นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 332 เข้าเรียน 2

ไม่ใช่กระมัง นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ตกอับถึงระดับนี้?

แค่ในสวนนี้ แย่ยิ่งกว่าบ้านของคนที่ลำบากที่สุดเหล่านั้นในหมู่บ้านต้าสือของพวกเขาอีก

“ฮูหยิน เชิญตามข้ามา” อาจารย์คนนั้นยืนขึ้น พูดกับโจวกุ้ยหลานประโยคหนึ่ง ก็เดินไปด้านกระท่อมที่อยู่ทิศเหนือ

โจวกุ้ยหลานลังเลครู่หนึ่ง ก็ยังคงพาเด็กทั้งสองคนเดินตามไป

ก็เห็นอาจารย์ผลักประตูออก สิ่งที่เข้าสู่สายตา ก็คือหนังสือเต็มไปทั้งห้อง

โจวกุ้ยหลานตะลึงเล็กน้อย รุ่ยอานน้อยที่อยู่ด้านข้างสองตาเป็นประกาย

“นี่คือหนังสือของข้า พวกนี้ถึงจะเป็นสมบัติที่แท้จริง บ้านอีกสองหลัง ล้วนเป็นหนังสือที่ไม่เหมือนกันทั้งหมด ในนั้นมีไม่น้อยคือหนังสือที่เหลือเพียงเล่มเดียว”

“แม่!” ลมหายใจของรุ่ยอานก็ร้อนรนขึ้นเล็กน้อย อดเรียกโจวกุ้ยหลานไม่ได้

โจวกุ้ยหลานก้มหน้าสบตากับเสี่ยวรุ่ยอานน้อย มองเห็นแสงสว่างในตาของเขา ในใจก็ตัดสินใจแล้ว

“ท่านอาจารย์ ความรู้ของท่านข้านับถือ เพียงแค่ ก็ขอให้ท่านเห็นแก่ความรู้สึกของคนเป็นแม่คนหนึ่งอย่างข้าด้วย”

ทุกคนได้ยินคำพูดของนาง ในใจต่างก็ผิดหวังแล้ว

ดูแล้ว นางยังคงไม่ชอบโรงเรียนของพวกเขา

อาจารย์คนนั้นโมโหจนเป่าหนวดเบิกตากว้าง “ความใจอ่อนของสตรี! ความใจอ่อนของสตรี! เพื่อความสบาย ก็ทำเหมือนมองไม่เห็นหนังสือเหล่านี้? เหล่านี้ถึงจะเป็นสมบัติล้ำค่า! พวกเราเหล่านี้ขอให้ลมพัดฝนสาด ก็ไม่มีทางเกิดเรื่อง มีหนังสือมากมายอยู่เป็นด้วย ก็พอเพียงแล้วมิใช่หรือ?”

โจวกุ้ยหลาน “…….”

“ใช่ ถึงพวกเราจะนั่งอ่านหนังสือข้างนอกแล้วอย่างไร ก็เพียงแค่ตอนที่ฝนตกก็เปียกนิดหน่อย? ตอนที่แสงแดดจ้าก็ร้อนหน่อยเท่านั้น? พวกเราล้วนสามารถผ่านไปได้!”

โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหว ถามพวกเขา “พวกเจ้ารู้สึกว่าหนังสือสำคัญกว่าคน?”

“แน่นอน! หนังสือถูกลมพัดตากแดดก็ล้วนเสียแล้ว คนอย่างพวกเราไม่มีทางเสียสักหน่อย!”

โจวกุ้ยหลานกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จะพูดอย่างไร

เห็นนางไม่พูด นักเรียนเหล่านั้นล้วนรู้สึกว่านางถูกพวกเขาเกลี้ยกล่อมแล้ว พูดทันทีว่า “ฮูหยิน ให้ลูกของท่านอยู่ที่นี่เถิด อาจารย์ต้องสามารถสอนพวกเขาให้กลายเป็นคนมีความรู้เหมือนดั่งอาจารย์แน่นอน!”

แค่คิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น ขนบนตัวของโจวกุ้ยหลานก็ลุกขึ้นมาแล้ว

นางโบกมือต่อเนื่อง ทุกคนเห็นท่าทางของนาง ใจก็ล้วนหดหู่

ขณะที่ทุกคนคิดว่านางจะปฏิเสธอีกครั้ง โจวกุ้ยหลานพูดแล้ว “จะให้ลูกทั้งสองของข้าเข้าเรียนก็ได้”

คำพูดนี้ออกไป อาจารย์ก็พยักหน้ายิ้มแย้มจับหนวดไปด้วย “นี่ก็ถูกแล้ว มีอะไรที่สำคัญไปกว่าหนังสือ?”

เมิ่งเจียงก็พูดกับโจวกุ้ยหลานอย่างดีใจอยู่ข้างๆ “ฮูหยิน ท่านช่างเข้าใจสถานการณ์โดยรวมเสียจริง!”

คนอื่นๆก็พยักหน้าตามอย่างต่อเนื่อง “เข้าใจสถานการณ์โดยรวม!”

“เข้าใจสถานการณ์โดยรวมเหมือนดั่งพ่อแม่ข้า!”

โจวกุ้ยหลานยกสองมือขึ้นกด จากนั้นก็หันไปพูดกับอาจารย์ว่า “ข้ามีข้อเสนอ”

ท่าทางของอาจารย์ชะงัก ครุ่นคิดคำนวณในใจ เงินของตัวเองในมือ……ซื้อข้าวสารหมดแล้ว ไม่มีแล้ว…….หนังสือ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมขาย!

คำนวณไปรอบหนึ่งแล้ว ในใจของเขาก็สั่นอย่างรุนแรง “เจ้า……เจ้ามีข้อเสนออะไร?”

“ข้าจะให้พวกเจ้าเปลี่ยนสถานที่ ให้จะให้ห้องหนึ่งในบ้านของข้าให้พวกเจ้าอ่านหนังสือ”

“พวกเรา…….พวกเราไม่มีเรือน…….อะไร?” อาจารย์กำลังคิดว่าตัวเองไม่มีเรือน ก็คิดขึ้นมาได้ว่าดูเหมือนเขาไม่ได้พูดถึงบ้าน ถามกลับไปอย่างตะลึง

โจวกุ้ยหลานรู้ว่าพวกเขาไม่กล้าเชื่อ เปิดปากพูดอีกครั้ง “ข้านับถือทุกอย่างที่พวกเจ้าทุ่มเทให้กับการเรียนหนังสือ ความรู้สึกนี้สามารถเข้าใจได้ แต่ข้าไม่สามารถให้ลูกของข้าทรมานอยู่ข้างนอกทั้งตากฝนตากแดด หากพวกเจ้ายินดี ก็ย้ายไปเรียนหนังสือที่บ้านของข้า”

หยุดไปครู่หนึ่ง นางถึงพูดต่อ “ดูร่างกายของพวกเจ้า ล้วนถูกทรมานจนสภาพอะไรแล้ว คงจะหน้ามืดตามัวทั้งวันกระมัง?”

เหล่านักเรียนไร้คำจะพูด แอบก้มหน้าลง

“วิ่งสองก้าวก็คงตามัวกระมัง?” เมิ่งเจียงก้มหน้าลง

“แต่ละคนล้วนผอมจนเหลือแค่กระดูก!” สายตาของโจวกุ้ยหลานกวาดมองไปบนตัวของทุกคน แล้วกลับมาบนตัวของอาจารย์ผมขาว หนวดขาวอีกครั้ง

“ท่านทำต่อนักเรียนของท่านเช่นนี้หรือ? พวกเขาต่างก็จะอดตายแล้ว? พวกเจ้าแทะหนังสือสามารถอิ่มท้องได้หรือ?”

ใบหน้าเหมือนดั่งดอกเก๊กฮวยของอาจารย์สั่นเครือ นี่…….ร่างกายของนักเรียนของเขาเหล่านี้อ่อนแอจริง…….

เพื่อให้เขาสามารถสอนเด็กสองคนนี้ได้ อาจารย์พยักหน้าตอบรับอย่างยากลำบาก

โจวกุ้ยหลานโบกมือ ย้ายบ้าน

นางจ้างรถม้าคันหนึ่ง ให้นักเรียนเหล่านั้นช่วยกันย้ายหนังสือ นักเรียนแปดคนอุ้มหนังสือคนละสิบเล่ม เดินสองก้าว หอบสองที รุ่ยอานและรุ่ยหนิงอุ้มคนละห้าเล่ม หัวเราะคึกคักวิ่งไปก็แซงนักเรียนเหล่านั้นไปแล้ว

อาจารย์ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย แอบมองโจวกุ้ยหลานไปทีหนึ่ง ก็เห็นนางขมวดคิ้วจนจะเป็นเกลียวแล้ว

เพราะว่าหนังสือเยอะเกินไป ขนย้ายสามวันติดต่อกันถึงย้ายหมด สำหรับโต๊ะใหญ่ๆเล็กๆที่ทั้งเก่าทั้งพังเหล่านั้น โจวกุ้ยหลานไม่อนุญาตให้พวกเขาย้ายไป

