ตอนที่ 327 ศิลปะดั้งเดิม (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 327 ศิลปะดั้งเดิม (1)

โชคดีที่สุดท้ายแล้ว ก็ช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้…

เมื่อมองดูแสงสีเขียวที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จับจ้องไปยังร่างที่ดูเลือนรางเล็กๆ ซึ่งมีขนาดเพียงไม่เกินนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น

วิญญาณต้นไม้เช่นนี้ ทำให้หลี่ฉางโซ่วนึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่เคยได้ยินมาในชีวิตก่อนหน้านี้

อย่างจริงจังมาก

เมื่อพบอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ฉุกคิดถึงลักษณะชราภาพของท่านอาจารย์ของเขาขึ้นมาในใจอีกครั้ง

ความจริงแล้ว มนุษย์ล้วนมีเป้าหมายในชีวิตเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แม้จะเป็นการมีคู่ชราและใครสักคนที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้ ก็ยังนับได้ว่าเป็นเป้าหมายเช่นกัน

หากอาจารย์ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตอมตะ ในฐานะศิษย์ หลี่ฉางโซ่วย่อมจะไม่กังวลมากนัก

ทว่าเขาต้องทำเพื่ออาจารย์ของเขา

เฮ้อ ต่อให้เขาจะได้รับตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์และบุญคุ้มครองในภายหน้า เขาก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงหลายหมื่นปีเท่านั้น

เขายังไม่อาจเปรียบเทียบได้แม้แต่กับสัตว์วิญญาณโบราณบางตัวที่ไม่ได้ฝึกฝนในโลกบรรพกาลด้วยซ้ำ

แม้ในขณะนี้ วิญญาณที่เหลืออยู่ของว่านเจียงอวี่จะได้รับการเก็บรักษาไว้ แต่ก็ยังอ่อนแอมาก วิญญาณต้นไม้ปกติสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้

ในขณะนั้น วิญญาณต้นไม้ที่อาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ได้กลับชาติมาเกิด อยู่ในมวลแสงเท่านั้น และแทบจะไม่หายใจ ราวกับว่ามันจะสลายไปได้ตลอดเวลา ทว่าหากนางกลับไปที่สำนักตู้เซียน ก็จะมีดินแดนสมบัติซึ่งอุดมไปด้วยพลังชีวิตที่จะช่วยให้นางฟื้นตัวได้ …

ผู้ฝึกบำเพ็ญจากสำนักตู้เซียน ทั้งห้าไม่รอช้าอีกต่อไป พวกเขารีบบินออกไปจากมหาตรีสหัสโลกธาตุ แล้ว พบทิศทางในความว่างเปล่า จากนั้นก็รีบพุ่งกลับไปยังดินแดนเทวะทั้งห้า

ข้าควรจัดการอย่างไรต่อไปดี?

เขาไม่รอให้อาจารย์ป้าหายจากอาการบาดเจ็บก่อนจะไปหาอาจารย์แล้วหัวเราะเบาๆ…

ท่านอาจารย์ ท่านต้องการคู่บำเพ็ญเต๋าหรือไม่? อ่า ล้อเล่น ล้อเล่นขำๆ น่า

ยากนักที่วิญญาณต้นไม้จะฝึกบำเพ็ญ พวกมันก็เป็นเหมือนร่างวิญญาณที่อาศัยอยู่ในวิญญาณต้นไม้ ซึ่งยากยิ่งนักที่จะเข้าใจเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้

ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วมองว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ การปล่อยให้อาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่กลับคืนสู่สังสารวัฏเพื่อให้นางได้กลับชาติมาเกิดในแดนมนุษย์เมื่อวิญญาณต้นไม้สิ้นอายุขัยลงแล้ว … แต่แน่นอน ว่า เขาตัดสินใจเรื่องนี้เพียงลำพังคนเดียวไม่ได้ เขายังต้องหารือกับท่านปรมาจารย์ใหญ่และศิษย์น้องหญิงน้อยของเขา

แต่ไม่อาจให้ท่านอาจารย์ฉีหยวนรู้ได้ในขณะนี้

ในระหว่างทางกลับเจียงหลินเอ๋อร์ได้โอบอุ้มวิญญาณต้นไม้น้อยเอาไว้ในฝ่ามือและอ้อมแขนของนางอย่างระมัดระวังมากและยังคงฉีดพลังเซียนเข้าไป…

เวลาเดียวกันนั้น นักพรตเต๋าเซียนเทียน นาม ไช่เหว่ย หลี่ฉางโซ่วและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ให้เขา

หลี่ฉางโซ่วชี้แจงเรื่องนี้ให้ไช่เหว่ยฟัง และมอบของขวัญขอบคุณให้เขาอย่างเพียงพอและพร้อมกันนั้น เขาก็ให้ไช่เหว่ยสาบานด้วยปฏิญญาต้าเต๋าว่าจะไม่ตามเรื่องนี้อีกต่อไป

โดยใช้ฉบับพื้นฐานที่มีพันคำ

ในขณะนั้น เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วยังได้วางวิญญาณต้นไม้อื่นๆ ที่ได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยกันในป่าอย่างง่ายๆ… ไม่ว่าพวกมันจะสามารถอยู่รอดได้ต่อไปในภายหน้าหรือไม่ นั่น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากนั้น จี้อู๋โหย่วก็ขับเคลื่อนเมฆไป แล้วพวกเขาทั้งห้าคนต่างก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนเมฆขณะข้ามผ่านพื้นที่ว่างเปล่าเหนือฟากฟ้า

เจ้าสำนักเซียนจินได้ผสานรวมการทำงานในหน้าที่ของการขนส่ง การต่อสู้ การวิจารณ์ให้ความเห็น และการชักธง[1] เอาไว้ด้วยกัน คราวนี้เขาทำให้หลี่ฉางโซ่ว ศิษย์น้อยในสำนัก รู้สึกประทับใจยิ่งนัก

หลังจากที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว เจ้าสำนักก็กลายเป็นปรมาจารย์เซียนจินที่น่าเชื่อถือมากเช่นกัน

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ต้องบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฉางโซ่วบินออกมาไกลจากดินแดนเทวะทั้งห้า ถึงแม้จะเป็นร่างจำแลงของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาก็ตาม

ในความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดนี้ ทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่มองเห็นได้ก็คือ โลกที่บังเอิญปรากฏขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราวแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เจียงหลินเอ๋อร์ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้มามากมาย และในเวลานี้ นางก็ไม่มีอารมณ์จะชื่นชมมัน

ทว่าในทางกลับกันนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง โหย่วฉินเสวียนหย่าและหลี่ฉางโซ่วเข้าปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาตลอดทั้งปี ล้วนสนใจภาพเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อย่างยิ่ง

ทั้งโลกขนาดใหญ่และเล็กที่วิวัฒนาการมาจากชิ้นส่วนของโลกบรรพกาล ล้วนแล้วแต่เป็นโครงสร้าง ‘ฟ้ากลมดินเหลี่ยม[2]’

โลกและมหาสมุทรวางราบบนระนาบระดับเดียวกัน และถูกปกคลุมไปด้วยท้องฟ้ารูปครึ่งวงกลม ซึ่งเผยให้เห็นภาพดวงดาวต่างๆ ดารดาษอยู่บนท้องฟ้า

การคาดการณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่สมบูรณ์ มันขึ้นอยู่ความสอดคล้องกับกฎแห่งเต๋าของโลกต่างๆ ที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน

เนื่องจากกำลังรีบพุ่งกลับไปที่สำนักตู้เซียน พวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะสังเกตเห็นโลกที่โดดเด่นสะดุดตา นอกจากนี้ ตามขอบเขตพลังของพวกเขาทั้งห้านั้น ต่อให้จ้องมองไปที่ ‘โลก’ เหล่านั้นนานหลายพันปี ก็ยังยากที่พวกเขาจะเข้าใจได้

การสร้างจักรวาลขึ้นมาใหม่เป็นศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีเพียงผู้ทรงพลังแกร่งกล้าเท่านั้นที่จะเข้าใจได้

เมื่อคิดถึงโลก หลี่ฉางโซ่วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงไข่มุกเทพทะเลยี่สิบสี่เม็ดที่ก่อตัวกลายเป็นจักรวาลได้ด้วยตัวเอง

และเมื่อนึกถึงไข่มุกเทพทะเล หลี่ฉางโซ่วก็คิดถึงอาจารย์ลุงจ้าว ผู้ทรงคุณธรรมสูงเทียมฟ้าและมีขาที่ไร้กระดูกแล้วอดจะยิ้มออกมาไม่ได้

อาจารย์ลุงจ้าวน่ารักจริงๆ

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” เมื่อเห็นเช่นนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ถามเบาๆ มาจากทางด้านข้างว่า “วันนี้ ท่านรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

“ใช่” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่ข้างหน้าเขาพลางทำท่าทางเพื่อให้โหย่วฉินเสวียนหย่าพูดออกมา

ไม่รู้ว่าผลสืบเนื่องของคำสาบานก่อนหน้านี้เป็นเช่นไร

หลี่ฉางโซ่วพลันตัดสินใจฉวยโอกาสนี้ พูดคุยกับโหย่วฉินเสวียนหย่าเพื่อทำให้เขาฟื้นตัวดีขึ้น

เขาพบหัวข้อสนทนาได้โดยบังเอิญและถามว่า “ศิษย์น้องหญิงประสบปัญหาใดในการฝึกบำเพ็ญบ้างหรือไม่?”

นี่เป็นการเปิดหัวข้อสนทนาแบบส่งเดชง่ายๆ แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าก็พยักหน้าอย่างสงบ

จากนั้นนางก็ถามขึ้นทันทีว่า “ศิษย์พี่ มีประโยคบรรทัดหนึ่งใน ‘พระสูตรนิรกรรม’ ที่กล่าวว่า “หลักการของผลประโยชน์เท่านั้นที่เป็นหนทางสู่ความก้าวหน้า เมื่อไม่ชิงอำนาจ ย่อมก้าวหน้า หากไม่สับสน ย่อมไม่กระจ่าง ‘ เข้าใจได้หรือไม่ว่า…”

เป็นเช่นนั้น เช่นนั้น และเช่นนั้น

หลี่ฉางโซ่วอยากจะตบตัวเองสองครั้งจริงๆ ไยข้าถึงมีมารยาทเช่นนี้? ข้าจ้อเรื่องบ้าบออันใดกัน?

เมื่อพูดคุยกับโหย่วฉินเสวียนหย่า เขาต้องตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่เช่นนั้น สตรีผู้นี้จะเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด และในที่สุด เขาก็หาเรื่องให้ตัวเองทำในยามว่างเพราะความเบื่อหน่ายแล้วเริ่มพูดคุยกับโหย่วฉินเสวียนหย่าในระหว่างทาง…

พวกเขาหารือในเรื่องเต๋า และตรวจสอบกฎแห่งเต๋า

ไฉนจู่ๆ ก็รู้สึกว่า หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นในชีวิตชาติก่อน ก็น่าจะ…

น่าตกใจนัก! นักศึกษามหาวิทยาลัยหนุ่มเนิร์ด[3]เปิดห้องกลางดึกกับดาวมหาวิทยาลัยเพียงเพื่อทบทวนการบ้าน!

อืม ช่างเต็มไปด้วยพลังงานที่ดีจริงๆ!

เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วประเมินระยะเวลาในการเดินทางและคิดว่าพวกเขาจะไปถึง Immortal Du Sect ในเวลาอีกราวสิบสามวัน

ระหว่างทางเจียงหลินเอ๋อร์ และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็ใช้พลังเซียนเพื่อรักษาวิญญาณต้นไม้เอาไว้อย่างต่อเนื่อง

เขาคิดว่าก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่สำนักตู้เซียน วิญญาณต้นไม้ไม่จำเป็นต้องมองหาดินสมบัติใดๆ มาช่วยทำให้ฟื้นตัว มันก็จะกลับมามีชิวิตชีวาได้อีกครั้งอย่างแน่นอน หลังจากนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็เตือนหลี่ฉางโซ่วเป็นพิเศษว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนักพรตเต๋าชราฉีหยวน

เมื่อสิ้นอายุขัยของวิญญาณต้นไม้ วิญญาณแท้ของว่านเจียงอวี่ก็จะเข้าสู่ ‘วิถีมนุษย์’ อีกครั้ง และเริ่มต้นสู่วิถีเซียนใหม่ แล้วพวกเขาค่อยพูดถึงเรื่องนั้นกับฉีหยวน ก็ยังไม่สายเกินไป

ทว่าก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉีหยวน และว่านเจียงอวี่ในภายภาคหน้า…

ตลอดทางมานี้ หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย

หลังจากอธิบายข้อสงสัยสองสามข้อให้โหย่วฉินเสวียนหย่าแล้ว โหย่วฉินเสวียนหย่าก็หยิบ “ตำราปัญหา” ของนางออกมา… แค่กๆ!

นางหยิบ “ตำราปัญหา” ซึ่งบันทึกข้อสงสัยสะสมไว้มาหลายปีที่แม้แต่อาจารย์ของนาง เจียงจิ่งซานก็อธิบายไม่ได้ และยังคงนำมาถามหลี่ฉางโซ่วต่อไป

หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ รู้สึกว่ามันไม่เลวเลยที่จะมีสหายเต๋าผู้หนึ่งมาพูดคุย หารือในเรื่องเต๋าและการฝึกบำเพ็ญด้วยกัน นางยังดูเจริญตานัก ดีกว่าการมีคู่บำเพ็ญเต๋าที่เอาแต่ปล่อยจินตนาการฟุ้งซ่านและสร้างปัญหาต่างๆ ตลอดทั้งวัน

ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์น้องหญิงโหย่วฉินยังมีคุณสมบัติไม่เลว นอกจากการฝึกบำเพ็ญเต๋าแล้ว นางยังรู้วิธียืดหยุ่นและปรับตัวในการฝึกบำเพ็ญ เช่นนี้แล้ว หลังจากดูแลเพียงเล็กน้อย นางย่อมจะกลายเป็นเครื่องมือเวทมนุษย์ที่โดดเด่นได้ในภายหน้า…

นางจะเป็นคนชั้นยอดแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน!

………………………………………………………………..

[1] ออกหน้าแสดงจุดยืน

[2] ตามความเชื่อจีนโบราณ ว่ากันว่า โลกประกอบขึ้นมาจาก แผ่นดินรูปสี่เหลี่ยม ครอบด้วยท้องฟ้าครึ่งทรงกลม ล้อมรอบด้วยทะเลทั้งสี่คือ บูรพา ประจิม อุดร และทักษิณ ซึ่งความเชื่อนี้นำมาปรับใช้ในชีวิตของชาวจีน การประสานกลมกลืนกันระหว่างธรรมชาติฟ้าดินและการใช้ชีวิตของมนุษย์ เช่น ลักษณะของหมวกทงเทียนในสมัยราชวงศ์ซ่ง จนถึงการใช้ตะเกียบโดยที่ตัวตะเกียบที่ปลายด้านหนึ่งเป็นสี่เหลี่ยมและปลายอีกด้านหนึ่งเป็นวงกลม

[3] คนที่หมกมุ่น บ้าคลั่งวิชา ในที่นี้ใช้ศัพท์สมัยใหม่ เพราะหลี่ฉางโซ่วนึกถึงชีวิตในชาติก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสมัยใหม่