บทที่ 496 ฉันรักษาสัญญาในตอนนั้นสำเร็จแล้วเพียงคนเดียว

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ทุกคนรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน เป็นเพราะว่าเวลาที่สือจินหว่านกับกลุ่มนักดนตรีนัดแนะกันนั้นคือตอนบ่ายสามโมง ดังนั้นยังคงพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย

หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว สือจินหว่านไปห้องพักของหยานโม่หาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเขาว่า “โม่หาน ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”

หยานโม่หานตกตะลึงเล็กน้อย เขาพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังโซฟาภายในห้องพัก “นั่งพูดแล้วกันนะครับ”

สือจินหว่านไม่ได้นั่งลงไป แต่ทว่ากลับเดินไปปิดประตูแทน “โม่หาน ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายมักจะสงสัยอยู่เสมอเลยว่าที่ฉันบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว นั่นก็คือนายใช่ไหม? อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่หรอกนะ”

หัวใจของหยานโม่หานหนักอึ้ง นี่เธอกำลังจะตัดความหวังเส้นสุดท้ายของเขาใช่ไหม?

เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะรอคอยประโยคถัดไปของสือจินหว่าน

“โม่หาน อันที่จริงแล้วฉันเมื่อหกปีก่อนหน้านี้ ก็ชอบเขาไปเสียแล้วล่ะ” สือจินหว่านสูดลมหายใจลึก ๆ แรง ๆ ครั้งหนึ่ง “ฉันชอบคุณอาจวิ้น!”

หยานโม่หานฟังมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ตะลึงลานในทันที

เนิ่นนานราวกับครึ่งวัน เขาถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา “หวันหว่าน พี่กำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? เขาไม่ได้เป็นคุณอาของพี่หรอกหรือไง?!”

สือจินหว่านเอ่ยว่า “ใช่ แต่ว่านะ พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกันเลย ฉันอยู่ที่เพอร์เซลล์หลายปีมานี้ ในตอนแรกเริ่ม พวกเราก็แค่มีความรู้สึกของครอบครัวกันเท่านั้น แต่ทว่าหลังจากที่ฉันโตมาแล้ว……สรุป ฉันรับรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ฉันชอบเขา อีกอย่างหนึ่งนะ เขาเองก็ชอบฉันด้วย!”

“หวันหว่าน พี่บ้าไปแล้วหรือไง?!” ลมหายใจของหยานโม่หานแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที แม้กระทั่งที่หน้าผากก็ยังมีรอยเขียวด้วย “ผมนึกมาโดยตลอดเลยว่าคนคนนั้นคือเฉียวซือ ก็เลยช่างมันไปแล้ว แต่ทำไมต้องเป็นเขาด้วย?! หวันหว่าน พี่รู้หรือเปล่า ว่าเขาอายุมากกว่าพี่ไปกี่ปี?!”

“โม่หาน ที่ฉันพึ่งจะมาบอกนายเอาตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันคือผลลัพธ์ของการครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั่น ตอนนี้ก็ช่างมันไปแล้ว ฉันพิจารณาแล้ว” สือจินหว่านยกยิ้มหัวเราะเยาะตนเองหนหนึ่ง “ถ้าหากว่าเหตุผลนั้นสามารถควบคุมความรู้สึกทั้งหมดได้เอาไว้ บางทีฉันกับเขา ก็คงล้วนแล้วแต่ไม่สามารถประคับประคองกันมาได้ถึงวันนี้หรอก! แต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้จริง ๆ นั้น มันถึงจะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่ามากที่สุด โม่หาน นายควรที่จะเข้าใจนะ!”