พอพวกเขาเห็นแสงสว่างของห้องใหญ่ที่โจวกุ้ยหลานเตรียมให้พวกเขา แต่ละคนก็ล้วนดีใจอย่างมาก

พวกเขานั่งลงบนพื้นอย่างพอใจ ยกหนังสือขึ้นมาเริ่มท่อง อาจารย์นั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาฟัง

เด็กทั้งสองคนนั่งด้านหน้าสุด

สามวันแรกก็ผ่านไปเช่นนี้ พอถึงวันที่สี่ พวกเขาทุกคนก็มีโต๊ะเก้าอี้ของตัวเอง โต๊ะทุกตัวยังมีลิ้นชักสามอัน ด้านบนยังมีกุญแจปิด ให้พวกเขาสามารถเก็บสิ่งของตัวเองได้

ส่วนหนังสือเหล่านั้น โจวกุ้ยหลานเชิญช่างไม้คนหนึ่งมาที่เรือน ทำแท่นเก็บหนังสือล้มรอบผนังห้องสี่ด้าน นำหนังสือเหล่านั้นแยกจำพวกเก็บไว้บนแท่นหนังสือ เพื่อสะดวกแก่การค้นหา และไม่กลัวหายแล้ว

พอเข้ามาในห้องเรียนนี้ สิ่งที่เข้าสู่สายตา ก็คือหนังสือ ตั้งแต่พื้นจนถึงเพดานห้อง

สำหรับอาจารย์ โจวกุ้ยหลานทำโต๊ะและเก้าอี้ที่ใหญ่เล็กน้อยโดยเฉพาะ เก้าอี้ไม้นั้นยังสามารถวางลงมาให้อาจารย์นอนได้

ส่วนลูกทั้งสองคน โจวกุ้ยหลานหาคนทำโต๊ะเก้าอี้เล็กสองชุดโดยเฉพาะ ให้พวกเขานั่งแล้วขาถึงพื้นพอดี

รอทางนี้ล้วนทำได้พอประมาณแล้ว ทางด้านไป๋ยี่เซวียนส่งข่าวมา บอกว่าร้านของพวกเขาปรับปรุงเสร็จแล้วตามคำขอของโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานไปดูแล้ว ขนาดของร้านนี้ใหญ่มาก โต๊ะรับแขกเป็นที่สั่งอาหาร ด้านหลังโต๊ะรับแขกคือห้องครัว ตรงกลางมีหน้าต่างบานหนึ่ง สะดวกแก่การส่งอาหาร

นอกจากโต๊ะรับแขกแล้ว ที่เหลือก็เป็นที่นั่งทั้งหมด เพียงแค่ที่นั่งนี้ไม่เหมือนกับร้านอื่น ของนางคือตรงกลางเป็นโต๊ะยาวตัวหนึ่ง สองข้างเป็นโซฟาหนังนุ่มสองตัว สำหรับหนังนั้น ก็คือหนังหมาป่า สัมผัสแล้วสบาย

นั่งอยู่บนโซฟานุ่ม โจวกุ้ยหลานอดทอดถอนใจไม่ได้ “นี่หากอยู่ในยุคปัจจุบัน หากใช้ของพวกนี้คงต้องติดคุกแล้ว”

“อะไร?” ไป๋ยี่เซวียนถามนางอย่างสงสัย

โจวกุ้ยหลานรีบพูดว่าไม่มีอะไร

ไป๋ยี่เซวียนก็ไม่พูดต่อ ก็นั่งอยู่ด้านนั่งนาง ถอนหายใจไปทีหนึ่ง “ร้านนี้ตกแต่งเช่นนี้แล้ว ใช้ไปตั้งหลายพันตำลึง บวกกับเงินที่ซื้อร้านนี้อีก หากการค้าขายไม่ดี พวกเราก็ขาดทุนแย่เลย”

“เดือนนี้พี่ใหญ่เจ้าได้กำไรเท่าไหร่?” โจวกุ้ยหลานถามอย่างเคร่งเครียด

ไป๋ยี่เซวียนยื่นนิ้วชี้สองข้างของตัวเองออกมา ไขว้ไว้ด้วยกัน กลึนน้ำลาย “สิบหมื่นตำลึง”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาจำเป็นต้องมาแย่งชิงสิทธิ์การสืบทอดจะตระกูลไป๋กับเจ้า?” โจวกุ้ยหลานเหล่ตามองเขา