บทที่ 491 สัมผัสบรรทัดล่างสุด

การค้นหากินเวลาเกือบตลอดทั้งคืน เจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่และกรมนครบาลค้นหาหนังสือต้องห้ามทั้งหมดในจวนอู่โหว พวกเขาพากันเอาหนังสือมาวางกองไว้ที่กลางลานบ้าน

เจ้าหน้าที่ของกรมนครบาลมีหน้าที่พลิกดูหนังสือทีละเล่ม พวกเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและรู้เรื่องหนังสือต้องห้ามกันดีอยู่แล้ว

ในต้าโจวมีหนังสือต้องห้ามอยู่ทั้งหมดห้าสิบหกเล่ม แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกเป็นหนังสือที่ทำให้ผู้คนหลงใหลและต่อต้านราชสำนักมีทั้งหมดยี่สิบเอ็ดเล่มด้วยกัน

การครอบครองหนังสือต้องห้ามประเภทแรกมีความผิดต้องโดนปรับเงิน

ส่วนหนังสืออีกประเภทมีความผิดถึงกับต้องติดคุก ซึ่งนั่นจะทำให้อนาคตดับสูญไม่อาจกลับมายืนได้อีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเจ้าหน้าที่ของกรมนครบาลจึงได้พลิกหนังสืออ่านทีละเล่มๆ อย่างจริงจังไม่ให้คลาดสายตาไปได้แม้แต่เล่มเดียว

ผู้คนในจวนอู่โหวเองก็ยังนั่งรอดูอยู่ที่สนามโดยไม่ยอมหลับนอนเช่นกัน

เช้าวันต่อมา บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายได้อ่านหนังสือกันหมดทุกเล่มแล้ว พวกเขาจึงไปรายงานยังกรมนครบาล

“ใต้เท้าขอรับ ข้าได้อ่านหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่ในจวนอู่โหวแล้ว ไม่มีหนังสือต้องห้ามแม้แต่เล่มเดียวขอรับ”

กู้หวนเนี่ยนได้ยินรายงานเช่นกัน ใบหน้าแม้จะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาก็ตาม หากภายในใจกลับโล่งอก

ผู้ตรวจการมองกู้หวนเนี่ยนเอ่ยว่า

“ใต้เท้ากู้ จวนอู่โหวได้ตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้วว่าไม่มีหนังสือต้องห้ามแม้แต่เล่มเดียว”

กู้หวนเนี่ยนพยักหน้า

“ไม่ควรมีใครมากล้าล้อเล่นกับหนังสือต้องห้าม”

ผู้ตรวจการนครบาลเอ่ยขึ้นมา เพราะเหตุนี้เขาจึงให้ความสำคัญกับมากกับหนังสือดังกล่าวเมื่อมีคนมาฟ้องร้อง

“สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริงอย่างยิ่ง” ในที่สุดเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่และนครบาลก็ได้ออกไปจากจวนอู่โหว

จ้าวชูส่งคนไปจับตาดูที่จวนอู่โหวตลอด เขาจึงรู้ความคืบหน้าของคดีนี้ราวกับเป็นเสมือนฝ่ามือของเขาเอง

เมื่อเจ้าหน้าของทั้งสองหน่วยงานไปตรวจค้นยังจวนตระกูลโหว เขาเฝ้ารออย่างกระวนกระวายว่าในไม่ช้า อย่างไรเสียก็ต้องเจอหนังสือต้องห้ามเหล่านั้นเป็นแน่ จวนอู่โหวจะต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ และอู่อวี้จะได้รับผลกระทบในหน้าที่การงานเช่นเดียวกัน

การเคลื่อนไหวในครั้งนี้สามารถโจมตีสามีภรรยาทั้งคู่ได้อย่างสาหัสสากรรจ์ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เขาได้ชัยชนะกลับคืนมาบ้าง แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นนี้

ไม่พบหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?

เว่ยจื่ออี้นำหนังสือต้องห้ามกลับไปบ้านอย่างแน่นอน! เกิดอะไรขึ้น?

ณจวนอู่โหว

ทุกคนรู้สึกกระวนกระวายใจกันอยู่ทั้งคืน เมื่อเจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่และกรมนครบาลไปแล้วพวกเขาจึงได้พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก

ถังหลี่และเว่ยฉิงมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างอดนอนมาทั้งคืน

เหตุใดจึงไม่พบหนังสือต้องห้ามนะหรือ?

เป็นเพราะเมื่อคืนตอนที่ถังหลี่กำลังงีบหลับไป นางก็ฝันว่ามีเจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่พากันเข้ามาค้นหาหนังสือต้องห้ามในจวนอู่โหว จากนั้นจึงพบหนังสือเล่มนี้ในห้องหนังสือของเอ้อร์เป่า บุตรชายของนางโดนจับเข้าคุกในข้อหาครอบครองหนังสือต้องห้าม

หนังสือต้องห้ามนั้นอยู่ในประเภทร้ายแรง ตามกฎหมายของแคว้นต้าโจวจะต้องถูกประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะ

เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาแล้ว ถังหลี่หวาดกลัวเป็นอย่างมาก หากเอ้อร์เป่าจะบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยนางยังทนไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการที่จะทนดูเขาโดนประหารชีวิต

ถังหลี่ใจสั่นเมื่อตื่นจากความฝัน จากนั้นจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น มันยังไม่เกิดขึ้น มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ได้

ถังหลี่จึงค้นหาหนังสือต้องห้ามจนเจอจากในห้องหนังสือของบุตรชาย จากนั้นจึงได้จุดไฟเผาเสีย เป็นเพราะได้ทำลายหนังสือได้ทันเวลาก่อนที่เจ้าหน้าของศาลต้าหลี่ และกรมนครบาลจะได้เข้ามาค้น จึงได้ไม่เจอหนังสือที่ว่า

พวกเขาจึงไม่ได้รับเคราะห์ในครั้งนี้

โชคดีเหลือเกิน! สายตาของถังหลี่เหลือบไปเห็นเว่ยจื่ออี้ เด็กชายตัวเล็กๆ ก้มหน้า มือทิ้งข้างลำตัว เขายืนด้วยท่าทางสลดหดหู่

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยกำลังปลอบโยนเขา แต่เว่ยจื่ออี้กลับไม่พูดอะไรออกมาเลย

ถังหลี่เดินเข้ามาหา

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย พวกเจ้าไปนอนก่อนเถอะ แม่จะคุยกับจื่ออี้เอง”

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยยังเป็นกังวลในตัวน้องชาย แต่เมื่อมีมารดาอยู่ด้วย นางจะช่วยปลอบโยนเว่ยจื่ออี้ได้อย่างแน่นอน พวกเขาจึงหันหลังกลับเดินไปยังห้องของตนเอง

ถังหลี่พาเว่ยจื่ออี้ไปยังห้องหนังสือ จากนั้นจึงได้ปิดประตู

เว่ยจื่ออี้ยังคงยืนนิ่งก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ถังหลี่ก้มมองเขาเห็นนัยน์ตาของบุตรชายแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสำนึกผิด

“เอ้อร์เป่า” ถังหลี่เรียกชื่อเล่นเขา

เว่ยจื่ออี้ไม่เงยหน้า เขาพูดเสียงเบาว่า

“ท่านแม่ ข้าขอโทษ”

แม้ว่าเหตุการณ์วิกฤตจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความรู้สึกไม่สบายใจและความรู้สึกผิดยังอยู่ลึกๆ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความโง่เขลาของตัวเขาเอง ไว้ใจคนง่าย จนเกือบทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน เขารู้สึกผิดจนแทบให้อภัยตนเองไม่ได้

“เอ้อร์เป่า เรื่องนี้ลูกไม่ได้ทำผิดอะไร เจ้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใคร ทั้งยังมีความตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย” ถังหลี่พูดกับเขา เว่ยจื่ออี้พยักหน้า

เขาถือว่าเจียงผิงเป็นเพื่อนแต่ไม่คิดเลยว่าจะทำร้ายเขาเช่นนี้

เขาเกลียดเจียงผิง และเกลียดตัวเองมากขึ้น ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของลูก เจียงผิงเองก็เป็นแค่นักเรียน เขาจะไปเอาหนังสือต้องห้ามแบบนั้นมาได้จากที่ไหน ต้องมีคนคอยจัดฉากอยู่เบื้องหลัง อีกทั้งเป้าหมายไม่ใช่ที่ตัวลูกแต่เป็นบิดาและมารดาของเจ้า”

เรื่องที่เกิดขึ้นป้องกันได้ยากจริงๆ ต่อให้เว่ยจื่ออี้ฉลาดมากเพียงใด เขาก็คงจะจินตนาการไม่ได้หรอกว่ามีหนังสือต้องห้ามอยู่ในหนังสือที่เพื่อนร่วมชั้นให้มา เพื่อนที่เขาคิดว่าดี แต่กลับต้องการฆ่าเขาให้ตาย !

“นั่นเป็นความผิดของลูกเช่นกัน เป็นความผิดที่ลูกไม่รู้จักผู้คนให้ถ่องแท้ เป็นลูกที่ให้โอกาสคนเลวเอง!” เว่ยจื่ออี้พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ถังหลี่กอดไหล่ปลอบโยนบุตรชาย

“เอ้อร์เป่า ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้ บางครั้งการทำผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าหากลูกทำผิดพลาดลงไปอย่าได้เอาจิตใจไปหมกมุ่นอยู่เช่นนั้น ความรู้สึกผิดนั้นไร้ประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงที่จะทำผิดพลาดเช่นนั้นอีกครั้ง รู้ใช่ไหม?” ถังหลี่พูดเบาๆ

เว่ยจื่ออี้เงยหน้ามองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาพยักหน้ารับ