หยานโม่หานสบตามองนัยน์ตาและท่าทางจริงจังของสือจินหว่าน หัวใจค่อย ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทีละเล็กทีละน้อย เขาหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหวิวเป็นอย่างมาก “หวันหว่าน เป็นเพราะว่าผมมาที่โลกนี้ช้ามากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามอีกครั้งอย่างไร ภายในหัวใจของพี่ ก็ยังคงสู้เขาไม่ได้สินะ……”

“โม่หาน ไม่ใช่ว่านายเทียบกับเขาไม่ได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าฉันพบเจอเขาก่อน ชอบเขาไปก่อนต่างหาก” สือจินหว่านเอ่ย “เขาดีต่อฉันมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นายรู้ไหม มีครั้งหนึ่งที่ชายหาด ฉันพบเจอเข้ากับอันตรายถูกคนขู่บังคับ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาสามารถสู้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ทว่าคนเหล่านั้นถือมีดมาจ่อเอาไว้ที่คอของฉัน ให้เขาคุกเข่าลงเพื่อที่จะให้พวกมันทำร้าย เขานั้นวางศักดิ์ศรีลงไปจริง ๆ……”

“เขาเป็นผู้รับช่วงต่อของตระกูลเพอร์เซลล์ เป็นคนที่หยิ่งทะนงคนหนึ่ง แต่ทว่าเพื่อฉันแล้ว เขากลับทำเรื่องราวมากมาย…..”สือจินหว่านเอ่ย “ตอนนี้ ที่เขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับฉัน ไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่ชอบ แต่ทว่ากลัวว่าจะดูแลฉันได้ไม่ดี ฉันจะสามารถมองเห็นเขาอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน?!”

“หวันหว่าน ที่พี่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา ถ้าหากว่าผมเกิดก่อนหน้านี้สักสิบปี ผมเองก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ!” นัยน์ตาดำขลับของหยานโม่หานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เพียงแต่ว่าเสียดายจังเลยครับ เวลาที่ผมแพ้ไปให้น่ะ……”

“โม่หาน ขอโทษนะ นายจะต้องพบเจอกับผู้หญิงที่จะสามารถเคียงข้างนายไปทั้งชีวิตได้แน่ ๆ เธอเองก็จะชอบนายมาก พวกนายจะมีความสุขมากแน่ ๆ” สือจินหว่านเอ่ย “สองสามปีมานี้ ขอบคุณนายมาก ๆ เลยนะที่ดีต่อฉันมากขนาดนี้!”

เมื่อได้ฟังจนถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาของหยานโม่หานร้อนผะผ่าวขึ้นในทันที ก่อนจะมีหยาดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาแล้ว

เขารีบลุกขึ้นหมุนตัวไปในทันที ไม่มองเธออีกต่อไปแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อยว่า “หวันหว่าน ผมรับปากพี่นะครับ หลังจากนี้จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับพี่อีกต่อไปแล้ว”

ถึงแม้ว่าฉันจะรักเธอ ก็ขอเพียงแค่ให้ได้รักเช่นนี้ รักคงอยู่เมืองของตนเอง วาดฝันมันเอาไว้เพื่อกักขังตนเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว……

สือจินหว่านเห็นหยานโม่หานรู้สึกแย่ เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรที่จะปลอบประโลมเขาอย่างไรดี เธอตบเข้าที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ สองสามที เขารีบหันกลับมาทันที ก่อนจะยื่นมือไปสวมกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

เนิ่นนาน เขาถึงปล่อยออกมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ก็เปิดประตูออกมาแล้ว

“โม่หาน ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันไปก่อนนะ” สือจินหว่านเอ่ยก็รู้สึกแย่เล็กน้อย “พวกกลุ่มนักดนตรีตอนบ่าย……”

“ผมจะไปครับ” หยานโม่หานเอ่ยขึ้น “ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ผมจะอยู่ครับ”

นี่เกรงว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขากับเธอจะได้ไปมาหาสู่กัน หลังจากที่กลับจีนไปแล้ว ต้องแยกจากกันคนละฟากฟ้าแล้วจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด แต่ทว่า เจ็บก็เจ็บไปสิ สรุปแล้วก็ยังดีว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ติดต่อกันอีกนั่นแหละนะ

“โอเค” สือจินหว่านเอ่ย “ตอนจะออกไปแล้วฉันจะเรียกนายนะ”

ทุกคนแยกกันไปพักผ่อนภายในห้องของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง โอหยางจวิ้นเคาะประตูห้องของสือจินหว่าน “หวันหว่าน ควรที่จะออกเดินทางได้แล้วนะ”

สือจินหว่านตอบรับ ก่อนจะเรียกหยานโม่หานอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไปด้วยกัน

ที่ผ่านมา หยานโม่หานก็ไม่ได้ขาดการติดต่อกับทั้งสองคนเลย แต่ทว่ามาจนถึงวันนี้แล้ว เขาถึงได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านในตอนที่อยู่ต่อหน้าโอหยางจวิ้นนั้นแทบจะมีท่าทีไม่เหมือนอย่างในยามปกติเลย

ภายในหัวใจจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกเรียบเฉยขึ้นมาหลายส่วน ด้วยเหตุนี้เอง ในตลอดการเดินทางนั้น หยานโม่หานจึงแสดงความนิ่งขรึมออกมาอย่างชัดเจน

เหมือนกันเลย โอหยางจวิ้นกำลังหวนนึกถึงหกปีก่อน เขาได้ยินสือจินหว่านร้องเพลง แต่ทว่าวันนี้สถานะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยู่เคียงข้างกับแม่สาวน้อยของเขานั้น กลับเป็นเด็กหนุ่มวันรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธออีกคน ทันใดนั้นเอง รู้สึกเพียงแค่ว่าลมหายใจนั้นหายใจเข้าออกอย่างลำบากเป็นอย่างมาก

ทั้งสามคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตนเองจนมาถึงที่คลับ เพื่อนในตอนแรกเห็นสือจินหว่านเข้าแล้ว ทันใดนั้นเองก็พุ่งเข้าไปสวมกอดเธออย่างอบอุ่นเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่งมีคนที่ยังคงจดจำเรื่องในปีนั้นได้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงชี้ไปยังหยานโม่หานแล้วเอ่ยถามกับสือจินหว่านว่า “Wan เขาใช่คนที่สารภาพรักกับเธอคนนั้นหรือเปล่า?”

สือจินหว่านหัวเราะ ไม่ได้ตอบกลับไปตรง ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันทีแล้ว

หยานโม่หานยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจึงไม่ได้ยิน แต่ทว่าโอหยางจวิ้นนั้นอยู่ใกล้มาก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามอะไร

ในตอนนั้นเอง คนในตอนแรกล้วนแล้วแต่อยู่ด้วยกันหมด แต่ทว่า แม่สาวน้อยของเขากลับไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว……

เป็นเพราะว่ามาเที่ยวเล่นกันที่คลับกัน ดังนั้นแล้ว ทุกคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเชื้อเชิญสือจินหว่านให้ไปขึ้นร้องเพลง

สือจินหว่านพยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความปีติเป็นอย่างมาก เธอเลือกเพลงภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมเพลงหนึ่งมาร้องพร้อมกันกับทุกคน หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับทุก ๆ คนว่า “วันนี้ฉันยังมีอีกเพลงหนึ่งด้วยนะ เป็นเพลงที่จะร้องเพลงให้คนที่อยู่ที่นี่คนหนึ่งฟัง”

โอหยางจวิ้นได้ยินมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นเองเลือดในกายทั่วทั้งร่างก็จับตัวแข็งในทันที

ที่แท้แล้ว เขานึกว่าเธอขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เป็นเพราะว่าเรื่องราวของพวกเรา แต่ทว่า ในตอนนี้เอง เธอกลับร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเสียนี่!

ช่วงทำนองของเพลงดังขึ้น อีกทั้งบวกเข้ากับใบหน้าครึกครื้นของกลุ่มนักดนตรีรอบข้างแล้ว ทันใดนั้นเอง โอหยางจวิ้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นแทบจะไร้หนทางที่จะรออยู่ที่ด้านล่างเวทีอีกต่อไปแล้ว

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวออกไป

ส่วนหยานโม่หาน นั่งอยู่ที่ด้านล่างของเวทีเงียบ ๆ เขารับรู้อย่างชัดแจ้งว่าสือจินหว่านนั้นจะร้องเพลงให้กับโอหยางจวิ้น แต่ทว่า เขากลับยังอยากที่จะฟัง ต่อให้มันจะเหยียบย่ำลงบนหัวใจเขาก็ตาม

“ถ้าหากว่ามีคนอยู่ที่ประภาคาร เขี่ยเส้นผมของเธอเล่นจนยุ่งเหยิง ครุ่นคิดอยู่บนกำแพงและกระเบื้อง ถ้าหากว่าความรู้สึกมันตีกัน ไม่ได้เอ่ยพูดคำสลวยออกมา แต่ทว่ากับกักเก็บมือแล้วปล่อยมันลง……”

สือจินหว่านเริ่มร้องเพลง ถึงแม่ว่าเธอจะรู้ว่าโอหยางจวิ้นไม่อยู่ แต่ทว่า ก็ยังคงร้องเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ

ที่โถงใหญ่ของคลับด้านนอก โอหยางจวิ้นรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของตนเองราวกับว่ามีของอะไรบางอย่างกัดแทะเอาไว้อยู่ ไร้หนทางที่จะสงบ

ยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น

นัยน์ตาของเขามองไปรอบ ๆ หนึ่งหน ก่อนจะมองเห็นว่ามีบาร์อยู่ตรงหน้าแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงเดินเข้าไป

หลังจากที่สั่งเหล้ามาสองสามแก้วแล้ว โอหยางจวิ้นยกขึ้น ก่อนจะดื่มมันจนหมดรวดเดียว แต่ทว่า ความรู้สึกภายในหัวใจก็ตีรวนกันอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง เสียงเพลงของสือจินหว่าน แทบจะคล้ายกับลมที่พัดเข้ามาราวกับว่ามีและไม่มี “คนในกระจกพูดคำโกหก แม้กระทั่งหัวใจของตัวเองก็ไม่แน่ใจอย่างนั้นหรือไง? แกล้งทำเป็นหูหนวกหรือว่าเป็นใบ้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วให้ฉันพูดก่อนเลยดีไหม……”

เขาแต่เดิมนั้นก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจฟังว่าเธอร้องอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าเพลงทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเท่านั้น หากจะพูดถึงเขานั้น มันล้วนแล้วแต่ทิ่มแทงบาดหูทั้งสิ้น

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบยกโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลง หลังจากนั้นก็เปิดเพลงที่ชื่อว่ารักตลอดไปที่เธอร้องเพลงให้กับเขาในตอนนั้นฟัง

เขาจงใจเร่งเสียงเพลงให้ดังมากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว มันจึงกดทับเสียงเพลงที่สือจินหว่านร้องอยู่ทางฝั่งนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

“คนรักแยกจากกันแล้วจะไม่กลับมาเจอกันอีก ไร้ทำพูดที่จะเอ่ยนั่งอยู่ตัวคนเดียวแล้วสบตามองโลกภายนอก ดอกไม้สดใหม่มักจะต้องร่วงโรยไป แต่ทว่ามันจะผลิบานในอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน รักตลอดไป มันหลบซ่อนอยู่ในปุยเมฆสีขาวด้านนอก……”

เขาปิดเปลือกตาลง ราวกับว่ามองเห็นเด็กสาวที่กระตือรือร้นราวกับไฟคนนั้น กำลังถือไมโครโฟนเอาไว้อยู่ ก่อนจะร้องเพลงให้กับเขา ถึงแม้ว่าที่ด้านล่างของเวทีจะมีผู้คนมากมาย แต่ทว่า เธอกลับมองเพียงแค่เขาคนเดียว

ในตอนนั้น เธอนั้นชื่นชอบเขาไปหมดทั้งหัวใจเลยจริง ๆ

รสชาติของแอลกอฮอล์ในริมฝีปากตีตื้นและขมปร่าขึ้นมา โอหยางจวิ้นในตอนนั้น ถึงรับรู้ได้แล้วว่า เขานั้นรู้สึกผิดในภายหลังเสียแล้ว

เขารู้สึกผิดในภายหลังแล้วจริง ๆ!

เขาไม่ควรที่จะผลักเธอออกไป ไม่ควรที่จะพูดคำพูดกระทบจิตใจเหล่านั้นเลย

เขาแค่คิดอยากที่จะกักขังเธอเอาไว้ให้อยู่แต่ในโลกของเขา แล้วก็จะไม่ปล่อยมืออีกเป็นอันขาด!

