บทที่ 410 ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 410 ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น

คนทั้งคนของฉินจิ้งอี๋ตกตะลึงไป นางคิดไม่ถึงว่าจ้าวเคอจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา

ผู้ชายมากชู้หลายเมียเป็นเรื่องธรรมดามาก ถึงแม้ในอดีตจ้าวเคอจะยากจน แต่ตอนนี้เขาคือจอหงวน ยิ่งเป็นนายสนอง ชีวิตในวันหน้ามีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ

นางมีความรู้สึกดีๆต่อจ้าวเคอก็จริง แต่ทั้งสองคนพบหน้ากันก็แค่สองสามครั้งเท่านั้น เขาถึงกับยินดีทำให้ตัวเองเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้ฉินจิ้งอี๋ประทับใจอย่างยิ่ง น้ำตาไหลพรากออกมาทันที

เมื่อเห็นนางร้องไห้ออกมากะทันหัน จ้าวเคอตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “คุณหนูฉิน ข้าพูดอะไรผิดไปใช่ไหม ข้ารู้ว่าข้าก้าวล่วงแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะเข้าวังไปคัดเลือกหญิงงาม ข้าเลยใจร้อนไป เป็นเพราะข้าพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะเอง”

ขณะที่จ้าวเคอกล่าวไป ก็ยื่นมือไปตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาก

ฉินจิ้งอี๋รีบยื่นมือไปดึงมือของเขาไว้ทันที “ข้าร้องไห้เพราะคำพูดที่เจ้าพูด แต่ก็ไม่ใช่”

จ้าวเคอชะงักงัน “หมายความว่าอย่างไร?”

“จอหงวนจ้าวท่านโง่หรือเปล่าเนี่ย คุณหนูของเรานี่คือดีใจ สาเหตุที่คุณหนูไม่อยากเข้าวัง ก็เพราะชอบจอหงวนจ้าวนี่แหละ ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็มีใจต่อกัน ท่านกับคุณหนูของข้าช่างเป็นคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้างจริงๆ” สาวใช้หวนเอ๋อร์ช่วยเสริม

จู่ๆทั้งสองคนก็ถูกสาวใช้พูดความในใจออกมา แก้มของฉินจิ้งอี๋ก็แดงก่ำด้วยความอายทันที “หวนเอ๋อร์ อย่าพูดเหลวไหล!”

“บ่าวพูดเหลวไหลที่ไหน ทุกครั้งที่คุณหนูกลับมาจากบ้านของจอหงวนจ้าวก็ดีใจอย่างมาก แถมยังเก็บรักษาภาพอักษรของจอหงวนจ้าวเป็นอย่างดี ความในใจของคุณหนูบ่าวรู้ดีที่สุด” หวนเอ๋อร์ยิ้มอย่างซุกซน และวิ่งออกไปอย่างรู้สถานการณ์

ในเรือนเหลือเพียงจ้าวเคอและฉินจิ้งอี๋เท่านั้น

ฉินจิ้งอี๋ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองเสียกิริยาไป กำลังจะเก็บมือกลับมา จ้าวเคอก็คว้ามือของนางมาจับเอาไว้ “คุณหนูฉิน ข้ารู้ว่าข้าทำเช่นนี้เป็นการก้าวล่วง แต่ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ ข้าชอบเจ้าจริงๆ ข้ารู้ว่าอยากแต่งงานกับเจ้าเป็นการอาจเอื้อมไป แต่ข้าจะทำดีต่อเจ้าอย่างสุดความสามารถ ขอเจ้าโปรดให้โอกาสกับข้าด้วย”

หัวใจของฉินจิ้งอี๋รู้สึกอบอุ่น พยักหน้าเบาๆ “ตกลง ข้ายินดีจะใช้อนาคตของตัวเองเป็นเดิมพัน ข้าเชื่อในตัวเจ้า”

“ช่างดีจริงๆ เจ้าวางใจ ข้าจะไปพระราชวังและขอร้องให้ฝ่าบาทพระราชทานการแต่งงานเดี๋ยวนี้แหละ!”

“อย่า เกรงว่าท่านพ่อข้าจะไม่รับปาก เรื่องนี้จำเป็นต้องวางแผนในระยะยาว” ฉินจิ้งอี๋กล่าวห้าม

จ้าวเคอพยักหน้า “ล้วนฟังคำเจ้า เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”

ทั้งสองคนปรึกษาหารือกัน จ้าวเคอถึงได้จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เพียงแต่เมื่อถึงสันกำแพงนั่น จ้าวเคอก็ลำบากใจอีกครั้ง

จู่ๆองครักษ์ลับก็ปรากฏตัวอีกครั้ง พาเขากระโดดตัวออกไปจากสันกำแพง ปล่อยจ้าวเคอห่างออกไปอีกหนึ่งถนน ก็จากไปเลย

จ้าวเคอหันหลังก็มุ่งหน้าไปที่จวนซื่อจื่อ คุณหนูหยุนต้องมีวิธีอย่างแน่นอน

“หยุนถิง” ได้ยินว่าเขามาอีกแล้ว ไม่ได้พบคน แต่ให้พ่อบ้านมอบจดหมายให้เขาหนึ่งฉบับ

จ้าวเคอได้รับจดหมาย และเห็นเนื้อหาที่อยู่ข้างใน ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง คารวะหน้าผากแตะพื้นต่อประตูใหญ่ของจวนซื่อจื่อสามครั้งทันที จากนั้นก็หันหลังจากไป

เขาถือจดหมายฉบับนั้น เข้าไปในพระราชวังทันที

ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องที่เขาเสนอแผนการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับครอบครัวยากจน รู้สึกพอพระทัยอย่างยิ่ง ตรัสว่าจะให้รางวัลเขาในทันที

จ้าวเคอรีบคุกเข่าลงไปอย่างเคารพนบนอบทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมบังอาจขอร้องให้ฝ่าบาทพระราชทานการแต่งงาน!”

“พระราชทานการแต่งงาน ใคร?” ฮ่องเต้ถาม

“ฉินจิ้งอี๋ลูกสาวของฉินซ่างซู กระหม่อมกับคุณหนูฉินรักใคร่ชอบพอกัน รักกันและกันอย่างลึกซึ้ง กระหม่อมรู้ตัวว่าไม่คู่ควรกับคุณหนูฉิน แต่กระหม่อมยินดีจะดีต่อนางอย่างสุดความสามารถของกระหม่อม จะไม่แต่งงาน ไม่รับสนมอีกตลอดชีวิต ขอฝ่าบาทโปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วยเถิด!” จ้าวเคอคารวะหน้าผากแตะพื้นทันที

ฮ่องเต้ชะงักงันไป ก่อนหน้าก็ได้ยินมาแล้วว่าจ้าวเคอมีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี วันนี้ได้พบ ก็ทำให้ฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงมุมมองไปจริงๆ

ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำเพื่อผู้หญิงที่ตัวเองรักไม่แต่งงาน ไม่รับสนมอีก นี่ต้องเป็นความกล้าหาญและมุ่งมั่นแบบไหน และเป็นความรักที่ลึกซึ้งและรักเดียวใจเดียวอย่างไร

ฮ่องเต้ยังอดเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อจ้าวเคอไม่ได้ “เจ้ายินดีจะละทิ้งการรับสนม เพื่อคุณหนูฉินจริงหรือ?”

“นี่คือสิ่งเดียวที่กระหม่อมสามารถทำเพื่อนางได้ ขอฝ่าบาทโปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วยเถิด” จ้าวเคอกล่าวด้วยความจริงจัง

ฮ่องเต้ก็เป็นคนตรงไปตรงมา ตอนเป็นหนุ่มก็เคยมีรักแท้เช่นกัน เวลานี้เห็นจ้าวเคอเช่นนี้ รู้สึกประทับใจ และปลื้มปิติมากเช่นกัน

“หาได้ยากที่พวกเจ้าจะรักกันและกันด้วยใจจริง ข้ายินดีจะช่วยให้สมปรารถนา!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างปลื้มปิติ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท เพียงแต่กระหม่อมไม่กล้าปิดบัง คนต่ำต้อยอย่างกระหม่อมคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก ยากจนค่นแค้น และไม่มีภูมิหลัง ฉินซ่างซูน่าจะไม่เห็นด้วย” จ้าวเคอเอ่ยปาก

ดวงตาของฮ่องเต้มืดมนลึกล้ำ เหลือบมองไปที่จ้าวเคอครู่หนึ่ง “ความรักลึกซึ้งที่เจ้ามีต่อคุณหนูฉินทำให้ข้าประทับใจจริงๆ แต่ฉินซ่างซูอุทิศตนเพื่อราชสำนักต้าเยียน คุณหนูฉินคือลูกสาวของเขา ข้าก็ต้องถามความเห็นของเขา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

จ้าวเคอก็ทำได้แค่นี้แล้ว คำนับอย่างเคารพนบนอบ ถึงได้ถอยออกไป

…………..

แคว้นเป่ยลี่

จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงรบกันไปหนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งฟ้ามืดวันที่สองถึงออกมา จวินหย่วนโยวถูกด่าว่าเป็นสัตว์ร้ายอีกครั้ง

หยุนถิงเหนื่อยจนนอนอยู่บนเตียงไม่อยากแม้แต่จะขยับเขยื้อน จวินหย่วนโยวกลับกระปรี้กระเปร่ามาก แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เข้าครัวไปทำอาหารให้กับหยุนถิงด้วยตัวเอง

ซูหลินรีบเข้ามาทันที “คุณหนูใหญ่ แคว้นเป่ยลี่ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่เพียงแค่เมืองหลวง สถานที่อื่นๆก็เกิดความจลาจลทุกที่ แคว้นเทียนจิ่วกับแคว้นชางเยว่ก็ระดมกำลังพลแล้วเช่นกัน เปิดฉากทำสงครามกับแคว้นเป่ยลี่ แคว้นต้าเยียนส่งหลีอ๋องกับโม่หลานมา”

ดวงตาคู่สวยของหยุนถิงมีความพึงพอใจแว๊บผ่านไปเล็กน้อย “บอกคนของเรา เคลื่อนไหวได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ!”

ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง หยุนถิงนึกว่าจวินหย่วนโยวเข้ามา แต่แล้วเมื่อเห็นคนที่เข้ามาชัดเจนแล้วก็ชะงักไปทันที “เป่ยหมิงฉี่?”

เขาถึงกับสามารถรอดพ้นสายตาขององครักษ์ลับ เข้ามาถึงที่นี่อย่างเงียบๆได้ ดูท่าคงถูกบีบจนไม่มีทางเลือกแล้ว

สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่เย็นชามืดมน “หยุนถิง จวินหย่วนโยวของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แคว้นเป่ยลี่ถูกเขาก่อกวนจนโกลาหลวุ่นวายไปหมดแล้ว”

“ไท่จื่อเป่ยหมิงมาที่นี่ เพราะต้องการจะตำหนิข้า หรือว่าต้องการจะลักพาตัวข้ากัน?” หยุนถิงถามกลับ

สีหน้าของเป่ยหมิงฉี่บูดบึ้งอย่างยิ่ง “หากลักพาตัวเจ้าแล้วมีประโยชน์ ข้าจะพาเจ้าไปทันทีแน่นอน แต่ว่าทำเช่นนั้นจวินหย่วนโยวมีแต่จะยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น ข้ายังไม่อยากให้แคว้นเป่ยลี่ถูกทำลายในมือของข้า”

หยุนถิงยิ้มอย่างเฉยเมย “ฉลาดมาก”

“หยุนถิง เห็นแก่ที่เราสองคนร่วมงานกัน ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าสักครั้ง ข้าจะต้องซาบซึ้งอย่างที่สุดมิได้แน่นอน ชาวบ้านพวกนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์” ในน้ำเสียงของเป่ยหมิงฉี่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ตั้งแต่ครั้งก่อนเขาก็ดูออกแล้วว่า ถึงแม้หยุนถิงจะโหดเหี้ยมไร้ความปรานี แต่ไม่ใช่คนเลือดเย็น สำหรับผู้บริสุทธิ์ นางก็ยังเห็นอกเห็นใจอย่างมาก

“ความแค้นของพ่อแม่ไม่อาจอยู่ใต้แผ่นฟ้าเดียวกันได้ ข้าช่วยท่านไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าก็จะผิดต่อซื่อจื่อ แต่ข้าสามารถให้คำแนะนำแก่ท่านข้อหนึ่ง” หยุนถิงกล่าว

“คำแนะนำอะไร เจ้ารีบพูดมาเร็ว?”

“ประกาศความผิดของเสด็จพ่อท่านในตอนนั้นต่อใต้หล้า จากนั้นท่านก็ไปยอมรับความผิดต่อหน้าหลุมฝังศพของพ่อแม่ซื่อจื่อด้วยตัวเอง ทำเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้ซื่อจื่อยอมรามือได้ แต่สามารถทำให้ความโกรธของเขาสงบลงมาได้เล็กน้อย” หยุนถิงอธิบาย

เป่ยหมิงฉี่สีหน้าเคร่งขรึม เขาย่อมรู้ถึงส่วนได้ส่วนเสียที่อยู่ในนี้อยู่แล้ว “ขอบคุณมาก” หันหลังก็จากไปทางหน้าต่าง

หยุนถิงไม่ได้กำลังช่วยเป่ยหมิงฉี่ แต่กำลังช่วยซื่อจื่อสงบอารมณ์โกรธแค้น

นางรู้ว่าในใจของซื่อจื่อมีความโกรธแค้นมาตลอด ตามสืบมาสิบกว่าปีในที่สุดก็หาตัวคนร้ายเจอ หากลงโทษแค่คนร้ายมันก็ง่ายดายเกินไป การทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการให้คำอธิบายต่อพ่อแม่ที่อยู่ในปรโลกของซื่อจื่อ

หยุนถิงไม่อยากให้จวินหย่วนโยวมีชีวิตอยู่กับความโกรธแค้นไปตลอดชีวิต ดังนั้นนางถึงได้ให้คำแนะนำเช่นนี้