War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1820
ตอนที่ 1,820 : หรูเฟิงใต้ ..หรูเฟิง!?

“ปล่อยพวกมันไปเถอะพี่กู่”

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลาย ค่อยหันไปยิ้มกล่าวกับกู่ลี่อย่างไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

“พวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไปอีก!”

หลังต้วนหลิงเทียนตอบคำ แต่เห็นศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลายยังนั่งบื้ออยู่กับพื้น กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะมองพวกมันด้วยอำมหิต ตะคอกคำเสียงแข็ง พาลให้ทั้งหลายเตลิดหนีปานนกหวาดเกาทัณฑ์ทันที

เมื่อคนสกุลจ้าวหนีหายไปหมด กู่ลี่ค่อยๆเดินเข้ามาในลานด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ข้าคิดจะให้ตาแก่นั่นดีใจซะหน่อยที่ข้าทะลวงด่านได้แล้ว แต่คนกลับไม่อยู่เสียได้”

“อย่าบอกนะพี่กู่…ที่ท่านมาหาข้าแบบนี้ เพราะคิดอวดด่านพลัง?”

ต้วนหลิงเทียนถามตาปริบๆ

กู่ลี่พยักหน้ารับ ยิ้มร่า

“ฮ่าๆ พี่กู่ข้ากลัวว่าข่าวเรื่องท่านทะลวงถึงเซียนมนุษย์ไม่นานก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแน่…แถมเท่าที่ข้ารู้ตอนจ้าวตำหนักอายุเท่าท่าน พลังฝีมือยังเทียบท่านไม่ได้เลย! ท่านนับเป็นสุดยอดอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับ!!”

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะกล่าวชมอย่างสนุกสนาน

“เอาล่ะๆเจ้าไม่ต้องชมข้าแล้ว…คนอื่นชมข้าไม่เป็นไร แต่ไหงเจ้าชมแล้วข้ารู้สึกอึดอัดก็ไม่รู้”

กู่ลี่รีบโบกมือไปมา “ใครยังจะกล้ากล่าวถึงพรสวรรค์ต่อหน้าเจ้าได้หา? ว่าแต่ข้ารู้สึกเสมือนบรรยากาศในตำหนักมันผิดแปลกไป เจ้ารู้หรือไม่ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้น?”

“เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏตัวออกมาแล้ว!”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม เขาออกจากการปิดด่านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ย่อมได้รับสราบข่าวเรื่องราวนี้แล้ว

“ไม่ใช่เคล็ดมารกลืนหยินมันปรากฏขึ้นมาแต่แรกแล้วเหรอ?”

กู่ลี่ถามด้วยความสงสัย

เกือบสองปีที่แล้ว ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ออกประกาศเรื่องมารกลืนหยินไปทั่ว

แน่นอนว่าตอนแรกพวกมันไม่รู้ว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน พอพวกมันค้นพบเรื่องนี้ได้ไม่ทันไร จ้าววังนภาก็ลักพาตัวฉีจิ้งพร้อมเคล็ดวิชานี้หนีไปเสียแล้ว!

“ตอนนี้พื้นที่แถบตะวันตกได้กลายเป็นเมืองผีไปเป็นที่เรียบร้อย…เกือบทุกคนที่อยู่แถวนั้นถูกฆ่าตายไม่มีเหลือรอด เหล่าสตรีทุกคนล้วนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม “ตอนนี้เรื่องราวพวกนี้ทุกคนรู้กันไปทั่ว…โดยเฉพาะสตรีทั้งหลายไม่ใช่แค่ด้านนอก กระทั่งสตรีในตำหนักฟ้าลี้ลับเรายังหวาดกลัวไม่กล้าไปไหน”

“เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายหายนะเภทภัยที่เกิดขึ้นในครั้งอดีต ทุกคนจึงรู้ทันทีว่ามันคือเคล็ดมารกลืนหยิน…”

“เดิมคนที่ฝึกฝนมันก็มีแต่ฉีจิ้งเท่านั้น…แต่พอถูกจ้างวังนภาช่วยไป ตอนนี้ก็สมควรมีมากกว่าหนึ่งคนแล้วที่รู้”

ต้วนหลิงเทียนตอบ

“เจ้าหมายความว่า…จ้าววังจูสมควรฝึกฝนมันแล้ว และเหตุการณ์แถบพื้นที่ตะวันตกเป็นฝีมือจ้าววังจู?”

กู่ลี่สูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก ไม่คิดเลยว่าในขณะที่มันปิดด่านบ่มเพาะอยู่จะเกิดเรื่อวราวใหญ่โตขนาดนี้ขึ้น

“ฉีจิ้งนั่นสมควรยังอยู่ในอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย…แต่คงไม่ยากอะไรที่จะสื่อสารด้วยสำนึกเทวะ เช่นนั้นก็ไม่ยากอะไรที่มันจะใช้เคล็ดมารกลืนหยินแลกเปลี่ยนกับชีวิต หลอกใช้จ้าววังจู…”

ต้วนหลิงเทียนคาดเดา “ในเมื่อจ้าววังจูพาตัวฉีจิ้งไปแบบนี้ 9 ใน 10 ส่วนก็สมควรบรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว…ไม่พ้นช่วยมันเพื่อเคล็ดมารนั่นล่ะ”

“เฮ่อ…ข้ามิคิดเลยจริงๆ ว่าคนเราเพื่อล้างแค้นแล้ว กลับหน้ามืดตามัวแสวงหาพลังโดยมิสำนึกถึงผิดชอบชั่วดีได้เช่นนี้..”

กู่ลี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“บางครั้งความเกลียดชังก็ครอบงำจนทำลายคนได้ไม่ยาก…”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายจ้า กล่าวออกเสียงขรึม

จูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภานั้นแม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมด้วยสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เคยได้พบปะสนทนากัน ความประทับใจแรกที่ต้วนหลิงเทียนมีให้อีกฝ่ายก็คือ แลดูใจดี

อย่างไรก็ตามอาวุโสที่ใจดีเช่นนั้น เพราะความอัปยศที่ถูกยัดเยียดมาด้วยน้ำมือของเฝิงปู่อี้รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน จึงทำให้เมล็ดพันธ์แห่งความแค้นถูกปลูกลงในใจ

พอได้พบกับเคล็ดมารกลืนหยิน เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นในใจก็ยากระงับสืบไป มันเติบโตขึ้นมาทันที!

เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นงอกเงยเติบใหญ่แล้ว สิ่งที่จูลู่ฉีทำก็คือเลือกจะดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรี บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หมายยกระดับพลังฝึกปรือให้ก้าวหน้าขึ้นโดยเร็วที่สุด!

อย่างน้อยๆจนกว่าจะฆ่ารองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้เพื่อล้างแค้นได้…เกรงว่าผู้บริสุทธิ์ก็คงต้องเซ่นสังเวยต่อไป!

“จะอย่างไรเรื่องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเฝิงปู่อี้นั่น…มันนับว่าทำเกินไปแล้วจริงๆหากจ้าเป็นจ้าววังจู ข้าเองก็คงรู้สึกอับอายขายหน้านัก ยากจะทานทนรับได้ไหว!”

วั้นนั้นกู่ลี่เองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงกล่าวเข้าข้างจูลู่ฉี

“พี่กู่ หากท่านเป็นจ้าววังจู แล้วท่านถูกหยามเช่นนั้นแต่พลังฝีมือท่านสู้มันไม่ได้ ท่านจะเลือกหนทางมาร และฝึกเคล็ดมารกลืนหยินนั่นหรือไม่ หากท่านรู้ว่าชั่วชีวิตหากบ่มเพาะพลังปกติไม่มีทางล้างแค้นได้?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

“ข้าเองก็เคยคิด…สุดท้ายข้าอาจจะเลือกเช่นเดียวกัน”

กูลี่ถอนหายใจ “สำหรับข้าถูกหยามเช่นนั้นยังหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าฆ่าข้าให้ตายเสียอีก! น้องหลิงเทียนแล้วหากเป็นเจ้าจะทำอย่างไรเล่า? หากเจ้าเป็นเหมือนจ้าววังจูที่รู้ดีว่าชั่วชีวิตไม่มีทางมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าศัตรูได้?”

“หากข้าเป็นจ้าววังจูแน่นอนว่าข้าต้องคิดล้างแค้นเฝิงปู่อี้ และให้มันชดใช้อย่างสาสม! แต่ข้าจะไม่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแน่นอน…อย่างไรเสียสตรีเหล่านั้นก็เป็นผู้บริสุทธิ์!”

ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ

หากเขาเป็นคนเดิมเหมือนที่เคยเป็นในโลกเก่า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเลือกหนทางเดียวกับจูลู่ฉีและกู่ลี่

ทว่าชีวิตนี้เขาได้เดินในหนทางที่แตกต่างออกไป เขาได้สัมผัสถึงความรักความห่วงใยและความอบอุ่นของครอบครัว เขาไม่มีวันใช้ชีวิตของสตรีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพื่อตัวเองเด็ดขาด

“เจ้ายินยอมอับยศอดสูไปชั่วชีวิตดีกว่าบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยินงั้นหรือ?”

กู่ลี่กล่าวถามอีกครั้ง

“ข้าไม่มีทางยอมทนแน่นอน”

แววตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นเยียบ กล่าวออกเสียงเหี้ยม “ข้าต้องคับแค้นไม่น้อยที่ถูกหยามหน้าแบบนั้น…และข้าไม่มีวันทนอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังโดยไม่ทำอะไรได้แน่นอน! แต่ถ้าหากข้าไม่อาจล้างแค้นมันได้ด้วยวิธีปกติ ข้าก็จะหาทางล้างแค้นมันด้วยวิธีอื่น!”

“โลกนี้มีวิธีการมากมาย หนึ่งในนั้นคือยืมมีดฆ่าคน…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

“ยืมมีดฆ่าคน?”

กู่ลี่อึ้ง “เจ้าจะยืมมีดฆ่าคนอย่างไร?”

“ก็อาธิเช่นหาข้ออ้างลอบแทรกซึมไปลักพาตัวคนสำคัญของผู้นำตลาดมืดหยินชาน หรือจ้าวตำหนักเมฆาครามอะไรนั่น เพื่อใช้ชีวิตญาติสนิทมิตรสหายบีบให้ทั้งคู่ฆ่าเฝิงปู่อี้เสีย…พอเฝิงปู่อี้ตายข้าก็แค่ปล่อยคนบริสุทธิ์กลับไป”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว “สุดท้ายแม้ข้าอาจจะต้องตาย แต่อย่างน้อยข้าก็ได้ล้างแค้นสำเร็จ!”

ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หากจ้าววังจูได้ยินวาจานี้ของเจ้าก่อนที่จะช่วยฉีจิ้งหนีไป…มันจะดีเพียงใดกัน?”

“พี่กู่ข้าก็แค่ยกตัวอย่าง…คนอย่างผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาครามไหนเลยจะไม่วางกำลังคน และมีมาตรการปกป้องคนใกล้ชิด? เรื่องนี้พูดง่าย แต่มิใช่อะไรที่ใครคิดจะกระทำก็กระทำได้ง่ายๆ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกพร้อมส่ายหน้า “ดังนั้นถึงจ้าววังจูได้ยิน แต่เกรงว่าคงไม่อาจทนใช้วิธีการยากเย็นแบบนี้เพื่อล้างแค้นได้”

“บางทีหากเป็นแต่ก่อนมันอาจจะเป็นไปไม่ได้…แต่เท่าที่ข้าทราบมาจ้าวตำหนักเมฆาครามคนใหม่นั้นเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวนัก ข้าเคยได้ยินเรื่องที่จ้าวตำหนักเมฆาครามพาคนจากบ้านเกิดมาอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว”

กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “คนที่นำกลับมานั้น นับว่ามีจำนวนมากมายไม่น้อย ต่อให้เป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามก็ยากที่จะดูแลทุกคนได้ทั่วถึง ยอดฝีมือที่ถูกส่งมาคุ้มกันอย่างดีก็อาจอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ด้วยพลังฝึกปรือของจ้าววังจู คิดลอบจับมาสักคนคงไม่ยากเย็น”

“หือ? ไม่กี่ปีที่แล้วจ้าวตำหนักเมฆาคราม พาคนจากบ้านเกิดมาที่ตำหนักเมฆาครามงั้นหรือ?”

ได้ยินคำนี้ของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยสงสัย “พี่กู่ข้าเคยได้ยินเรื่องของจ้าวตำหนักเมฆาครามคนนี้มาเล็กน้อยเท่านั้น เห็นว่ายังอายุไม่มากเท่าไหร่ แถมยังพึ่งผงาดขึ้นมามีชื่อเสียงในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าโดยใช้เวลาไม่ถึง 20 ปี…และทำให้ตำหนักเมฆาครามมีพลังอำนาจมากพอจะงัดข้อกับตลาดมืดหยินชานได้งั้นเหรอ?”