ต่อไปเขาจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เช่นนี้อีก ก่อนจะผูกมิตรกับใคร ต้องดูนิสัยคนผู้นั้นให้ถ่องแท้ว่าสมควรจะคบเป็นเพื่อนหรือไม่? หรือเพียงแต่มีนิสัยชอบอะไรเหมือนๆ กัน ก็ไม่อาจจะไว้วางใจได้ทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องให้ความระมัดระวังเอาไว้

“ถ้าเจ้าเจอเรื่องเช่นนี้อีกและต้องก้าวไปติดกับดักของคนเลว แรกเริ่มอย่าได้มัวแต่เสียใจให้คิดหาวิธีแก้ไข อย่าได้ยอมแพ้หรือหมดหวังไปก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังหรือแม้แต่จนตรอก เจ้าสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ขึ้นมาใหม่ได้”

เว่ยจื่ออี้พยักหน้ารับอีกครั้ง

ใช่ เขาเอาแต่รู้สึกสำนึกผิดแต่ไม่ได้เตรียมหาวิธีแก้ไขอย่างไร แม้ว่าจะพบหนังสือต้องห้ามก็ตาม เขาสามารถเอาผิดกับผู้ที่ใส่ร้ายเขาได้ เขาสามารถบอกให้สืบสวนเรื่องนี้ได้ จากนั้นก็อ้างถึงพยานและหลักฐานที่เขามีเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาถูกใส่ร้าย หากเขาเป็นคนตรงไปตรงมา อย่างไรก็ไม่ต้องกลัวที่จะโดนตรวจสอบ คนทำชั่วจะทิ้งร่อยรอยเอาไว้เสมอ คำพูดของมารดาทำให้เขารู้แจ้งได้ทันที

“ถ้าลูกเจอเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ พ่อกับแม่ก็ยังคอยสนับสนุนลูกอยู่เสมอ”

เว่ยจื่ออี้มองถังหลี่ ดวงตาเขาสั่นไหวด้วยความสะเทือนใจ

“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเสียใจ ไม่เช่นนั้นแม่จะไม่สบายใจนะ” ถังหลี่ยังคงปลอบโยนบุตรชาย

เว่ยจื่ออี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น

“ท่านแม่ข้าสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ”

“ดีแล้ว เจ้าไปนอนเถอะ” ถังหลี่พูดขึ้น เว่ยจื่ออี้จึงได้ออกจากห้องหนังสือเดินตรงไปยังห้องนอนของตน

ถังหลี่ยังคงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออก เว่ยฉิงรีบเดินเข้ามา

“จื่ออี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เว่ยฉิงรีบถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าให้เขาไปนอนพักแล้ว” ถังหลี่ตอบ

เว่ยฉิงเข้ามานั่งข้างๆ ดึงนางเข้ามากอดเอาไว้

ถังหลี่เห็นศีรษะเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อนางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขา

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

เมื่อคืนนี้หลังจากที่ถังหลี่หลับไปแล้วฝัน เมื่อนางตื่นขึ้นมาทั้งคู่จึงได้จัดการกับหนังสือก่อนที่จะถามเรื่องราวกับเว่ยจื่ออี้ หลังจากรู้ว่าเจียงผิงเพื่อนร่วมชั้นของเขาได้เป็นคนมอบหนังสือเล่มนี้ให้บุตรชาย เว่ยฉิงจึงได้ส่งคนไปตามหาเจียงผิงทันที เพราะเขาคือพยานที่สำคัญ

แต่เจียงผิงได้หายไปจากศาลต้าหลี่ หลังจากตามหาทั้งคืนก็ไม่พบใคร จนกระทั่งองครักษ์เงาส่งข่าวมาว่าพบเขาที่คูเมือง เว่ยฉิงรีบไปดู คนจากศาลต้าหลี่ได้ช่วยเขาเอาไว้ แต่คนผู้นั้นกลับเสียชีวิตไปแล้ว

“เขาตายแล้ว ข้ามาช้าไปหนึ่งก้าว” เว่ยฉิงพูดอย่างมีอารมณ์ คู่ต่อสู้โจมตีอย่างดุเดือดโดยไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ เอาไว้

“สามี ท่านคิดว่าเป็นใครทำ?” ถังหลี่ถาม

“จ้าวชู” เว่ยฉิงตอบทันที

“จ้าวชู…” ถังหลี่กัดฟันยามเอ่ยชื่อคนผู้นั้น ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับจากอี้โจวมายังเมืองหลวง จ้าวชูได้ส่งนักฆ่ามาสังหารพวกเขา แต่การลอบสังหารในครั้งนั้นล้มเหลว ตอนนี้เลยหันมาโจมตีลูกๆ ของนาง

ลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของถังหลี่!

ครั้งนี้จ้าวชูได้เอื้อมมาแตะของรักของหวงของนางเข้าเสียแล้ว

แสงเย็นเฉียบส่องประกายในดวงตาของถังหลี่ ครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยเขาไปอีก