เป็นเรือตะวันตกลำหนึ่ง พวกเขาไม่ทันระวังอ่านแผนที่พลาด จึงหลงทางอยู่บนทะเล โชคดีที่พวกเขาหลงทาง มิเช่นนั้นคงไม่จับพลัดจับผลูช่วยบิดาของข้ามาได้”

เรือสินค้าตะวันตกลำนี้มีอยู่จริง เรื่องที่แวะพักที่เกาะร้างก็ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมา นายเรือเป็นพ่อค้าตะวันตกที่หมิงซิวรู้จัก เฉียวเวยไม่กลัวตระกูลเฉียวไปสืบ เพราะคำโกหกเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรตระกูลเฉียวก็หาช่องโหว่ไม่ได้

“ต่อมาบิดาข้าขึ้นฝั่งมาก็รีบเร่งกลับมาเมืองหลวงทันที ระหว่างทางพบกับข้าเข้า พวกเราพ่อลูกจึงได้หวนกลับมาอยู่พร้อมหน้า ส่วนที่พวกท่านถามว่าบิดาข้าเหตุไฉนจึงกลายมาเป็นสภาพเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องลองถามฮูหยินรองผู้มีเกียรติดู”

เฉียวเวยพูดพลางมองไปยังสวีซื่อที่นั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้าน

หัวใจสวีซื่อเต้นดังตึกตัก “เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”

เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “ข้ากับบิดาข้ารักษาคนอยู่ใกล้กับหอหลิงจือ ท่านก็ให้คนมารุมทำร้ายข้ากับบิดาข้า บิดาข้าถูกตีเข้าที่ศีรษะ หมดสติไปทันที ต่อมาแม้จะช่วยให้รอดมาได้ แต่ก็จ้งเฟิงกลายเป็นสภาพเช่นวันนี้”

“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” สวีซื่อลุกขึ้นมา “ทุกคนอย่าไปเชื่อนางเด็ดขาด นางมาเพราะจะทวงสมบัติคืน ไม่มีสิ่งใดที่นางทำไม่ได้เพื่อชิงสมบัติกลับไป! นางถึงขั้นใส่ร้ายป้ายสีข้า! ยุแยงความสัมพันธ์ของคนในตระกูลเฉียวของพวกเรา!”

เมื่อได้ยินคำว่าจะทวงสมบัติคืน แววตาของผู้อาวุโสทั้งหลายก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เฉียวเย่ว์ซานนิ่งเงียบมาตลอด ไม่ได้เอ่ยคำใด

ในที่แห่งนี้นอกจากเขา ผู้ที่มีคุณสมบัติจะเอ่ยปากมากที่สุดก็คือผู้อาวุโสใหญ่

ผู้อาวุโสใหญ่ลูบเคราแพะสีขาวโพลน “บุญคุณความแค้นส่วนตัววางเอาไว้ก่อน ตอนนี้มาคุยเรื่องของบิดาเจ้า เจ้าถูกขับออกจากตระกูลแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียวอีกต่อไป สมบัติของตระกูลเฉียว เจ้าอย่าคิดว่าจะเอาไปได้ ส่วนบิดาของเจ้า เขายังเป็นคนตระกูลเฉียวอยู่ ตระกูลเฉียวจะเลี้ยงดูเขาในยามชราจนสิ้นอายุขัยเอง”

เฉียวเวยรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ โชคดีที่นางไม่ได้พาบิดาตัวจริงกลับมา มิเช่นนั้นต่อให้นอนหลับไม่ตื่น เขาก็คงคั่งแค้นจนตายอยู่ในฝัน “เลี้ยงดูจนเขาสิ้นอายุขัยอันใด! ผู้อาวุโสใหญ่คงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าบิดาของข้าต่างหากที่เป็นเจ้าตระกูลอย่างถูกต้องชอบธรรมของตระกูลเฉียว! พวกท่านขับไล่ข้าออกจากตระกูล เคยถามความเห็นจากบิดาของข้าแล้วหรือยัง”

ผู้อาวุโสใหญ่ “ตอนนั้นบิดาของเจ้า…”

แววตาของเฉียวเวยทอประกายดุดัน “ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้เขากลับมาแล้ว พวกท่านก็ลองถามเขาดูว่ายอมรับคำสั่งขับไล่ข้าของพวกท่านหรือไม่!”

ติ๊งๆ!

ติ๊งๆ!

ติ๊งๆ!

หนึ่งหนคือ ‘ใช่’ สองหนคือ ‘ไม่’

ทุกคนได้ยินเสียงติ๊งๆ ใสกังวานนั่นแล้วพลันรู้สึกว่าขนลุกซู่ในหัวใจ

สวีซื่อกำหมัดแน่นเอ่ยขึ้นว่า “บิดาของเจ้าเคยเป็นเจ้าตระกูลถูกต้องแล้ว แต่ตำแหน่งเจ้าตระกูลของอารองเจ้าก็ไม่ใช่ได้มาจากอากาศ ผู้อาวุโสทุกท่านเป็นคนเลือกขึ้นมา! เจ้าตระกูลคนปัจจุบันคืออารองของเจ้า ไม่ใช่บิดาของเจ้า!”

เฉียวเวยเดินมาถึงหน้าผู้อาวุโสทั้งหลาย แล้วมองไปยังคนที่อยู่ท้ายสุด “ผู้อาวุโสเจ็ด ข้าได้ยินมาว่าสิบเก้าปีก่อน มารดาของท่านป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทั่วร่างมีตุ่มแดงผุดเต็มร่าง ทุกวันเจ็บปวดยากทานทน ประหนึ่งมีผึ้งพันหมื่นตัวต่อยร่างกายของตนอยู่ มารดาของท่านทนความเจ็บปวดทรมานของโรคร้ายไม่ไหว กินยาเบื่อหนูเข้าไป ผู้ใดช่วยมารดาท่านกลับมาจากประตูผี”

ผู้อาวุโสเจ็ดอ้าปาก “…พ่อของเจ้า”

เฉียวเวยจ้องเขา “บิดาของข้ารักษาพิษจากยาเบื่อหนูให้นางจนหายดี แล้วยังไม่รังเกียจความสกปรกความเหนื่อยยาก ทำความสะอาดตุ่มแดงให้นางทั้งวันทั้งคืน ลูกกตัญญูที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงอย่างพวกท่านยังทำไม่ได้ แต่บิดาของข้าทำได้”

ผู้อาวุโสเจ็ดก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

เฉียวเวยเดินไปตรงหน้าผู้อาวุโสหกต่อ “ข้าได้ยินมาว่าสิบเจ็ดปีก่อน ผู้อาวุโสหกพาลูกชายคนเล็กกลับไปเยี่ยมครอบครัวพ่อตา ลูกชายคนเล็กซุกซนไม่ทันระวังพลัดตกจากหน้าผา หิมะตกหนักตลอดทั้งค่ำ ผู้ใดบุกบั่นลงไปในหุบเหวลึกร้อยจั้งช่วยลูกชายคนเล็กของท่านขึ้นมา”

“เป็น…เป็น…ฮูหยิน”

“ฮูหยินคนใด”

“ฮู…ฮูหยินใหญ่!”

เฉียวเวยจ้องนิ่ง “เพื่อช่วยลูกชายของท่าน มารดาของข้าผูกเชือกเส้นบางเส้นเดียวบนเอว ลำบากลำบนลงไปในหุบเหวลึกร้อยจั้ง ทั้งร่างถูกขูดเป็นแผลปริแตก มือบาดเจ็บจนเห็นกระดูก มีเรื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่”

ผู้อาวุโสหกเหงื่อเย็นหลั่งรินออกมาจากขมับ “…มี”

“ลูกชายคนเล็กของท่านวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่”

“…ดี ดี”

“แต่ข้าไม่ดี แม่ข้าช่วยลูกชายของท่าน แต่ท่านกลับขับไล่ลูกสาวของนาง” เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบเฉยจบ แผ่นหลังของผู้อาวุโสหกก็ก้มคุดคู้

เฉียวเวยเดินผ่านผู้อาวุโสห้า ผู้อาวุโสสี่มาถึงตรงหน้าผู้อาวุโสสาม

ผู้อาวุโสสามตระหนกจิตใจสับสน ดึงแขนเสื้อ “ข้าไม่เคยติดค้างอันใดบิดามารดาของเจ้า!”

เฉียวเวยกล่าวขึ้นเสียงเรียบ “สิบแปดปีก่อน ท่านติดหนี้ก้อนโตที่บ่อน คนของบ่อนจับตัวเมียน้อยที่ท่านเลี้ยงไว้ข้างนอกไป จะขายเมียน้อยของท่านเข้าไปในหอคณิกา ขายลูกอนุของท่านให้แก่นายหน้าค้าทาส”

ผู้อาวุโสสามหน้าซีดเผือด “ข้าแจ้งทางการแล้ว! ทางการเป็นคนหาตัวพวกเขาพบ! ไม่ใช่บิดามารดาของเจ้า!”

เฉียวเวยยิ้มหยัน “หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของบิดามารดาข้า ทางการจะรับคดีของท่านหรือ”

ผู้อาวุโสสามใจฝ่อก้มหน้าลง ตอนนั้นที่ไปแจ้งทางการ ทางการไม่อยากจะสนใจจริงๆ บ่อนไม่ใช่เรื่องสง่าผ่าเผยอันใด กล้าพนันก็ต้องกล้าแพ้ เขาเสียพนันเมียน้อยของตนให้แก่ผู้อื่นเอง แล้วจะโทษผู้ใดได้เล่า ยามนั้นเรือนใหญ่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้กับฮองเฮามากนัก พอเขาบอกชื่อของทั้งสองคนออกมา ทางการถึงรีบร้อนไปดำเนินการ

เฉียวเวยมองทุกคนอย่างเจ็บปวด “พวกท่านติดค้างบุญคุณบิดามารดาข้ามากมายตั้งเท่าใด แต่พอพวกเขาตาย พวกท่านกลับอดรนทนไม่ไหวอยากจะฮุบสมบัติของพวกเขา พวกท่านช่างผิดต่อบิดามารดาของข้าจริงๆ!”

ติ๊ง!

ติ๊ง!

อี้เชียนอินนิ้วสั่น เคาะกระดิ่งบนรถเข็น ดวงตาที่อัดแน่นด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาคู่นั้น มองพวกเขาด้วยความผิดหวังและเคืองแค้น ผู้อาวุโสเจ็ด ผู้อาวุโสหกกับผู้อาวุโสสามถูกมองจนไม่มีที่ใดให้หลบซ่อน รู้สึกราวกับว่าอาภรณ์บนร่างถูกถอดจนเปลือยเปล่า กระอักกระอ่วนและอับอาย

เฉียวเวยหันไปมองผู้อาวุโสรองที่อยู่ด้านข้าง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ผู้อาวุโสรอง บิดาข้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่า แม้ท่านจะมิได้รักษาคนไข้คนเจ็บข้างนอก แต่ความรู้วิชาแพย์ของท่านก็สูงส่ง เขาได้ร่ำเรียนมาจากท่านไม่น้อย นับถือท่านอย่างยิ่งมาตลอด”

ขอบตาของผู้อาวุโสรองแดงระเรื่อ หันไปมองอี้เชียนอินที่อยู่ด้านข้าง “นายท่าน…”

อี้เชียนอินเผยแววตาซับซ้อนพลางเคาะกระดิ่งหนึ่งที

น้ำตาของผู้อาวุโสรองเอ่อล้นออกมาจากดวงตา

สายลมอ่อนพัดอาภรณ์ของเฉียวเวย ชายเสื้อพลิ้วไหว ดวงหน้าของนางองอาจห้าวหาญ “พวกท่านเป็นผู้เลือกบิดาของข้าเป็นเจ้าตระกูล ยามนั้นที่ท่านปู่ของข้ายังอยู่ พวกท่านรับปากอันใดหน้าเตียงของท่านปู่ข้า”

นายท่าน ท่านจากไปอย่างวางใจเถิด พวกเราจะสนับสนุนเจิงเอ๋อร์ให้ดี ผู้ใดกล้าหมายตาตำแหน่งเจ้าตระกูลของเจิงเอ๋อร์ พวกเราจะไม่ปล่อยไว้!

ผู้อาวุโสใหญ่เองก็เริ่มนั่งอย่างสง่าผ่าเผยไม่ไหวแล้ว

เฉียวเวยกลับมาข้างกายอี้เชียนอิน “พ่อของข้า ‘หายตัว’ ไปหลายปี ตระกูลเฉียวมิอาจเป็นมังกรไร้หัว ข้าเข้าใจที่พวกท่านเลือกเจ้าตระกูลคนหนึ่งขึ้นมาแทนชั่วคราว แต่ยามนี้พ่อของข้ากลับมาแล้ว ตำแหน่งเจ้าตระกูลนี้ก็สมควรคืนให้แก่เจ้าของแล้วหรือไม่”

ติ๊ง!