“ใช่แล้ว จ้าวตำหนักเมฆาครามนับว่าเป็นตำนานของภูมิภาคเบื้องล่างเราอย่างแท้จริง! ยังเป็นคนที่ข้าเลื่อมไสนัก!”

กู่ลี่พยักหน้ากล่าวออก “แม้ในด้านพลังฝึกปรือและอัจฉริยะภาพ ผู้นำตลาดมืดหยินชานจะไม่ได้ด้อยกว่า แต่นั่นเพราะได้รับการสนับสนุนจากตลาดมืดหยินชานมาตั้งแต่ยังเยาว์…กลับกันจ้าวตำหนักเมฆาครามเป็นคนที่มาจากทวีปมนุษย์!”

“ผู้ที่เดินทางมาจากทวีปมนุษย์กลับไต่เต้าจนบรรลุถึงจุดสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่างได้ด้วยกำลังของตัวเอง เรื่องนี้มากพอจะทำให้เป็นตำนานเล่าขานไปสืบชั่วกาลนานของภูมิภาคเบื้องล่างเราแล้ว!”

วาจาท้ายประโยค กู่ลี่ยังกล่าวออกเสียงหนักแน่นมากชื่นชม

“หืม?! มาจากทวีปมนุษย์?!”

ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปทันใด “จ้าวตำหนักเมฆาครามมาจากทวีปมนุษย์งั้นเหรอ?”

จังหวะนี้เองในใจของต้วนหลิงเทียนพลันมีข้อมูลเกี่ยวกับจ้าวตำหนักเมฆาครามที่เขาได้รับรู้ผุดขึ้นมาดั่งชิ้นส่วนภาพ

ผงาดขึ้นมายังจุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างในเวลาไม่ถึง 20 ปี

ไม่กี่ปีที่ผ่าน พึ่งกลับไปพาครอบครัวจากทวีปมนุษย์มาอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม

ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้…

ยอดฝีมือทรงพลังที่เสมือนปกครองภูมิภาคเบื้องล่างไปครึ่งหนึ่ง…หรูเฟิงใต้ จ้าวตำหนักเมฆาคราม!

หรูเฟิง!

‘ตอนนั้นเสี่ยวเฟยเอ๋อถูกคนของท่านพ่อพาตัวไป! การที่จะพาเสี่ยวเฟยเอ่อออกจากน้ำมือของขุมพลังชั้น 5 ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นั่นหมายความว่าคนของท่านพ่อไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม…หรือว่า…’

จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่ง

แน่นอนว่ายังเป็นเพียงการคาดเดาจากการปะติดปะต่อภาพเรื่องราวเท่านั้น ไม่อาจยืนยันได้

“น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป?”

เมื่อเห็นว่าสายตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยคล้ายเหม่อคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นร่างคล้ายจะสั่นสะท้านไปเบาๆ มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าไฉนศิษย์น้องคนนี้อยู่ดีๆกลับมีอาการแบบนี้ขึ้นมาได้

“พี่…พี่กู่”

ต้วนหลิงเทียนพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอาการตื่นเต้น หันไปมองถามกู่ลี่ด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง “พี่กู่…ท่านรู้ชื่อแซ่เต็มๆ ของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือไม่?”

เดิมทีเห็นต้วนหลิงเทียนมีอาการผิดแปลกไปกู่ลี่ก็เครียดไม่น้อย แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล่าวถามเรื่องเพียงเท่านี้ออกมา กู่ลี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อะไร…น้องหลิงเทียนไม่รู้ชื่อแซ่เต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือ”

“พี่กู่ บอกข้าที เร็วๆ”

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ร่างยังสะท้านขึ้นมาอีกครา

ยังหวะนี้กู่ลี่ย่อมพบว่าท่าทางต้วนหลิงเทียนผิดแปลกไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่มันก็รีบตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจัง “นามเต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้นั้นเรียกว่า ต้วนหรูเฟิง!”

“นามของจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้น ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆเจ้าต้องเคยได้ยินวาจาประโยคหนึ่ง ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้…สองมือปิดฟ้าบังตะวัน”

“หรูเฟิงใต้…เป็นเขาเอง!”