ตอนที่ 454 สัตว์ในหุบเขาต้องเผชิญกับภัยร้าย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 454 สัตว์ในหุบเขาต้องเผชิญกับภัยร้าย

หลินจื่อเหยียนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ก่อนจะพูดด้วยความระมัดระวังว่า “ม้ากับล่อของบ้านเรา ตัวหนึ่งพาพี่เขยรองเข้าเมือง ส่วนอีก 3 ตัวที่เหลือถูกพี่เขยรองไล่ออกไปส่งสินค้าแล้ว…”

ความหมายของเจียงโม่หานชัดเจนมากว่าต้องการขัดขวางไม่ให้หลินเว่ยเว่ยควบม้าตามไป !

หลินเว่ยเว่ยโมโหจนยกเท้าเตะเสาคอกม้า เสาคอกม้าสั่นอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงมาดัง ‘โครม ! ’

“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น ? ” หลิวต้าซวนที่อาศัยอยู่บ้านถัดออกไปไม่ไกลก็ได้ยินเสียงจึงรีบเดินมาดู พอเห็นมุมหนึ่งของคอกม้าทรุดลงมา เขาก็รู้สึกงงงวยในทันที คอกม้านี้ไม่ได้เพิ่งซ่อมเมื่อครึ่งปีก่อนหรือ ? แล้วเหตุใดจึงพังลงมา ? หรือตอนซ่อมไม่ได้ระวังแล้วเผลอใช้ไม้ที่โดนปลวกกินมาซ่อม ?

หลังจากลองคิดทบทวนแล้วเขาก็พูดต่อ “ไม่ต้องกังวล ประเดี๋ยวข้าไปหาคนมาซ่อม ไม่ถึงครึ่งวันก็เสร็จแล้ว พวกม้าพวกล่อยังได้พักผ่อนกันเย็นนี้แน่นอน…”

งานส่งสินค้าที่เขตเริ่นอัน เขายกให้เป็นหน้าที่ของบุตรชายคนรอง ส่วนภรรยาก็ยุ่งอยู่กับงานในโรงงานแปรรูปเมล็ดสนทุกวัน ในบ้านจะขาดคนดูแลไม่ได้ หลิวต้าซวนจึงใช้เวลาฝึกฝนบุตรชายคนรองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงยกงานส่งสินค้าให้ทำ ส่วนตนเองก็พาบุตรชายคนโตไปดูแลที่นาของครอบครัว

ไม่อยากจะพูดหรอก เมล็ดพันธุ์ที่บ้านของเขาใช้ก็เป็นของที่แลกมาจากบ้านตระกูลหลิน ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลีหรือข้าวโพดก็งอกเงยอย่างแข็งแรง พอถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้วจะต้องได้ผลผลิตมหาศาลแน่นอน !

หลินเว่ยเว่ยหน้าบึ้งพลางเดินกระทืบเท้ากลับเข้าบ้านตัวเอง นางหวงคอยพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ข้าง ๆ “เจ้ารอง ไม่ต้องโมโหไปหรอก หานเอ๋อร์ก็ทำเพราะกลัวว่าในเมืองจงโจวมีอันตรายจึงไม่พาเจ้าไปด้วย เจ้าลองคิดดูสิ สองสามครั้งที่เจ้าออกจากบ้าน ถ้าไม่เจอนักฆ่าก็พบโจรตงหูบุกปล้น เขาคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า…”

“…! ” หลินเว่ยเว่ยโกรธมากจนไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น บัณฑิตตัวแสบ บัณฑิตสารเลว ! ไม่คิดบ้างว่าหากไปเจอเรื่องเสี่ยงชีวิต ร่างกายที่อ่อนแอเหมือนลูกไก่ของเจ้าจะยังเหลือครบสมบูรณ์หากไม่มีข้าอยู่ด้วยหรือ ?

ขณะคิดได้แบบนั้น นางก็เดินวนไปเวียนมาอยู่ในลานบ้านด้วยความหงุดหงิด หลินจื่อเหยียนเดินหนีออกมาให้ไกลจากนาง พอเห็นนางเดินเข้าไปใกล้ถังน้ำใบใหญ่ในลานบ้าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “พี่รอง ถังน้ำใบใหม่ต้องใช้เงินซื้ออย่างน้อย 1 ตำลึง ! ท่านโมโหก็ส่วนโมโห แต่อย่าเอาเงินไปเกี่ยวด้วย ! ถ้าอย่างไรท่านไประบายกับพวกต้นไม้หรือก้อนหินบนภูเขาดีกว่า…! ”

หลินเว่ยเว่ยหันไปถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหลังบ้านแล้วเดินหายเข้าไปในป่าโอ๊ก พี่สาวคนโตเดินออกมาจากโรงทอผ้า หลังเห็นเช่นนั้นก็พูดว่า “น้องรองขึ้นเขาด้วยความโมโหแบบนั้น คงไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่า ? ”

พอไม่เห็นเงาร่างของพี่รองแล้ว หลินจื่อเหยียนจึงถอนหายใจออกมา “ด้วยความสามารถของพี่รองแล้วจะเป็นอะไรไปได้ ? แต่สัตว์บนภูเขาเหล่านั้นคงต้องภาวนาเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดเองแล้ว ! ”

พี่สาวคนโตนึกถึงพละกำลังของน้องสาวที่เรียนการต่อสู้กับหลีชิงไปอีกสองสามกระบวนท่า จากนั้นก็เริ่มวางใจ นางถอนหายใจแล้วพูดกับนางหวงว่า “คราวนี้นางโมโหมากเกินไป ก็เป็นเพราะท่านแม่ที่ชอบตามใจนางเจ้าค่ะ ! ”

นางเฝิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้เสี่ยวเว่ยจะบอกว่าโมโห แต่ความจริงแล้วเป็นห่วงมากกว่า หานเอ๋อร์ก็เสียจริงเลย เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่ปรึกษาเสี่ยวเว่ยแม้แต่คำเดียว แถมยังแอบออกไป พอกลับมาแล้วข้าจะให้เสี่ยวเว่ยสั่งสอนสักยก ! ”

นางหวงหันไปมองบุตรสาวคนโต “เห็นหรือยังว่าแม่ตามใจนางหรือเป็นแม่สามีที่ตามใจนางกันแน่ ? ”

แม้ปากของทุกคนจะบอกว่าไม่น่าเป็นห่วง แต่พอเห็นหลินเว่ยเว่ยแบกกวางมูสที่ตัวใหญ่กว่านางหลายเท่าและมีน้ำหนักมากกว่าเป็น 10 เท่ากลับมา ทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก…คราวนี้เด็กน้อยคงหายโกรธแล้วกระมัง ?

ทว่าความจริงทุกคนไม่รู้ถึงความโมโหของหลินเว่ยเว่ยดีพอ วันรุ่งขึ้นนางยังคงมีสีหน้ามืดมน ไม่สนใจใครทั้งนั้นและขึ้นเขาตั้งแต่เช้าตรู่ กระทั่งมืดค่ำแล้วจึงกลับมาและคราวนี้สิ่งที่แบกกลับมาด้วยคือเสือดาวหิมะหนึ่งตัว !

วันที่สาม ท้องฟ้ายังคงมืดมิด แต่หลินเว่ยเว่ยก็ขึ้นเขาดังเดิม นางหวงกับนางเฝิงเดินไปเปิดประตูหลังบ้านรอบแล้วรอบเล่าและมองไปยังหุบเขาอย่างตั้งตาคอย

หลินจื่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความเป็นห่วง “พี่รองคงไม่ได้เข้าไปในป่าลึกด้วยความโมโหหรอกกระมัง ? ไม่รู้ว่าพี่เขยรองจะกลับมาเมื่อใด ทั้งบ้านเราก็มีแค่คำพูดของเขาเท่านั้นที่พี่รองพอจะฟังอยู่บ้างขอรับ…”

พี่สาวคนโตเตือนเขา “อย่าลืมว่าคราวนี้เป็นผู้ใดที่ทำให้น้องรองโมโห นางยังไม่หายโกรธ แม้ว่าเจียงโม่หานจะกลับมาก็เปล่าประโยชน์…”

ขณะสนทนากัน รถม้าคันหนึ่งก็มาหยุดที่หน้าบ้านสกุลหลิน เจียงโม่หานลงจากรถม้าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน พอเห็นลานหน้าบ้านที่เคยคึกคักไม่มีคนอยู่ เขาก็เดินไปที่ลานหลังบ้านด้วยความสงสัย ก่อนจะถามว่า “เหตุใดมารวมตัวอยู่ที่หลังบ้านกันหมด ? ”

เจ้าหนูน้อยที่เพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาได้ไม่นาน พอเห็นหน้าพี่โม่หานแล้วก็ร้องไห้โฮทันที เจ้าตัวน้อยพุ่งมาหาเจียงโม่หาน ก่อนจะเริ่มเตะต่อยเขา “คืนพี่รองของข้ามา ! คืนพี่รองของข้ามา ! ฮือฮือฮือ…”

“เสี่ยวเว่ย ? นางเป็นอะไร ? ” จนถึงตอนนี้เจียงโม่หานเพิ่งได้สังเกตว่าในฝูงชนนี้ขาดเงาร่างที่ร่าเริงสดใสของเด็กสาวคนหนึ่งไป ขณะมองสีหน้าของทุกคนแล้ว ท่าทางของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

นางหวงถอนหายใจ “เพราะเจ้าออกไปคนเดียวและไม่ยอมบอกนางก่อน เจ้ารองจึงโมโหหนักมาสามวันแล้ว…เจ้าคิดว่าเหตุใดนางต้องโกรธขนาดนี้ ! ”

เจ้าหนูน้อยพูดอย่างสะอึกสะอื้น “ช่วงสามวันนี้พี่รองไม่พูดสักคำ นางเอาแต่ขึ้นเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กระทั่งมืดค่ำแล้วถึงจะกลับมา วันแรกได้กวางมูสกลับมาหนึ่งตัว วันที่สองได้เสือดาวหิมะ ส่วนวันนี้…จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย ! ”

สีหน้าของเจียงโม่หานค่อย ๆ เปลี่ยนไป เสือดาวหิมะ ? สัตว์ชนิดนี้ไม่เคยออกมาปรากฎตัวในป่ารอบนอกมาก่อน เด็กน้อยคงไม่ได้เข้าไปในป่าส่วนลึกหรอกกระมัง ?

“ไม่ต้องร้องไห้ ! ข้าจะไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อหาชายฉกรรจ์ขึ้นเขาสักสองสามคน…ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี่ยวเว่ยอาจกำลังกลับมาก็ได้” เจียงโม่หานรู้นิสัยของเด็กคนนี้ดี คราวนี้เขาออกจากบ้านแต่ไม่พานางไปด้วย นางจะต้องอารมณ์เสียแน่นอน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า…เด็กน้อยจะโมโหขนาดนี้ เขาไม่น่าแอบเดินทางเข้าเมืองคนเดียวเลย

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะออกไปตามหาหลินเว่ยเว่ย ประตูหลังบ้านสกุลหลินก็ถูกเปิดออกแล้วทันใดนั้นก้อนสีดำอะไรสักอย่างก็ถูกโยนเข้ามา…คนในบ้านสกุลหลินถึงขั้นตื่นตกใจ มันคืออะไรกัน ?

‘ตึก ! ’ เจ้าวัตถุสีดำขนาดใหญ่ราวกับเนินเขาลูกเล็กก็ตกกระแทกพื้นอย่างแรง คนในบ้านตระกูลหลินสัมผัสได้ว่าอิฐที่ปูพื้นอยู่เกิดความสั่นไหวสักพักหนึ่ง หลินจื่อเหยียนเดินเข้าไปดูพร้อมคบเพลิงในมือ เมื่อเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็นตัวอะไร เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความตกใจ “อ๊าก ! หมีควาย ! ”

เจียงโม่หานเดินเข้าไปหาร่างที่ยืนอยู่ข้างซากหมีควายแล้วมองสำรวจตัวนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เหตุใดจึงมีเลือดเต็มตัวขนาดนี้ ? เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า ? ”

พอนางหวงและนางเฝิงได้ยินแบบนั้นก็รีบเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นสภาพในเวลานี้ของหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางหวงก็แทบจะเป็นลม…อาภรณ์สีเขียวของนางโดนย้อมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงเข้ม ใบหน้าที่มักขาวเนียนเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนมองไม่เห็นสีผิวเดิม เส้นผมก็เต็มไปด้วยเลือดแห้งติด…เด็กคนนี้เหมือนเพิ่งเดินขึ้นมาจากถังบรรจุเลือดไม่มีผิด