แต่ทว่า มันสายมากเกินไปแล้วหรือเปล่านะ? ตอนนี้เธอชอบเด็กผู้ชายคนอื่นไปเสียแล้วนี่……

“ความรักของพวกเรามาถึงตอนนี้กำลังดีเลย เหลืออีกไม่มากอีกทั้งก็ไม่สามารถลืมเลือนได้ ฉันควรที่ดูแลตัวเองเอาไว้ให้ดี ระยะห่างของพวกเราในตอนนี้นั้นมันกำลังดี แต่ทว่ากลับไม่พอที่จะให้พวกเราสวมกอดกันได้อีกต่อไปแล้ว ทุ่มแรงใจรักใครคนหนึ่งไปไม่ควรที่จะคิดเล็กคิดน้อย……”

ภายในโถงใหญ่ สือจินหว่านร้องเพลงอยู่ในนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มกับทุก ๆ คน “ฉันจะไปตามคนที่วิ่งช้าคนนั้นเอง!”

พูดจบ เธอวางไมโครโฟนลง ก่อนจะสาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หยานโม่หานสบตามองแผ่นหลังของเธอ มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวนั้นกำหมัดเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาถึงแทบจะไร้หนทางที่จะควบคุมความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย

ใบหน้าหล่อเหล่าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม แทบจะเติบโตขึ้นในทันที

สือจินหว่านสาวเท้าวิ่งออกมาถึงด้านนอก กวาดสายตามองหาไปรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็มองเห็นโอหยางจวิ้นที่กำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์

ตรงหน้าของเขามีแก้วเปล่าอยู่ห้าแก้วแล้ว ในมือ ก็ยังมีเหล้าที่กำลังดื่มอยู่

เธอเดินมุ่งตรงไปหาเขา ทีละก้าวทีละก้าว ในสายตางุนงงและไม่เข้าใจของเขา ก่อนจะเดินมาจนถึงหน้าของเขาแล้ว

“คุณอาจวิ้นคะ ฉันมาหา ก็เป็นเพราะว่ามีเรื่องจะบอกคุณอาเรื่องหนึ่งค่ะ” สือจินหว่านเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาจริงจัง

หัวใจของเขา มันหนักอึ้งอย่างรุนแรง

เธอประสานสายตามองเขาตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยคำออกมาอย่างชัดเจนว่า “วันนี้ฉันเห็นประโยคหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่า ไม่ใช่รักทั้งหมดที่จะสามารถหลอมละลายความรู้สึกลึกซึ้ง ทว่ามีความรู้สึกลึกซึ้ง มันกลับไม่ผลิบาน แต่ทว่ากลับแปลเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า”

โอหยางจวิ้นไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของเธอมากนัก แต่ทว่า เมื่อได้ยินคำว่าว่างเปล่าสองคำนั้นแล้ว หัวใจของเขานั้นก็แข็งค้างในทันที หรือว่า เธอจะมาเพื่อที่จะตัดขาดกับเขาอย่างนั้นหรือ?

“หวันหว่าน” หัวใจของโอหยางจวิ้นสับสนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป ก่อนจะคว้าจับมือของสือจินหว่านเอาไว้

เธอนั้นแทบจะรู้สึกได้เลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงก้าวถอยหลังหลบไปสองสามก้าว

หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นต่อ “คุณอาจวิ้นคะ เรื่องที่ฉันชอบคุณอานั้นมันเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ว่านะคะ หลังนั้นนี้นั้นฉันเกรงว่าจะต้องกล่าวลากับคุณอาแล้วละค่ะ ตัวฉันคนนี้มักจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ขอเพียงแค่หันหลังกลับไป ก็จะไม่หันกลับมาอีก! นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรบกวนคุณอาแล้วนะคะ! หลังจากนั้น ฉันกลับจีนไปแล้ว จะไม่ติดต่ออะไรคุณอาอีก แล้วก็จะไม่มาเจอกับคุณอาอีกด้วย ในอนาคตของพวกเรา ก็จะไม่ได้พบเจอหน้ากันตลอดไปอีกแล้ว……”

เธอพูดจบ ก็หมุนตัวจากไปในทันที

แต่ทว่า พึ่งจะสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปได้เพียงแค่ก้าวเดียว จู่ ๆ มือก็ถูกโอหยางจวิ้นคว้าจับเอาไว้เสียแล้ว เขาดึงเธอเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วในทันที ในตอนที่เธอล้มตัวลงไปในอ้อมกอดของเขานั้น เขาก็สวมกอดเธอเอาไว้ทันที

ลำดับต่อมา ก็ประทับจูบบ้าคลั่งราวกับพายุฝนลงไปแล้ว!